ถูกสหายรักหักหลัง ถูกสามีหลอกใช้ สุดท้ายนางไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิต พอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ สิ่งแรกที่นางทำก็คือสลัดเจ้าขยะผู้นี้ทิ้งไปให้ไกล และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวของนางรอดพ้นจากหายนะ
View Moreท่ามกลางลมพายุโหมที่กระหน่ำ สายลมและสายฝนที่โปรยปรายลงมาตกกระทบหลังคาและหน้าต่าง ส่งเสียงดังราวกับธรรมชาติกำลังโกรธเกรี้ยว แม้ว่าจะอยู่ภายใต้ลมพายุที่โหมกระหน่ำแต่หัวใจของหลินเหม่ยเหยากลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง ความเจ็บปวดความรวดร้าวตามร่างกายไม่ได้ส่งผลต่อใดๆ ต่อ นางอีกต่อไปแล้ว หยาดน้ำตาบนใบหน้าของนางแห้งเหือดไปนานแล้ว พร้อมกับลูกในท้องที่สูญเสียไป สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในยามนี้ก็คือความเจ็บปวดในหัวใจของนางเพียงเท่านั้น
“เหยาเหยา ขอเพียงเจ้ายินดีปลิดชีพของตนเอง สกุลซ่งของท่านพี่ก็จะไร้ซึ่งข้อกังขา ฮูหยินที่มาจากครอบครัวของฆาตกรที่เป็นกบฏเช่นเจ้ามีแต่ฉุดดึงให้ท่านพี่ต้องต้อยต่ำลง ดังนั้นการตายของเจ้าจึงเป็นเรื่องที่จะสามารถช่วยเขาให้หลุดพ้นได้” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาหัวเราะออกมาในทันที
“เหตุใดข้าต้องช่วยเขาด้วยเล่า ตอนที่ท่านพ่อของข้าถูกกรมอาญาไต่สวนหากไม่เป็นเพราะเขาไปเป็นพยานว่าท่านพ่อของข้าเคยปรุงยาพิษชนิดนั้นมีหรือที่ท่านพ่อของข้าจะถูกประหาร และคนในสกุลหลินของข้าจะกลายเป็นกบฏเช่นนี้” หยางสุ่ยเซียนพูดพลางหลั่งน้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วออกมาอีกครั้ง
“ต้องโทษที่ท่านพ่อของเจ้าปรุงยาพิษชนิดนั้นได้ หากมีคนพบเบาะแสข้อนี้เข้าท่านพ่อของเจ้าก็จะได้รับโทษประหารอยู่ดี คนสกุลหลินกลายเป็นกบฏแล้วลูกเขยคนโตเช่นเขาหากไม่ออกหน้าทำอะไรสักอย่างก็ย่อมจะต้องพลอยโดนหางเลขไปด้วยแน่ ดังนั้นการที่เขาออกหน้าไปเป็นพยานเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดอะไร” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาหัวเราะออกมาด้วยความแค้นใจ หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดยังไม่ทันเหือดหายไปจากใบหน้า สายตาของนางที่จ้องหยางสุ่ยเซียนและคนที่ยืนนิ่งอยู่หลังฉากกั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
“เขาน่ะหรือไม่ได้ทำผิด คนที่ให้ร้ายท่านพ่อของข้าก็คือเขา คนที่ออกหน้าไปเป็นพยานก็คือเขา แล้วยังมาใช้ข้ออ้างว่าเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากร่างแห หากท่านพ่อของข้าไม่ได้ถูกเขาให้ร้ายมีหรือที่จะถูกไต่สวน และตอนไต่ส่วนหากเขาไม่ได้ไปเป็นพยานและนำหลักฐานเท็จไปยืนยันที่ศาลท่านพ่อของข้าจะถูกตัดสินว่ามีความผิดได้อย่างไร” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้บุรุษที่ยืนอยู่หลังฉากกั้นเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางพลางจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาในทันที
