บทที่ 25 — เถ้าธุลีในศาลาว่าง
Theme: “เถ้าธุลีของอดีต ย่อมลอยวนในใจของผู้นำเสมอ”
สถานที่หลัก: ศาลาว่างแห่งปราสาทคุโรดา — สถานที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของสันติภาพ
"ข้าพเจ้าหวังว่าจะไม่มีใครมานั่งตรงนี้อีก... เพราะเก้าอี้ที่ว่างเปล่า มักเงี่ยหูฟังคำโกหกได้ดีกว่าใครทั้งสิ้น"
— โชริว โคงะ ก่อนจะเผาแผนที่ศึกต่อหน้าศพสหาย
ศาลาหลวงร้างแห่งคุโรดาเงียบงัน เสียงลมพัดผ่านรอยแตกร้าวของไม้เก่า สะท้อนก้องกลับมาเสมือนเสียงผู้คนที่เคยประชุมกันในศาลานี้ เสาไม้ยังหลงเหลือคราบเลือดเก่า ภาพผนังที่เคยติดธงตระกูล ตอนนี้เหลือเพียงรอยเงาจาง
โชริว โคงะ ยืนอยู่ลำพังกลางศาลา หอบผ้าห่อเถ้ากระดูกของ โซอิจิ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ผู้ตายจากศึกอิบาระ เขาไม่พูดอะไรเลยเพียงแต่วางเถ้าธุลีลงตรงกลางศาลา แล้วจุดไฟ
“คนที่ตายเพราะความซื่อสัตย์... คือผู้ที่ศาลาเช่นนี้ไม่อาจรองรับได้”
ศาลาว่างสะท้อนใจโคงะว่า สถานที่แห่งการตัดสินใจครั้งใหญ่ของผู้นำในอดีตนั้นไร้ความหมาย ถ้าไร้จิตวิญญาณ
ขณะเปลวไฟไหววูบ โชริว หันมาพบชายชราในชุดหลวง อดีต องคมนตรีไร้นาม ผู้เคยคัดค้านสงครามเมื่อสิบปีก่อน เขายังมีชีวิต... แต่ไร้ตระกูล ไม่มีบ้านให้กลับ
"ท่านทำลายพันธมิตรทั้งหมดเพื่อแผ่นดินที่ไม่มีใครอยากได้ โชริว"
"ข้าไม่ได้อยากได้แผ่นดิน ข้าอยากได้... คนที่พร้อมยืนบนมันโดยไม่ล้ม"
ชายชราเตือนว่า เมื่อศรัทธาของพันธมิตรแต่ละฝ่ายเริ่มจาง การล่มสลายจากภายในจะเร็วกว่าการรุกรานใด ๆ
อีธาน กลับมาจากทูตต่างแดน พร้อมข้อมูลว่าตระกูล คุเสะ ใช้ “พระพยากรณ์” เผยคำทำนายปลอมในหมู่บ้านชายแดนว่า
“เจ้าผู้มาจากตะวันตก คืออสูรผู้จะครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
ข่าวลือทำให้ความไว้วางใจในตัวอีธานเริ่มสั่นคลอน แม้ในกลุ่มพันธมิตรของ โชริว เอง
โชริวจึงเรียกประชุมฉุกเฉินในศาลาว่าง โดยไม่มีผู้ใดมานอกจาก ท่านหญิงอากิ แม่ทัพหญิงผู้เคยเป็นเจ้าสำนัก
"นี่ไม่ใช่การประชุมแล้ว โชริว นี่คือพิธีศพของพันธมิตรเรา"
โชริวเปิดม้วนสนธิสัญญาเลือดที่เคยเขียนร่วมกับตระกูล ชิโรมิ และ มิสุโนะ แล้วเผามันท่ามกลางเถ้าธุลีของโซอิจิ
“เมื่อพันธสัญญากลายเป็นเครื่องมือของคนหลอกลวง ข้าก็จะคืนมันแก่ไฟ”
อีธานเข้ามาหลังจากนั้น เห็นภาพนี้เต็มตา นัยน์ตาเขาฉายแววไม่เข้าใจ
โชริวหันมาอย่างช้า ๆ ตอบว่า:
“ข้ารู้เจ้าหวังจะเข้าใจเรา แต่ที่นี่... ไม่มีใครเข้าใจกันได้อีกแล้ว”
ทันใดนั้น นักฆ่าจากตระกูลนิรนาม พุ่งเข้าโจมตีภายในศาลา เป้าหมายคือเผาทั้งตัวศาลาและฆ่าทั้งโชริวกับอีธาน พวกมันถือคบเพลิงและคาถาปลอมจากศาสนา คำพูดปลุกระดม
“เมื่อศาลาถูกไฟล้าง เงาจะไม่มีวันกลับ!”
