จางเหม่ยอวี้ หรือคุณหนูรอง บุตรีของขุนนางตำแหน่งรองเจ้ากรมพิธีการ ถือกำเนิดจากฮูหยินสามแห่งสกุลตู้ ตอนเป็นเด็กน้อยนางช่างอาภัพน่าสงสาร เมื่ออายุย่างเข้าห้าหนาวมารดาก็สิ้นใจตาย ทิ้งเด็กน้อยไว้กับความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
ตระกูลจางทำได้เพียงปล่อยข่าวการตายของฮูหยินสามออกไปว่าจากไปเพราะโรคประหลาดที่ยากรักษา ทั้งที่คนในจวนต่างก็ทราบดีว่ามีผู้ประสงค์ร้าย คิดสกปรกลอบวางยาในน้ำชาของนาง ทว่ายังจับมือใครดมไม่ได้ จนตอนนี้ผู้ร้ายก็ลอยนวลไปถึงเก้าปีแล้ว
อันที่จริงยามไร้มารดาอุ้มชูดูแล คุณหนูรองจะต้องถูกโยกย้ายเข้าไปอยู่ภายใต้ความดูแลและสั่งสอนของฮูหยินใหญ่ ทว่าด้วยชะตาฟ้ากำหนดหรือพระโพธิสัตว์เล็งเห็นแล้วเวทนาก็มิอาจทราบได้ จึงดลจิตดลใจให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตาเด็กหญิงตัวน้อยอวบอ้วน จนถึงขั้นรับจางเหม่ยอวี้มาเลี้ยงดูด้วยตนเอง
รองเจ้ากรมพิธีการที่เห็นพ้อง และอยากเอาใจมารดาตัดสินใจอุ้มเด็กน้อยไปส่งถึงเรือนท้ายจวน แบบชนิดที่ไม่หันมามองสีหน้าบูดบึ้งของฮูหยินใหญ่สักนิดเดียว
หลังจากฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดบุตรชาย ร่างกายของนางก็เริ่มอ่อนแอ จนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ทำให้ที่คิดอยากมีบุตรสาวใจจะขาดและตั้งความหวังไว้ว่าจะได้เลี้ยงดูจางเหม่ยอวี้ แต่สุดท้ายกลับถูกแม่สามีพราก
เอาไปเสียดื้อ ๆเรื่องนี้ทำให้นางร่ำไห้ด้วยความทุกข์ระทมอยู่หลายวัน กว่าแม่สามีจะเห็นใจ ยินยอมอนุญาตให้นางเลี้ยงดูเด็กน้อยได้ตามสมควร
ผู้คนภายนอกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คุณหนูรองเกิดมาพร้อมกับดาวอุปถัมภ์
ฮูหยินใหญ่เลี้ยงดูว่าวาสนาดีแล้ว แต่ไปเกาะเกี่ยวต้นไม้ใหญ่อย่างฮูหยินผู้เฒ่ามิเท่ากับว่าได้รับโชคมหาศาลงั้นหรือ และด้วยเหตุนี้นางจึงกลายเป็นคุณหนูคนสำคัญของสกุลจางไปในทันที
จางเหม่ยอวี้ถูกผู้เป็นย่าเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี จรรยาสตรีชนชั้นสูงครบถ้วนไม่มีบกพร่อง ซ้ำยังเชิญกูกูจากในวังมาสั่งสอนเรื่องจารีต เรียกว่าสามารถถวายตัวเข้าวังหลังสือจ้าวได้สบาย หรือกระทั่งอภิเษกดำรงยศ
พระชายาในองค์ชายก็คงไม่มีเสียงใดกล้าคัดค้านทว่าสตรีอันดับหนึ่งกลับพึงตาต้องใจว่าที่บัณฑิตหนุ่มสกุลกัว ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกันไปเสียแล้ว ในเวลานี้จึงไม่มีคู่รักคนใดเหมาะสมไปมากกว่าสองคนนี้อีกแล้ว...