“นั่นก็ต้องโทษท่านพ่อของเจ้าที่เขามีฐานะเป็นถึงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงแต่กลับลุ่มหลงในศาสตร์วิชาการปรุงพิษ ข้าเฝ้าย้ำเตือนเขาเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟัง แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า พอมีคนในวังตายเพราะยาพิษคนที่จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งย่อมไม่พ้นท่านพ่อของเจ้ามิใช่หรือ ข้าก็แค่ทำตัวไหลไปตามน้ำเพื่อเอาตัวรอดเพียงเท่านั้น” คำพูดของซ่งเสวี่ยหรงทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความช้ำใจ เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนางเขาจึงได้เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“เหยาเหยา ความรักที่ข้ามอบให้เจ้านั้นมาจากใจจริงของข้า แต่อย่างที่เจ้ารู้ข้าคือบุตรชายคนโตของสกุลซ่ง สกุลของข้าจะรุ่งโรจน์หรือว่าดำดิ่งลงเหวล้วนขึ้นอยู่กับการกระทำของข้า ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ความรักความผูกพันระหว่างพวกเราไม่อาจจะนำพาวงศ์สกุลของข้าขึ้นสู่ที่สูงได้ ดังนั้นสิ่งที่ข้าทำได้ก็มีแค่เพียงการพยายามตัดใจจากเจ้าเพียงเท่านั้น และวิธีการที่ดีที่สุดในยามนี้ก็คือทำให้เจ้าหายไปจากโลกใบนี้เสีย จึงจะเป็นการดีที่สุดสำหรับข้าและสกุลซ่งของข้า” เมื่อเขาพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า
“หากข้าตายตอนนี้ท่านไม่กลัวคำครหาหรือ ครอบครัวของข้าถูกประหารได้ไม่นาน ตัวข้าก็ต้องมาตายในสกุลซ่งเช่นนี้ ท่านไม่กลัวว่าคนอื่นจะล่วงรู้ว่าท่านลงมือกำจัดข้าเพื่อตัดขาดกับสกุลหลินหรือ” เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้ซ่งเสวี่ยหรงก็ส่ายหน้า
“ผู้อื่นจะคิดเช่นไรกับเรื่องนี้ข้าไม่ได้สนใจ ข้าสนใจเพียงแค่ความคิดของท่านผู้สำเร็จราชการเพียงเท่านั้น” เมื่อซ่งเสวี่ยหรงพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันเข้าใจในทันที
“ที่แท้ท่านก็ยอมรับแล้วว่าท่านขี้ขลาด ฮ่า ฮ่า ฮ่า สุ่ยเซียนเอ๋ยสุ่ยเซียน เสียทีที่เจ้ามักจะคิดว่าตนเองฉลาดเหนือกว่าข้า ผลสุดท้ายเจ้าเองก็โง่งมไม่ต่างกันกับข้าหรอก ชายผู้นี้รับเจ้าเข้าจวนมาก็เพราะคิดว่าพี่ชายต่างมารดาผู้นั้นจะเห็นแก่หน้าของเจ้าเพียงเท่านั้น เพ่ย เขาหรือจะเห็นแก่หน้าของเจ้า เขาเกลียดชังเจ้าจะตายไปในสายตาของเขาเจ้าก็เป็นแค่เศษสวะที่เกะกะเขาในจวนสกุลหยางเพียงเท่านั้น” เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็พลันตวาดออกมาในทันที
“หลินเหม่ยเหยาเจ้าจงหุบปากเน่าๆ ของเจ้าเสีย” แต่มีหรือที่หลินเหม่ยเหยาจะสนใจคำพูดของสตรีตรงหน้า นางจึงได้ถ่มน้ำลายออกมาแล้วพูดถึงความโสมมของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางด้วยความรังเกียจ