ศึกย่อม ๆ ภายในศาลาอุบัติ อีธานใช้ดาบตะวันตกป้องกันโชริวได้ทัน สังหารนักฆ่าอย่างแม่นยำ แต่อย่างหนึ่งที่ไม่มีใครหยุดได้คือ ไฟ
เปลวเพลิงลามไปทั่วทั้งศาลาว่าง — สถานที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางการตัดสินใจแห่งยุค กลับถูกทำลายต่อหน้าต่อตา
โชริว อีธาน และท่านหญิงอากิ หลบหนีออกมาได้ในวินาทีสุดท้าย
พวกเขายืนอยู่บนเชิงเขา มองเปลวไฟเผาศาลา ศพ โบราณวัตถุ และสนธิสัญญา
“เถ้าธุลีเหล่านี้... จะกลายเป็นดินสำหรับต้นไม้อะไรกันแน่”
— อีธานถาม
โชริวไม่ตอบ แค่เดินจากไปในเงาสะท้อนของเปลวไฟ...
พันธมิตรแตก
ศาลาที่เคยเป็นเครื่องมือของสันติภาพถูกเผาทำลาย
ตระกูลนิรนามเริ่มเคลื่อนไหวแบบเปิดหน้า
กลยุทธ์สันติภาพล้มเหลว — เหลือเพียง กลยุทธ์แห่งเปลวเพลิง
บทที่ 33 — กลิ่นดินปนกลิ่นเลือดฟ้าก่อนรุ่งบนเนินเขานอกอิคุซะโนะโมริ หนาวจัดราวมีบางสิ่งกำลังรั้งไม่ให้แสงตะวันขึ้นซาโยะยืนอยู่ริมลานฝึกดาบเก่า สายตานางทอดผ่านหมอกที่ยังคลุมแผ่นดินราวอาภรณ์ของศพกลิ่นดินหลังฝนใหม่… ปนกลิ่นเลือดสดที่ยังไม่แห้งดีมีร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่ใต้มะพลับกลางลาน คือ “ยูนากะ” หนึ่งในคนสนิทของฮากุโร่—ผู้เชี่ยวชาญการลอบสังหาร และเคยปกป้องซาโยะไว้ในศึกเพลิงเงา“เขาถูกวางยาและแทงซ้ำ” แพทย์หลวงกล่าวโดยไม่มองนาง “ผู้ลงมือ...รู้จุดตายของคนที่ถูกฝึกให้ฆ่าโดยไม่หายใจ”เสียงของแพทย์แฝงแววหวาดหวั่นฮากุโร่มาถึงโดยไร้เสียงฝีเท้า เขาก้มลงข้างศพ ใช
บทที่ 35 — สนธิสัญญาเงาภายในหอประชุมไม้เก่าแก่ กลางป่ามิสุโนะยามค่ำคืน โคมเทียนเพียงเจ็ดดวงส่องไหวราวลมหายใจของเหล่าขุนศึกผืนเสื่อกลางห้องว่างเปล่า ไม่มีใครกล้านั่งตรงกลาง ไม่มีใครกล้าเป็น “แกนกลาง” แห่งพันธมิตรนี้ซาโยะนั่งอยู่หลังฮากุโร่ มองผ่านม่านเส้นผมของตนเอง—ทุกถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ย คือเชือกที่ร้อยผู้นำสามตระกูลเข้าหากัน หรือผูกพวกเขาให้ตายไปด้วยกัน“เราจะทำข้อตกลงใต้แสงเทียน โดยไม่มีใบหน้า ไม่มีชื่อ และไม่มีความแค้น” ฮากุโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แววอารมณ์อาโอบะยกพัดขึ้นปิดริมฝีปาก “การไม่เอ่ยนาม เป็นธรรมเนียมของพวกเงา... หรือของพวกทรยศ?”อิซึมิหัวเ