เมื่อบ่าวรับใช้คนสนิทของกัวจิ้นเต๋อ เห็นว่าคุณหนูจางเหม่ยอวี้เดินมาพร้อมกับจื่อผิง ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม แม้ในใจจะรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้างก็ตาม
“คุณหนูรอง เชิญทางนี้ขอรับคุณชายกำลังรอคุณหนูอยู่”
จางเหม่ยอวี้พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปบอกจื่อผิงให้มอบรางวัลแก่เขา เป็นเชิงปลอบใจที่ทำให้ต้องมาเสียเวลารอ ทว่าเมื่อสาวใช้ทำท่าจะก้าวตามขึ้นไป หญิงสาวก็เอียงหน้ามาหาแล้วกระซิบเบาๆ
“อีกเดี๋ยวเจ้าไปนั่งดื่มชากับขนมรอข้าอยู่ด้านล่างเถอะ แล้วลงบัญชีข้าเอาไว้”
“เจ้าค่ะ” ผิงจื่อรับคำอย่างเชื่อฟัง
ฉางทิงยังมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าแววตาทอประกายขุ่นมัว เดินนำทางว่าที่ฮูหยินขึ้นบนชั้นสอง
“ถึงแล้วขอรับ” ชายหนุ่มผายมือเชื้อเชิญ พลางเลื่อนบานประตูให้เสร็จสรรพ เขาเรียกเสี่ยวเอ้อมาสั่งน้ำชากับขนมเพิ่มอีกสองชุด ดูแลเรื่องสมควรตามหน้าที่จบก็เดินลงบันได พลางเรียกจื่อผิงที่ถูกผู้เป็นนายสั่งให้รออยู่ด้านล่างให้มานั่งดื่มชาด้วยกัน
“คุณหนูรองผิดเวลาอีกแล้วนะพี่จื่อผิง ก็รู้อยู่มิใช่หรือว่าคุณชายของข้าต้องเตรียมตัวสอบปลายปีนี้” เขาพ่นลมหายใจร้อน ๆ ออกทางจมูกคราหนึ่ง พลางจ้องเขม็งมายังสาวใช้สกุลจางอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก
“ดูเถอะ นี่ยังต้องเสียเวลาปลีกตัวมาหาคุณหนูของพี่อีก”
“หุบปาก! เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูด” จื่อผิงที่เหงื่อโซมกายอารมณ์หงุดหงิดอยู่ก่อนแล้ว พอยิ่งฟังถ้อยคำกระทบกระเทียบในใจก็ยิ่งกรุ่นด้วยโทสะ ราวกับมีใครสักคนเอาน้ำมันเดือดๆ มาราดรดเพิ่มเติมลงไปในเชื้อไฟที่กำลังลุกโชน “กล้ามากล่าวหาว่าคุณหนูของข้าผิดเวลา ช่างไม่ดูตาม้าตาเรือ นัดหมายทั้งทีกลับไม่ดูฤกษ์ยามให้ดี วันนี้กองทัพจูเชว่เคลื่อนเข้าเมืองหลวงรับบำเหน็จจากฝ่าบาท นายของเจ้าหูหนวก ตาบอดไม่รู้ความ
หรือไร”ฉางทิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กะพริบตาปริบๆ ความขุ่นเคืองก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้ง
“เอ่อ...” ชายหนุ่มอึกอัก หัวสมองควานหาประโยคโต้เถียงไม่ออกสักคำ
“อีกอย่างคุณหนูของข้าบอกกล่าวคุณชายกัวไปกี่ครั้งแล้ว”
จื่อผิงดวงตาเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว
“ว่าอย่าฝากจดหมายไว้กับทหารยามหน้าประตูจวน”
“อย่าบอกนะว่า...” ฉางทิงครุ่นคิด “คุณหนูใหญ่รบเร้าจะมาด้วย”
“รบเร้าไม่สำเร็จหรอก เพราะคุณหนูรองใช้คำพูดดักทางคุณหนูใหญ่ไว้หมดแล้ว แต่นางก็ยังไม่วายกลั่นแกล้งให้คุณหนูของข้าจัดดอกไม้อยู่นานสองนาน อ้างว่าต้องนำไปมอบเป็นของขวัญให้ตระกูลหลิน” จื่อผิงเล่าด้วยความคับแค้นใจ
“คุณหนูจะทำเป็นเพิกเฉยไม่ช่วยก็ไม่ได้ เดี๋ยวอนุหลินสร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายสีอีก”
“สกุลจางวุ่นวายยิ่งนัก” ฉางทิงส่ายหน้าหลังรับฟังปัญหา “คุณหนูใหญ่ก็กระไร คุณชายของข้ามิได้พึงใจในตัวนางเสียหน่อย ยังจะ...”