“พวกเจ้ามันเป็นผีเน่ากับโลงผุที่มีความเหมาะสมกันราวกับคู่นรกสร้างเสียจริง หยางสุ่ยเซียนเจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าการที่ซ่งเสวี่ยหรงหันมาทำดีกับเจ้าก็แค่เพราะหวาดกลัวพี่ชายต่างมารดาของเจ้าเพียงเท่านั้น ส่วนซ่งเสวี่ยหรง ท่านเองก็ช่างโง่เขลาที่คิดว่าการที่ท่านแต่งนางเข้าจวนมาแล้ว นางจะสามารถช่วยส่งเสริมท่านได้” เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็โบกมือให้คนนำยาพิษเข้ามาในทันที
“บีบปากบีบจมูกของนางแล้วหรอกยาพิษชามนี้ลงไปเสีย” หยางสุ่ยเซียนพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
“พิษหงอนกระเรียนแดงชามนี้ ล้วนเป็นฝีมือการปรุงของท่านพี่ เขาเรียนรู้การปรุงยาพิษชนิดนี้มาจากพ่อของเจ้า ยามนี้เขาลงมือปรุงให้เจ้าด้วยตนเอง เจ้าก็อย่าทำให้เสียของเชียวนะ” หยางสุ่ยเซียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สายตาของนางกำลังจ้องมองคนของตนช่วยกันกรอกยาพิษลงไปในปากของหลินเหม่ยเหยาจนหมดชาม
“หยางสุ่ยเซียน ซ่งเสวี่ยหรง หากชาติหน้ามีจริงข้าจะต้องทำให้พวกเจ้าอยู่มิสู้ตาย” หลินเหม่ยเหยาฝืนใจเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขาดห้วง นางรู้ดีว่าพิษนี้มีความร้ายแรงมากขนาดไหน อีกไม่นานทวารทั้งเจ็ดของนางก็จะมีโลหิตหลั่งออกมา แล้วนางก็จะสิ้นใจตายไปเพราะพิษที่ได้รับในที่สุด
“แต่อย่างน้อยข้าก็วางใจไปเรื่องหนึ่ง การที่ข้าล่อลวงให้พวกเจ้าปรุงยาพิษชนิดนี้ออกมาได้นับเป็นเรื่องดี อีกไม่นานหยางเจี้ยนผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาของเจ้าก็คงจะสืบพบเบาะแสแล้วว่านอกจากท่านพ่อของข้าและตัวข้า คนที่สามารถปรุงยาพิษเกล็ดหิมะสลายวิญญาณได้ก็คือซ่งเสวี่ยหรง" เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้ซ่งเสวี่ยหรงก็พลันสบถออกมาในทันที
"หลินเหม่ยเหยา เจ้ากล้าให้ร้ายข้าหรือ" เขาพูดพลางเดินเข้ามาใช้ฝ่ามืออันใหญ่โตกำลำคออันบอบบางของหลินเหม่ยเหยาเอาไว้
"แค่ก แค่ก ดังนั้นต่อให้ข้าตายไปแล้วท่านที่เป็นสามีของข้าและทุกคนในสกุลซ่งก็ล้วนไม่อาจจะหลีกหนีความสงสัยของเขาพ้น ซ่งเสวี่ยหรงต่อให้ท่านไม่ได้ทำข้าก็สามารถยัดเยียดความผิดให้ท่านได้อยู่ดี เหมือนที่ท่านยัดเยียดความผิดให้แก่ท่านพ่อของข้าอย่างไรเล่า...” เมื่อพูดจบหลินเหม่ยเหยาก็กระอักโลหิตออกมาจนโลหิตของนางเปรอะเปื้อนร่างกายของซ่งเสวี่ยหรง
“จับทุกคนในสกุลซ่งเอาไว้ ตรวจค้นอย่างละเอียดหากพบเบาะแสว่ามีการปรุงยาพิษภายในเรือนนี้แม้เพียงนิดเดียวรีบส่งคนมาตามข้า” เสียงตวาดก้องของพระมาตุลาหยางเจี้ยน ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลปัจจุบันทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมา
ตอนที่บิดาและคนในครอบครัวของนางได้รับโทษประหารนางก็รู้แล้วว่าตนเองไร้หนทางรอด นางจึงได้จงใจสร้างหลักฐานชี้ความผิดให้แก่สามีของนาง นางไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่สามารถปรุงยาพิษที่นางและบิดาร่วมกันคิดค้นขึ้นมาได้ แต่ที่นางรู้คนที่วางยาปลิดชีพองค์ไทเฮาไม่ใช่นางและบิดาแน่ แต่ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่คนที่นางอยากให้ตายตามนางและครอบครัวของนางไปด้วยก็คือคนหยิบยื่นความตายให้นางและครอบครัวอย่างซ่งเสวี่ยหรงและหยางสุ่ยเซียน น่าเสียดายก็แต่ชาตินี้นางยังไม่ทันได้มองเห็นจุดจบของพวกเขาดวงวิญญาณของนางก็พลันหลุดออกจากร่างไปเสียก่อน
คุณหนูสกุลฉางกำลังจะแต่งงาน ข่าวนี้ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันแตกตื่นและก็พากันสงสัยว่าใครกันที่จะเป็นเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายคนนั้น ที่น่าประหลาดใจก็คือใกล้จะถึงวันมงคลอยู่แล้วแต่จวนสกุลฉางกลับไม่ได้จัดเตรียมงานมงคล แต่จวนที่จัดเตรียมงานมงคลกลับเป็นจวนสกุลหยาง จึงมีหลายคนต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าสาวอย่างฉางเจียกำลังจะแต่งออกจากจวนสกุลหยาง“เป็นเรื่องที่บ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางทำตัวหน้าไม่อายไปขอพักอาศัยที่จวนสกุลหยางก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่กล้าทำอยู่แล้ว แต่ยามนี้นางยังกล้าจัดงานพิธีส่งตัวขึ้นเกี้ยวที่จวนสกุลหยางอีกช่างเป็นสตรีที่ไร้ความเกรงอกเกรงใจเสียจริง” เสียงติฉินนินทาทำให้สวีหย่วนขมวดคิ้ว ในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้วที่ได้รู้ว่าฉางเจียกำลังจะแต่งงานกับผู้อื่น และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่านางแต่งออกไปอย่างไม่ปกติ ในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพฉาง แม้ว่าจะสิ้นไร้บิดาไปแล้วแต่นางก็ยังมีหน้ามีตามากเพียงพอที่จะแต่งออกจากจวนสกุลฉางโดยไม่อายผู้ใด แต่การที่นางแต่งออกจากสกุลหยางเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่ปกติเท่าใดนัก“ญาติผู้พี่ช่ว
‘ข้าเคยพูดว่าเขาเป็นคนหน้าตาธรรมดาหรือ ข้าเคยพูดตอนไหนกันนะ’ นี่คือความคิดของฉางเจียหลังจากที่นางมอบถุงผ้าปักของตนเองให้สวีหย่วนเพื่อเป็นของแทนใจแต่กลับถูกเขาส่งคืนมาให้แถมยังบอกกับนางว่า“คุณหนูเคยเอ่ยกับข้าว่าข้าเป็นคนที่มีหน้าตาธรรมดา ดังนั้นคนที่มีหน้าตาธรรมดาเช่นข้าจึงไม่คู่ควรที่คุณหนูฉางจะมาชื่นชอบหรอก” คำตอบของเขาพร้อมกับถุงผ้าปักที่ถูกส่งคืนทำให้ฉางเจียยื่นนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนวุ่นวายใจ“คุณหนูพวกเรารีบกลับจวนกันเถิด หากมัวชักช้าจะมืดค่ำเอาได้นะเจ้าคะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ฉางเจียตื่นจากภวังค์ความคิดในที่สุด นางหันไปมองสวีหย่วนอีกครั้งด้วยความปวดใจแล้วจึงได้เดินทางกลับจวนของตนเองด้วยความเหม่อลอยสวีหย่วนคือชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีอายุแค่เพียงยี่สิบต้นๆ เขาก็ได้เป็นเจ้ากรมอาญาแล้ว ส่วนนางเป็นสตรีที่กำลังจะพ้นวัยออกเรือนแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองจะถูกใจบุรุษคนใดนอกจากญาติผู้พี่ของตนเองอีกแล้ว จวบจนนางได้เห็นเขาตอนที่กำลังแสดงฝีมือจับกุมคนร้ายนางจึงได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่มีความห้าวหาญไม่แตกต่างไปจากญาติผู้พี่ของนางเลย สายตาเย็นชาที่เขาใช้จ้องมองนางทำให้นางรู้สึกได้ว่า