บทที่ 32 — โลหิตที่ร้องไห้ในแสงเทียนห้องหนึ่งในคฤหาสน์อิคุซะโนะโมริถูกแสงเทียนไหววูบสะท้อนเงาร่างสองร่างบนฉากญี่ปุ่นเก่าซาโยะนั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง ร่างของเธอสวมเสื้อคลุมบาง ขอบผ้าสีเข้มเปรอะไปด้วยฝุ่นเขม่าจากสนามรบเธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่แม้แต่หลั่งน้ำตาแต่โลหิตในอกกลับกรีดเสียงเจ็บปวดดั่งมีใครร้องเรียกจากอดีตเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง ฮากุโร่ปรากฏตัวโดยไร้ชุดเกราะ มีเพียงผ้าคลุมดำที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและเถ้าถ่าน“เจ้ารอดมาได้...” เสียงของเขาราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่“ทุกคนตายหมด ยกเว้นข้า” ซาโยะพูดช้า ๆ ไม่ใช่คำสารภาพ แต่เหมือนบันทึกของผู้รอดชีวิตเขาไม่ตอบ กลับเดินมาวางดาบของตัวเองลงบนเสื่ออย่างนุ่มนวล แล้วนั่งเคียงข้างเธอ"เจ้ารู้ไหม..." ซาโยะเอ่ยโดยไม่หันมา “ตอนเปลวไฟล้อมข้า ข้าไม่กลัวตายเลยสักนิด”“แต่ข้ากลัวว่า หากข้ารอด... ข้าจะต้องเห็นหน้าเจ้าอีก”คำพูดนั้นเฉือนผ่านห้วงความเงียบอย่างรุนแรงฮากุโร่ไม่ตอบในทันทีเขาหยิบเทียนเล่มหนึ่งขึ้นมาจุดใหม่ ไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างเงาสะท้อนของซาโยะในม่านตาของเขา“แล้วเมื่อเจ้ารอดจริง ๆ เจ้ารู้สึกอย่างไร”ซาโยะนิ่ง เงีย
ย้อนอดีตของกลยุทธ์ “เพลิงเงา”🧭 เบื้องหลังกลยุทธ์ “เพลิงเงา”จุดมุ่งหมายหลัก:ดึงกองกำลังศัตรูเข้ามาสู่ กับดักซุ่มโจมตีใช้ “เปลวไฟ” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและสายตาใช้ “เงาคน” ทำลายระบบข่าวกรองและสัญญาณสื่อสารศัตรูขั้นตอนการเตรียมตัว:สำรวจพื้นที่เลือกเนินสูง 2 จุดทางตะวันตกเฉียงใต้ของ อิคุซะโนะโมริ เพื่อเป็นฐานตั้งกองกำลังหลัก (A และ B)ระหว่างเนินมีลำธารและพุ่มไม้หนาทึบเป็นทางเดินสำหรับการลอบซุ่มจัดเตรียมเพลิงลวงจุดกองไฟพร้อมเปลาะฟางและกิ่งไม้ลุกไวใน 3 จุด (X, Y, Z) ใกล้ทางเข้าจุดไฟพร้อมกันเพื่อสร้าง “วงเพลิงวงแรก” ระหว่างทางเดินเข้าป่าวางทหาร “เงาซุ่ม”กระจายหมวดลอบโจมตีตามแนวธาร และตามช่องว่างของพุ่มไม้สั่งให้เลี่ยงใช้ธงหรือโซนหมายเหตุระบุตัวแผนยกกองปลอมส่งกองทัพปลอม (ธงปลอม) มุ่งตรงไปยังทางทิศเหนือเพื่อเบี่ยงกำลังศัตรูเมื่อศัตรูเคลื่อนพลตาม มาเจอแต่เงาดับหายไร้เป้าหมาย และถูกล่อลวงเข้าสู่วงเพลิงขณะที่เงาซุ่มอยู่📐 แผนผังสนามรบ (มุมมองจากเบื้องบน) ┌───────────────────────────────────┐ │ ทางทิศเหนือ (กองปลอม) │ │