“หน้าด้านไร้ยางอาย!” จื่อผิงเค้นคำด่าลอดไรฟัน ฉางทิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ผงกศีรษะหงึกหงักราวกับสัตว์แสนรู้ตัวหนึ่ง
บ่าวด้านล่างตีอกชกหัวโวยวายแทนเจ้านาย ส่วนผู้เป็นนายที่อยู่บนห้องชั้นสองด้านบน กลับสบประสานตาหยาดเยิ้ม ไอรักวัยหนุ่มสาวฟุ้งกระจายเต็มห้อง
“ไม่เจอหน้าอาอวี้นานกี่วันแล้วนะ” กัวจิ้นเต๋อจับจ้องสตรีตรงหน้าด้วยความรู้สึกโหยหาคิดถึง
“ครึ่งเดือนเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้สัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากใจจริงที่ส่งมาจากบุรุษรูปงามตรงหน้า “พี่เต๋อยุ่งอ่านตำรา อาอวี้เข้าใจ”
พวงแก้มใสขึ้นสีระเรื่อยามสบประสานตาอุ่นหวาน
“อาอวี้รู้ความนัก วันหน้าเมื่ออยู่ร่วมจวนกันแล้ว พี่ก็คงเบาใจ สามารถทุ่มเทแรงกายรับใช้ราชสำนักได้เต็มที่ ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง”
กัวจิ้นเต๋อกล่าวถึงอนาคตที่มีสตรีตรงหน้าอยู่ในนั้น นิ้วมือเรียวค่อย ๆ เคลื่อนจับมือเล็กของคนรัก เขาไม่บุ่มบ่ามดึงมือนางมากอบกุม ยามนี้ได้วางมือของตนไว้บนหลังมือของอีกฝ่ายก็เพียงพอแล้ว พวกเขาทำเช่นนี้ยามพบเจอหน้า ไม่คิดล่วงล้ำเกินเลยให้เสื่อมเสีย
จางเหม่ยอวี้สัมผัสไออุ่นบนหลังมือหนา จิตใจของนางพลันสั่นไหว เม้มปากเล็กน้อยกดอารมณ์ขวยเขินเอาไว้ คำหวานจากปากชายคนรักมีอานุภาพสั่นคลอนใจได้จริงๆ ใบหน้างามจึงแดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุกงอม
ก็ไม่ปาน“อาอวี้จะดูแลเรือนหลังสกุลกัวให้ดีเจ้าค่ะ”
กัวจิ้นเต๋อยิ้มระรื่น ยามได้ยินคำพูดจากปากคนรัก เขาดึงมือกลับช้า ๆ อย่างอ้อยอิ่งเสียดาย จากนั้นก็ล้วงจดหมายปึกหนึ่งวางบนโต๊ะตัวเตี้ย
“ฝากจดหมายเหล่านี้คืนพี่หญิงของเจ้าด้วย”
“นางไม่คิดหยุดเลย” จางเหม่ยอวี้ถอนหายใจ กล่าวอย่างจนปัญญา พี่สาวของนางหลงรักบุรุษคนเดียวกันกับน้องสาว หนำซ้ำยังมีความคิดอย่างแน่วแน่ว่าไม่มีวันหลีกทางให้นางได้สมหวังเป็นอันขาด “อาอวี้ทราบแล้ว”
หญิงสาวเก็บจดหมายปึกใหญ่เข้าสาบเสื้อแล้วเบี่ยงสายตาออกนอกหน้าต่าง ทอดมองขบวนกองทัพจูเชว่เคลื่อนตามถนนยาวเหยียด สังเกตหัวขบวนมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กนั่งอาชาตัวใหญ่สีดำทมิฬ ช่างองอาจน่าเกรงขามยิ่งนัก
“พี่เต๋อ...หากข้าบอกท่านพ่อเรื่องพี่หญิง เรื่องราวจะเป็นไปในทิศทางใด พี่ย่อมต้องรู้ดีกว่าใคร” จางเหม่ยอวี้ถอนใจขณะกล่าว
อนุหลินคงจะพลิกลิ้น เปลี่ยนสถานการณ์กดดันให้กัวจิ้นเต๋อแต่งจางหลันเป็นภรรยาเพิ่มอีกคน โดยกล่าวหาว่าคุณชายกัวคบซ้อนสองพี่น้องพร้อมกัน และจำต้องรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชาย
ทว่าโชคดีที่ชายหนุ่มสกุลกัวฉลาดหัวไว เลือกไม่ไปคืนจดหมายที่สกุลจางด้วยตนเอง แต่มอบให้คนรักไปตักเตือนคุณหนูใหญ่ให้หยุดการกระทำนั้นแทน
“อืม พวกเราจำต้องแก้ไขกันเองแล้ว” กัวจิ้นเต๋อยิ้มหวานหยดย้อยมอบแก่คนรัก
สองหนุ่มสาวสบตาลึกซึ้ง วาดฝันวันเคียงคู่กันจนแก่เฒ่า พลันกระแสความอบอุ่นละมุนละไมไหลเวียนวนในใจ หล่อเลี้ยงต้นรักให้เติบใหญ่ในเร็ววัน
ตอนที่2.1ผู้บัญชาการทัพจูเชว่แม่ทัพเฉินชิงซงทอดสายตามองชาวเมืองที่ยืนสรรเสริญตนเองตลอดเส้นทาง สายตากวาดมองไปตามบ้านเรือนที่อยู่รายรอบด้วยใบหน้าสง่างามสงบนิ่ง จนคาดเดาอารมณ์ไม่ออก ดวงตาดุจดวงดาวยามเหมันต์เป็นประกายวาววับ แยกแยะไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรท่าทางดุดันน่ายำเกรงนั่น ชวนให้ผู้คนเสียวสันหลังวาบยามเข้าใกล้ ทำเหมือนโลกทั้งใบมีเขากับม้าศึกคู่กายเพียงหนึ่ง นอกนั้นล้วนเป็นธาตุอากาศหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแม่ทัพหนุ่มปลื้มปีติกับการต้อนรับของชาวเมืองหรือไม่หรือว่าในใจเขากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ ล้วนคาดเดาไม่ออก ดูท่าหากภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า ท่าทีของเขาก็น่าจะยังคงเฉยชาไม่เปลี่ยน“ท่านแม่ทัพ...จุดประสงค์ที่ฝ่าบาทเรียกท่านเข้าวังครั้งนี้คือสิ่งใด ท่านพอคาดเดาได้หรือไม่ขอรับ” เผิงเสียนจือหรือรองผู้บัญชาการกองทัพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแม้จะมีใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสแจกจ่ายแก่ชาวเมือง ทว่าแววตาดำลึกล้ำกลับแฝงโทสะ แสดงให้รู้ว่ากองทัพจูเชว่มิได้เต็มใจที่จะเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงแม้แต่น้อยกองทัพจูเชว่คุ้มครองทิศใต้ โดยมีตระกูลเฉินดำรงตำแหน่งแม่ทัพคอยบัญชาการ บุรุษสกุลเฉินล้
ตอนที่2.2 ผู้บัชชาการทัพจูเซว่เมื่อขบวนแม่ทัพเดินทางมาถึง พวกเขามุ่งหน้าสู่ท้องพระโรง คุกเข่ากล่าวสรรเสริญฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาขุนนางที่ทอดมองมาด้วยความรู้สึกหลากหลายฝ่ายพลเรือนเหยียดหยามต่างดูหมิ่นกันว่า ‘ทหารพวกนี้ ดีแต่ใช้กำลังไม่มีมันสมอง’ ขุนนางสังกัดฝ่ายพลเรือนหยิ่งผยองและจองหองพองขนนัก กดข่มฝ่ายทหารว่าโง่เขลาเบาปัญญา มองแม่ทัพเฉินราวกับเป็นสุนัขบ้าข้างทางที่มีประโยชน์ไว้กัดผู้รุกรานเท่านั้นบ้างก็เบะปากรังเกียจ บ้างก็แค่นเสียงหยัน คลี่ยิ้มแดกดัน หรือแม้กระทั่งไหวไหล่อย่างไม่สนถึงความดีความชอบตรงกันข้ามกับฝ่ายทหาร