ซ่งเสวี่ยหรงและกัวไป๋จิ้งถูกตัดสินประหารชีวิตในวันเดียวกัน คนสกุลกัวทั้งสกุลพลอยติดร่างไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลซ่งได้รับการอภัยโทษและถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนตลอดชีวิต หวังจื่อเถียนทนรับความลำบากไม่ไหวแขวนคอตนเองตายไปในที่สุด หลินเหม่ยเหยารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยจิตใจอันว่างเปล่า บุญคุณความแค้นในชาติที่แล้วยามนี้นางสามารถปล่อยวางลงได้แล้ว ยามนี้สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้ก็มีแค่เพียงลูกในท้องที่กำลังจะเกิดมาเพียงเท่านั้นปราบปรามกบฏและสยบเหตุการณ์ก่อจลาจลได้สำเร็จ หยางเจี้ยนก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไหวกั๋วกงสามารถเข้าเฝ้าได้โดยไม่ต้องคุกเข่าอีกทั้งยังสามารถพกอาวุธเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงพลอยได้เป็นไหวกั๋วกงฮูหยินไปด้วย นางได้รับความริษยาจากบรรดาสตรีทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่เพียงมีวาสนาที่ดีแต่ยังได้รับความรักจากสามีอย่างล้นเหลือจนทำให้ผู้อื่นอดริษยาไม่ได้ไหวกั๋วกงไม่เพียงกว้านซื้อกิจการร้านค้าให้นางอย่างใจกว้าง แต่ยังประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าชาตินี้จะไม่รับสตรีอื่นเข้าจวนอีก ดังนั้นหากผู้ใดกล้ายัดเยียดอิสตรีมาให้เขาก็จงเตรียมตัวรอรับการลงทัณฑ์จาก
ยามที่หยางเจี้ยนขี่ม้าไปถึงจวนก็เห็นว่าคนของกรมอาญามาอยู่ที่จวนอย่างผิดปกติ เขารีบเดินไปลากคอของกัวไป๋จิ้งให้ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วในทันที โดยที่เขาไม่สนใจว่ากัวไป๋จิ้งตั้งหลักได้หรือไม่ ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นก็คือแม่ทัพใหญ่หยางกำลังลากคุณชายกัวในสภาพเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดเข้าไปในจวนสกุลหยาง“เหยาเหยา” เมื่อเข้าไปในจวนได้เขาก็ตะโกนเรียกชื่อของภรรยาในทันที ทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังมอบยาถอนพิษให้กับข้ารับใช้ภายในจวนต้องรีบเดินออกมาหาเขา“ท่านกลับมาแล้ว” หลินเหม่ยเหยาส่งเสียงทักทายเขาออกมาด้วยความยินดี เมื่อเขาเห็นนางก็เหวี่ยงกัวไป๋จิ้งให้สวีหย่วนที่กำลังยืนทำหน้าเคร่งเครียดอยู่แล้วก็รีบวิ่งไปดึงร่างของนางมาโอบกอดเอาไว้“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขาทำให้หลินเหม่ยเหยารีบพยักหน้าแล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงปลอบโยนเพื่อให้เขาสบายใจในทันที“ท่านวางใจได้ข้าไม่ได้เป็นอันใด บ่อน้ำที่ใช้ภายในจวนล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากคนของข้าที่นำมาจากร้านฝูโซ่วก่อน