บทที่ 31 — เพลิงเงาในอิคุซะโนะโมริลึกเข้าไปในป่าภูเขาทางตะวันตกของซาคาเอะ ดินแดนที่เคยเงียบสงบกลายเป็นสนามซุ่มกลแห่งยุทธศาสตร์ — อิคุซะโนะโมริ ป่าที่ชื่อแปลว่า "ไพรสงคราม"เสียงฝีเท้าทหารของสองแคว้นดังสะท้อนผ่านแนวไผ่ ฮากุโร่สวมผ้าคลุมสีเทาเช่นเคย ใบหน้าถูกบดบังด้วยหน้ากากครึ่งซีก แต่ดวงตาของเขาว่างเปล่าราวคนตายที่ข้างกาย เขามี ทาคุมะ — รองแม่ทัพผู้รู้เพียงเศษเสี้ยวของอดีต และ อาซึกะ หญิงนักสอดแนมที่เคยล่วงรู้ความลับของซาโยะตั้งแต่ต้น“เรากำลังล่อศัตรูให้ตามแสงเทียน... แต่ไฟที่เผาเราอาจเป็นของจริง” อาซึกะเอ่ยเบา ๆ“แผนนี้มีชื่อว่าอะไร?” ทาคุมะถาม“เพลิงเงา” ฮากุโร่ตอบเรียบเย็น “จุดไฟจากในเงา... เผาใจศัตรูให้กลายเป็นควันก่อนจะฟาดดาบใส่”ขณะเดียวกัน ซาโยะถูกทิ้งไว้ที่คฤหาสน์มิสุโนะพร้อมกับกล่องไม้เล็ก ๆ ที่ฮากุโร่ทิ้งไว้ให้ก่อนออกเดินทางนางลังเล ก่อนจะเปิดมันภายในคือ สายสร้อยจากเปลือกหอยโบราณ ที่บิดาของนางเคยสวมใส่ และจดหมายเพียงไม่กี่บรรทัด:“แม้ข้าจะเป็นเงา แต่ข้าขอให้เจ้าจำข้าในยามที่แสงอาทิตย์สิ้นสุด”มือของซาโยะสั่น ดวงตาหนักด้วยหยาดน้ำ และภายในใจ... มีบางอย่างที่เริ่มแตกออก —
บทที่ 30 — ดินแดนที่ไม่มีผู้ชนะรุ่งสางปกคลุมคฤหาสน์มิสุโนะด้วยหมอกหนา แสงแรกของวันไม่อาจส่องทะลุม่านสีเทา เหมือนชะตาของแผ่นดินที่ยังไม่รู้ปลายทางซาโยะนั่งอยู่หน้าชานเรือน ใต้ต้นสนโบราณ สวมกิโมโนสีม่วงหม่น ปลายผมยังเปียกจากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเช้า นางจ้องมองดาบของบิดา — ที่บัดนี้รู้แล้วว่าผู้ปลิดชีพท่าน ไม่ใช่ชายที่นางเกลียดมาเกือบครึ่งชีวิตแล้วจะโทษใคร? จะรักใคร? จะต่อสู้เพื่อใคร?เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากหลังม่านไม้ไผ่ ฮากุโร่ก้าวเข้ามาอย่างไร้เสียง เงาของเขาทาบลงบนแผ่นพื้นไม้เหมือนเงาของสงครามที่ไม่เคยหายไป“เจ้ายังไม่หลับอีกหรือ” เขาถามเสียงแผ่ว“ข้าไม่เคยนอนดีเลยตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้” ซาโยะตอบโดยไม่หันไปเขาเงียบ ไม่ตอบโต้ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ โดยรักษาระยะห่างพอประมาณ — เหมือนทั้งสองยังเป็นศัตรูในสนามใจ“ข้ารู้ความจริงแล้ว” ซาโยะเอ่ยในที่สุด “เจ้าปิดปากมือสังหาร ไม่ใช่เพราะความยุติธรรม... แต่เพราะเจ้าต้องการอำนาจของตำแหน่งว่าง”ฮากุโร่พยักหน้า“ใช่ — ข้าไม่ได้บริสุทธิ์ แต่ข้าก็ไม่ได้ฆ่าพ่อเจ้าด้วยมือข้า ข้าแค่เดินเข้าไปในช่องว่างที่สงครามเปิดไว้”“นั่นต่างจากฆ่าเ