ขุนนางสวมชุดแดงปักลวดลายพยัคฆ์กลางแผ่นหลังทั้งหลาย ดวงตาลุกวาวราวเปลวเพลิง จิตใจสั่นสะท้านดั่งถูกสายฟ้าฟาดส่วนใหญ่ริษยา ส่วนน้อยศรัทธา นั่นก็เพราะบุรุษหนุ่มที่คุกเข่าเบื้องหน้า นับเป็นอัจฉริยบุคคลที่ร้อยปีจะมีสักคน เฉินชิงซงถือเป็นคนฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังมีความเก่งกล้า วาจาคมคาย เป็นคนเคร่งครัดในกฎและระเบียบวินัย ทั้งยังมีไหวพริบปฏิภาณดีเลิศอย่างมิอาจหาจุดด้อยพบคิดดูเอาเถิด เหล่าองค์ชายของฮ่องเต้ยังไม่อาจเทียบเคียงแม่ทัพหนุ่มแห่งสกุลเฉินได้แม้เพียงเสี้ยวขุนนางฝ
ตอนที่1.1 คุณหนูรองสกุลจางแคว้นสือจ้าว…ดรุณีน้อยวัยแรกแย้มอายุราวสิบสี่ปี พยายามเดินฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดเข้ามา ซึ่งในเวลานี้ผู้คนมากมายต่างมายืนมุงกันอย่างแออัด เพื่อเฝ้ารอการมาถึงของกองทัพจูเชว่ กองทัพที่มีความสำคัญไม่แพ้ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นยามเมื่อเห็นขบวนแม่ทัพเคลื่อนใกล้เข้ามา เสียงโห่ร้องสรรเสริญของผู้คนมากมายก็ดังขึ้นพร้อมกัน สร้างความปลื้มปีติและขวัญกำลังใจให้แก่ทหารกล้าได้ไม่น้อยดูเอาเถอะ! ในครั้งนี้ท่านแม่ทัพเฉินสร้างความดีความชอบมากมาย ฝ่าบาทจะต้องประทานรางวัลใหญ่ให้เป็นแน่” ชายหนุ่มในกลุ่มชาวบ้านที่มายืนดูพูดขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาถามด้วยความสนใจ“เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือ”“ก็แน่ล่ะสิ ทำคุณงามความดีเสียขนาดนี้แล้ว จะได้ของกำนัลเล็กๆ น่ะหรือ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่ เจ้ารอดูต่อไปเถอะ”เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปตลอดถนน บ้างก็มีการวางเดิมพันถึงรางวัลพระราชทานที่อีกฝ่ายจะได้รับแต่ก็มีข่าวเล่าลือกันไปทั่วว่า ราษฎรทั่วแคว้นล้วนชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้า ในขณะที่ฮ่องเต้กลับชื่นชอบขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่าฝ่ายบู๊ ขนาดขอทานหรือเด็กน้อยยังรู้เรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่เส
ตอนที่2.2 ผู้บัชชาการทัพจูเซว่เมื่อขบวนแม่ทัพเดินทางมาถึง พวกเขามุ่งหน้าสู่ท้องพระโรง คุกเข่ากล่าวสรรเสริญฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาขุนนางที่ทอดมองมาด้วยความรู้สึกหลากหลายฝ่ายพลเรือนเหยียดหยามต่างดูหมิ่นกันว่า ‘ทหารพวกนี้ ดีแต่ใช้กำลังไม่มีมันสมอง’ ขุนนางสังกัดฝ่ายพลเรือนหยิ่งผยองและจองหองพองขนนัก กดข่มฝ่ายทหารว่าโง่เขลาเบาปัญญา