มีเพียงข้ารับใช้แค่เพียงไม่กี่คนเพียงเท่านั้นที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งดื่มน้ำในบ่อก่อนตรวจสอบ ก็เลยทำให้พวกเขาไ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยนยามนี้เขากำลังไล่ล่ากวาดล้างคนของฉินอ๋องที่ซุกซ่อนอยู่ในต่างเมือง ความวุ่นวายในเมืองหลวงมีคนของกรมอาญาและจิ่นหรงคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ส่วนเขานำกองกำลังอีกส่วนหนึ่งคอยติดตามจับกุมกัวไป๋จิ้งและจางซิงซิน“จางซิงซินหากเจ้ายินยอมมอบตัวแต่โดยดี ข้าก็ยินดีที่จะไว้ชีวิตบุตรชายที่พึ่งจะคลอดออกมาของเจ้า” หยางเจี้ยนที่ในยามนี้นำกองกำลังส่วนหนึ่งล้อมรอบบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง“หากเจ้าไม่ยินดีจะมอบตัววันนี้ข้าคงทำได้แค่เพียงต้องจบชีวิตของพวกเจ้าสองแม่ลูกในกองเพลิงเพียงเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้จางซิงซินค่อยๆ อุ้มห่อผ้าออกมาจากบ้านหลังนั้น สภาพเนื้อตัวของนางไม่หลงเหลือเค้าความงามอีกต่อไปแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเก่าคร่ำคร่า ร่างกายที่พึ่งจะคลอดบุตรได้ไม่นานแต่กลับไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างที่ควรจะเป็นทรุดโทรมจนแทบจะเดินไม่ไหว นางไม่มีทางเลือกมากนักเพราะคนที่หลบอยู่ในบ้านหลังนั้นสั่งให้นางอุ้มลูกออกมามอบตัว ไม่เช่นนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็จะถูกพวกเขาฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน นางจึงทำได้แค่เพียงอุ้มทารกน้อยออกมามอบตัวด้วยสภาพสิ้นไร้หนทาง“ท่านแม่ทัพได้โปรด
ฉางเจียไม่สนใจคำครหาของผู้คน นางเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหยางราวกับที่นี่เป็นจวนของตนเอง ที่สำคัญนางเฝ้าติดตามหลินเหม่ยเหยาราวกับเงา แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้รังเกียจนางอีกทั้งยังอยู่ร่วมกับฉางเจียราวกับว่านางคือพี่สาวน้องสาวคนหนึ่ง ซ่งเสวี่ยหรงทนได้รับการสอบสวนจากกรมอาญาไม่ไหวยอมรับสารภาพออกมาว่าเขาได้รับการติดต่อจากกัวไป๋จิ้งให้หาวิธีเข้าไปวางยาพิษเสวียนหมิงหลงฮ่องเต้ แต่เพราะช่วงนี้เขาถูกขับออกจากสำนักแพทย์หลวงทำให้เขาต้องยื่นข้อต่อรองขอให้กัวไป๋จิ้งหาวิธีให้เขาได้กลับเข้าไปทำงานในสำนักแพทย์หลวงอีกครั้งกัวไป๋จิ้งจึงสั่งให้เขาสังหารอนุจากสกุลหยางของตนเองก่อนเพื่อที่จะได้เอาอกเอาใจคนสกุลหวัง แล้วหลังจากนั้นกัวไป๋จิ้งจะไปช่วยพูดกับคนสกุลหวังเพื่อช่วยเขา ช่วงนี้กัวไป๋จูกำลังตั้งครรภ์อยู่แม้ว่านางจะมีฐานะแค่เพียงอนุ แต่ทารกที่อยู่ในครรภ์ของนางถือเป็นหลานคนแรกของท่านเสนาบดีหวัง กัวไป๋จิ้งจึงตั้งใจจะใช้การตั้งครรภ์ของน้องสาวเป็นสะพานให้ตนเองตีสนิทกับสกุลหวังและตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยพูดกับท่านเสนาบดีหาวิธีผลักดันซ่งเสวี่ยหรงด้วย ซ่งเสวี่ยหรงเกรงว่ากัวไป๋จิ้งจะเปลี่ยนใจ เขาจึงได้เก็บจดหมายที่ใช้ต
Comments