มองแม่ทัพเฉินราวกับเป็นสุนัขบ้าข้างทางที่มีประโยชน์ไว้กัดผู้รุกรานเท่านั้นบ้างก็เบะปากรังเกียจ บ้างก็แค่นเสียงหยัน คลี่ยิ้มแดกดัน หรือแม้กระทั่งไหวไหล่อย่างไม่สนถึงความดีความชอบตรงกันข้ามกับฝ่ายทหาร ขุนนางสวมชุดแดงปักลวดลายพยัคฆ์กลางแผ่นหลังทั้งหลาย ดวงตาลุกวาวราวเปลวเพลิง จิตใจสั่นสะท้านดั่งถูกสายฟ้าฟาดส่วนใหญ่ริษยา ส่วนน้อยศรัทธา นั่นก็เพราะบุรุษหนุ่มที่คุกเข่าเบื้องหน้า นับเป็นอัจฉริยบุคคลที่ร้อยปีจะมีสักคน เฉินชิงซงถือเป็นคนฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังมีความเก่งกล้า วาจาคมคาย เป็นคนเคร่งครัดในกฎและระเบียบวินัย ทั้งยังมีไหวพริบปฏิภาณดีเลิศอย่างมิอาจหาจุดด้อยพบคิดดูเอาเถิด เหล่าองค์ชายของฮ่องเต้ยังไม่อาจเทียบเคียงแม่ทัพหนุ่มแห่งสกุลเฉินได้แม้เพียงเสี้ยวขุนนางฝ
ตอนที่2.1ผู้บัญชาการทัพจูเชว่แม่ทัพเฉินชิงซงทอดสายตามองชาวเมืองที่ยืนสรรเสริญตนเองตลอดเส้นทาง สายตากวาดมองไปตามบ้านเรือนที่อยู่รายรอบด้วยใบหน้าสง่างามสงบนิ่ง จนคาดเดาอารมณ์ไม่ออก ดวงตาดุจดวงดาวยามเหมันต์เป็นประกายวาววับ แยกแยะไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรท่าทางดุดันน่ายำเกรงนั่น ชวนให้ผู้คนเสียวสันหลังวาบยามเข้าใกล้ ทำเหมือนโลกทั้งใบมีเขากับม้าศึกคู่กายเพียงหนึ่ง นอกนั้นล้วนเป็นธาตุอากาศหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแม่ทัพหนุ่มปลื้มปีติกับการต้อนรับของชาวเมืองหรือไม่หรือว่าในใจเขากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ ล้วนคาดเดาไม่ออก ดูท่าหากภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า ท่าทีของเขาก็น่าจะยังคงเฉยชาไม่เปลี่ยน“ท่านแม่ทัพ...จุดประสงค์ที่ฝ่าบาทเรียกท่านเข้าวังครั้งนี้คือสิ่งใด ท่านพอคาดเดาได้หรือไม่ขอรับ” เผิงเสียนจือหรือรองผู้บัญชาการกองทัพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแม้จะมีใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสแจกจ่ายแก่ชาวเมือง ทว่าแววตาดำลึกล้ำกลับแฝงโทสะ แสดงให้รู้ว่ากองทัพจูเชว่มิได้เต็มใจที่จะเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงแม้แต่น้อยกองทัพจูเชว่คุ้มครองทิศใต้ โดยมีตระกูลเฉินดำรงตำแหน่งแม่ทัพคอยบัญชาการ บุรุษสกุลเฉินล้
ตอนที่1.2 คุณหนูรองสุลจางจางเหม่ยอวี้ หรือคุณหนูรอง บุตรีของขุนนางตำแหน่งรองเจ้ากรมพิธีการ ถือกำเนิดจากฮูหยินสามแห่งสกุลตู้ ตอนเป็นเด็กน้อยนางช่างอาภัพน่าสงสาร เมื่ออายุย่างเข้าห้าหนาวมารดาก็สิ้นใจตาย ทิ้งเด็กน้อยไว้กับความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายตระกูลจางทำได้เพียงปล่อยข่าวการตายของฮูหยินสามออกไปว่าจากไปเพราะโรคประหลาดที่ยากรักษา ทั้งที่คนในจวนต่างก็ทราบดีว่ามีผู้ประสงค์ร้าย คิดสกปรกลอบวางยาในน้ำชาของนาง ทว่ายังจับมือใครดมไม่ได้ จนตอนนี้ผู้ร้ายก็ลอยนวลไปถึงเก้าปีแล้วอันที่จริงยามไร้มารดาอุ้มชูดูแล คุณหนูรองจะต้องถูกโยกย้ายเข้าไปอยู่ภายใต้ความดูแลและสั่งสอนของฮูหยินใหญ่ ทว่าด้วยชะตาฟ้ากำหนดหรือพระโพธิสัตว์เล็งเห็นแล้วเวทนาก็มิอาจทราบได้ จึงดลจิตดลใจให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตาเด็กหญิงตัวน้อยอวบอ้วน จนถึงขั้นรับจางเหม่ยอวี้มาเลี้ยงดูด้วยตนเองรองเจ้ากรมพิธีการที่เห็นพ้อง และอยากเอาใจมารดาตัดสินใจอุ้มเด็กน้อยไปส่งถึงเรือนท้ายจวน แบบชนิดที่ไม่หันมามองสีหน้าบูดบึ้งของฮูหยินใหญ่สักนิดเดียวหลังจากฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดบุตรชาย ร่างกายของนางก็เริ่มอ่อนแอ จนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ทำให้ที่คิดอยากมีบุตรสา
ตอนที่1.1 คุณหนูรองสกุลจางแคว้นสือจ้าว…ดรุณีน้อยวัยแรกแย้มอายุราวสิบสี่ปี พยายามเดินฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดเข้ามา ซึ่งในเวลานี้ผู้คนมากมายต่างมายืนมุงกันอย่างแออัด เพื่อเฝ้ารอการมาถึงของกองทัพจูเชว่ กองทัพที่มีความสำคัญไม่แพ้ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นยามเมื่อเห็นขบวนแม่ทัพเคลื่อนใกล้เข้ามา เสียงโห่ร้องสรรเสริญของผู้คนมากมายก็ดังขึ้นพร้อมกัน สร้างความปลื้มปีติและขวัญกำลังใจให้แก่ทหารกล้าได้ไม่น้อยดูเอาเถอะ! ในครั้งนี้ท่านแม่ทัพเฉินสร้างความดีความชอบมากมาย ฝ่าบาทจะต้องประทานรางวัลใหญ่ให้เป็นแน่” ชายหนุ่มในกลุ่มชาวบ้านที่มายืนดูพูดขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาถามด้วยความสนใจ“เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือ”“ก็แน่ล่ะสิ ทำคุณงามความดีเสียขนาดนี้แล้ว จะได้ของกำนัลเล็กๆ น่ะหรือ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่ เจ้ารอดูต่อไปเถอะ”เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปตลอดถนน บ้างก็มีการวางเดิมพันถึงรางวัลพระราชทานที่อีกฝ่ายจะได้รับแต่ก็มีข่าวเล่าลือกันไปทั่วว่า ราษฎรทั่วแคว้นล้วนชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้า ในขณะที่ฮ่องเต้กลับชื่นชอบขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่าฝ่ายบู๊ ขนาดขอทานหรือเด็กน้อยยังรู้เรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่เส