ซินหลินเป็นนักกายภาพบำบัดที่ทำงานอย่างหนักมาตลอด ช่วงเวลาที่เธอได้พักผ่อน เธอกลับทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งมีสามีเป็นชายพิการ พร้อมกับตัวช่วยพิเศษที่ติดตัวมาด้วย!
View Moreค่ำคืนในวันมืดมิด มีสถานที่หนึ่งเปิดเพลงเสียงดังกระหึ่ม แสงสีสาดส่องไปทั่วทุกพื้นที่ ผู้คนมากมายเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา รายล้อมอยู่รอบตัวหญิงสาวผมเป็นลอนยาวสวยนัยน์ตาหวานเยิ้ม เธอมองดูความวุ่นวายและฟังเสียงบรรเลงเพลงร็อกพาให้ใจเธอเต้นตามจังหวะ มีผู้คนเต้นคลอเคลียกันไปมาในสถานบันเทิงที่เธอกำลังนั่งอยู่ ในมือถือไวน์ชั้นดีมีรสชาติหวานนุ่มลิ้นและรสขมเล็กน้อย เธอนั่งอยู่ตรงบาร์เหล้าที่มีบาร์เทนเดอร์วาดลวดลายในการชงเหล้าให้กับเหล่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในค่ำคืนนี้
หญิงสาวสวยหุ่นดีในชุดสีแดงเข้ารูป เธอเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงด้วยความเมามัน สายตากวาดมองไปทั่วรอบตัว เธอมองเห็นเพื่อนสาวคนสวยในชุดดำสั้นรัดรูปได้อย่างพอดีตัว นั่งโงนเงนไปมาด้วยความน่าเป็นห่วง “ซินหลิน เธอไหวหรือเปล่าเนี่ย” เธอเดินเข้าไปถามเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง เสียงเรียกของใครบางคนที่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวในชุดสีดำได้สติและเงยหน้ามอง สายตาของเธอปรับภาพซ้อนไปมาให้มันชัดเจนขึ้น จึงได้มองเห็นเป็นเพื่อสาวคนสวยในชุดสีแดงรัดรูปเช่นเดียวกันกับเธอ “ฉันยังไหว พวกเธอเต้นกันต่อเลย ฉันขอนั่งพักหน่อยก็แล้วกัน” เธอตอบเพื่อนสาวที่ดูท่าทางเป็นห่วงเธอออกไปด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย หญิงสาวในชุดสีแดงมองดูท่าทางของหญิงสาวที่ตอบเธอว่าไหว มีสภาพที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่ “ถ้าเธอไม่ไหวก็บอกฉันนะ ฉันเต้นอยู่ไม่ไกล รู้ว่าตัวเองคออ่อนก็ยังจะกินเยอะอีก” เธอบ่นเพื่อนสาวที่นาน ๆ จะมีเวลาว่างมาเที่ยวกับพวกเธอ “เธอบ่นฉันเป็นแม่อีกคนแล้วนะ ฉันโตแล้วย๊ะ! ฉันไม่กินมันเยอะหรอกนา” เธอตอบเพื่อนสาวในชุดสีแดง เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศที่เพื่อนกำลังสนุก พร้อมกับทำท่าทางว่าสบายมาก หญิงสาวชุดแดงมองดูความเรียบร้อยของเพื่อนอีกรอบ เธอเดินกลับไปเต้นกับเพื่อนคนอื่นต่อ เธอเป็นห่วงซินหลินที่ช่วงนี้เธอดูเครียดมากกว่าปกติมาก ไม่รู้ว่าเธอมีเรื่องไม่สบายใจอะไร? ซินหลินเหลือบมองเพื่อนสาวแสนดีเดินจากไป เธอกลับมานั่งสนใจกับไวน์ตรงหน้าต่อ มีเรื่องที่ไม่สบายใจหลายอย่าง ตั้งแต่ที่เรียนจบมา ก็ยังไม่เคยได้ไปเที่ยวพักผ่อนอย่างจริงจังเลย มัวแต่ตั้งใจเรียนและหาเงิน ตอนนี้มีเงินแล้ว... แต่ไม่มีเวลา งานที่ทำก็แสนเหนื่อยแต่มีความสุขที่ได้ทำ เธอเป็นหมอกายภาพ ต้องใช้แรงกายในการช่วยผู้ป่วยจนรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ่อยครั้ง หลายวันมานี้ ซินหลินรู้สึกปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง อาจจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อยก็ได้ ยิ่งปล่อยไว้ อาการปวดหัวก็เริ่มหนักขึ้น คิดแล้วก็รู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียนขึ้นมา ‘หรืออาจจะเป็นเพราะไวน์ที่ฉันเพิ่งดื่มเข้าไปก็ได้’ ไม่ทันที่ซินหลินได้คิดทบทวนอะไรมากมาย อาการที่เป็นอยู่ก็ยิ่งแย่ลง ภาพทุกอย่างที่มองเห็นดูพร่ามัว เสียงที่ดังกึกก้องอยู่ในสถานบันเทิงเริ่มเบาลง... เธอมองทุกอย่างเป็นภาพซ้อนและอ้วกออกมา ทุกอย่างค่อย ๆ แย่ลง แขนขาที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนแรง เธอล้มลงไปพร้อมกับสติที่ดับวูบลงอย่างไม่ทันตั้งตัว… “ซินหลิน!” เพื่อนสาวหันกลับมามองซินหลินอีกครั้ง เธอมองเห็นซินหลินอ้วกออกมาและล้มลงไป เธอร้องเรียกให้คนช่วยพร้อมทั้งเรียกรถพยาบาลมาอย่างเร่งด่วน พอมาถึงโรงพยาบาล หมอและพยาบาลก็พากันวิ่งเข้ามาเข็นร่างของซินหลินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เธอได้แต่ยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยใจที่เป็นกังวลและเป็นห่วง เธอร้องไห้ พร้อมทั้งโทรหาครอบครัวของซินหลิน เพื่อให้พวกเขารีบมาหาที่โรงพยาบาล แต่โทรเท่าไหร่ก็โทรไปไม่ติด… ภายในห้องฉุกเฉินร่างของซินหลินนอนหายใจรวยริน เธอได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจ เสียงผู้คนหลายคนที่พูดคุยอยู่รอบตัวด้วยความเคร่งเครียด เสียงสุดท้ายที่ได้ยินเป็นเสียงเครื่องปั๊มหัวใจและอาการชาตรงหน้าอกของเธอ… ซินหลินได้สติอีกครั้ง เสียงเรียกของผู้คนที่ไม่คุ้นเคย แต่ชื่อที่พวกเขาใช้เรียกเป็นชื่อของคนอื่นที่ไม่ใช่ชื่อของเธอ? “หยางฉิง! ตื่น ๆ อย่าหลับ…” เสียงเรียกที่ดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ซินหลินค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวที่ไม่จางหายไป สายตาคู่งามมองไปรอบตัวที่ไม่คุ้นเคย ตรงหน้าของเธอมองเห็นชายคนหนึ่งที่มีผมสีดอก หนวดเครายาวเป็นสีขาว เสื้อผ้าของเขาดูเก่ามาก เธอไม่คุ้นเคยกับชายผู้นี้มาก่อนเลย ‘นี่ฉันเป็นอะไรกันแน่ ชาวบ้านพวกนี้เป็นใคร?’ เธอมองดูชาวบ้านที่แต่งตัวไม่คุ้นเคย ส่งเสียงเรียกยิ่งทำให้เธอมึนงง การปวดหัวก็ยิ่งเพิ่มความปวดหัวมากขึ้นไปอีก เธอเอามือกุมไปที่หัวพร้อมกับภาพหลายอย่างเกิดขึ้นมาในหัวไม่หยุด “หยางฉิงตื่นแล้ว! ทุกคนอย่ามุง เดี๋ยวนางจะหายใจไม่ออก” หมอหลี่เทาร้องบอกชาวบ้านให้ถอยห่างออกไป เธอเอามือทั้งสองข้างกุมไปที่หัว ภาพจำต่าง ๆ ก็ไหลเข้ามาในความทรงจำของเธอไม่หยุด เป็นภาพที่เธอไม่คุ้นเคย ‘ความทรงจำพวกนี้มันคืออะไร มันไม่ใช่ของฉันนิ’ เธอใช้เวลาเรียบเรียงภาพในความทรงจำ พร้อมกับเสียงของผู้คนที่อยู่รายล้อมรอบตัว ภาพเหล่านั้นที่อยู่ในหัวเป็นภาพของคนอื่นที่ไม่เหมือนเธอเลยสักอย่างเดียว ซินหลินยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู เป็นมือเรียวยาวขาวเนียนซึ่งไม่เหมือนกับมือของเธอเลย ‘หรือว่าตอนนี้ฉันได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของผู้หญิงที่ชื่อหยางฉิง? ฉันต้องรวบรวมสติและต้องพาตัวเองเดินออกไปจากตรงนี้ก่อน…’ ซินหลินคิดและหันมองไปรอบตัวอีกครั้ง มีชาวบ้านทั้งหญิงและชายมุงดูอยู่ด้วยสีหน้าหลากหลาย บางคนก็ดูอยากรู้ บางคนก็ดูเป็นห่วง และก็มีบางคนมองเธอด้วยสายตาแห่งความยินดี? “หยางฉิงเป็นอย่างไรบ้าง!” หลี่เทาร้องเรียกหญิงสาวที่ลืมตาตื่นขึ้นมา สีหน้าของนางดูมึนงง “ไม่เป็นอะไร” เธอตอบชายที่พบเห็นเป็นคนแรกเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ชายคนนั้นดูสีหน้าเป็นกงวลมากกว่าคนอื่น ‘คนนี้คงเป็นหมอสินะ’ “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ทำให้พวกข้าตกใจหมด อยู่ดี ๆ เจ้าก็เดินตกลงไปในหลุมและหัวกระแทกสลบไปตั้งหลายชั่วยาม ข้านึกว่าเจ้าตายไปเสียแล้ว เจ้าลุกไหวหรือไม่” หลี่เทามองท่าทีของหยางฉิง “ลุกไหว ไม่เป็นไรมาก” ซินหลินตอบคนที่ชาวบ้านเรียกว่าหมอออกไปด้วยท่าทางไม่ชิน “ดีแล้ว ถ้าเจ้าไปเป็นอะไรก็กลับไปบ้านเถอะ นี่เป็นยาแก้ปวด ข้าให้เจ้าเอาไว้ต้มกินหลังอาหารสามเวลา กินสักสองวันเจ้าก็จะดีขึ้น” หลี่เทาเอาห่อยาส่งให้หยางฉิงเอาไปต้มกินที่บ้านแต่หากเลือกได้ นางยังคงชอบบ้านที่อยู่ในสวนมากกว่า นางไม่ค่อยถูกใจกับการใช้ชีวิตในเมือง แม้ว่ามันจะสะดวกสบายกว่าก็ตามนางจึงหันไปถามความเห็นของหลี่เซิง หากเขาชอบอยู่ในเมือง นางก็จะอยู่กับเขา“หลี่เซิง ท่านคิดว่าที่นี่ดีหรือไม่?” นางถามพลางลอบสังเกตสีหน้าเขาหลี่เซิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “ข้าชอบบ้านสวนของเรามากกว่า ถึงที่นี่จะเจริญก็จริง แต่ข้ารู้สึกว่ามันวุ่นวาย ไม่สงบร่มเย็นเหมือนบ้านของเรา”‘เขาคิดเหมือนข้า’ นางพึมพำในใจโลกก่อนที่นางจากมา นางเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย บางที การมีชีวิตอยู่ถึงสองชาติอาจทำให้นางโหยหาความสงบก็เป็นได้...นางหันไปยิ้มให้เขา “ข้าก็ชอบบ้านสวนของเราเช่นกัน เอาไว้ถ้าพวกเราเก็บเงินได้ ค่อยสร้างบ้านหลังใหม่ดีหรือไม่? สร้างเผื่อลูกน้อยของเราด้วยเลย”แล้วนางก็เอียงคอถามเขา “ท่านอยากมีลูกกี่คน?”หลี่เซิงเดินไปจับมือนาง มองด้วยสายตาลึกซึ้ง “เจ้าอยากมีกี่คนก็ได้ทั้งนั้น ข้าไม่เหนื่อยอยู่แล้ว ถ้าเจ้าอยากมีสักห้าคน ข้าก็ยินดี”เขายิ้มเจ้าเล่ห์ หยอกล้อนางหยางฉิงฟังแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ นางตีแขนเขาเบา ๆ “ท่านเห็นข้าเป็นแม่วัวหรืออย่างไร
หลี่เซิงจึงพูดขึ้นมา “ทำสัญญาวันนี้เลยก็ดี เราจะได้เริ่มปรับปรุงร้านได้เร็วขึ้น ร้านนี้เจ้าเป็นคนซื้อ เป็นชื่อเจ้าถูกต้องแล้ว ภรรยา” เขาพูดพร้อมกับลูบอกตัวเองเบา ๆหยางฉิงยิ้มมุมปาก ‘เขานี่ช่างเอาตัวรอดเก่งซะจริง’“เรื่องย้ายโฉนดที่ดิน ข้าต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง?” นางเลิกสนใจหลี่เซิง แล้วหันไปพูดกับนายหน้าขายที่ดินแทน“ท่านเพียงแค่จ่ายเงินเพิ่มอีกห้าตำลึงทองเพื่อดำเนินการออกโฉนดที่ดิน เดี๋ยวข้าจะจัดการย้ายชื่อให้ พวกท่านสามารถไปจ่ายเงินที่สำนักทะเบียนที่ดินได้เลย” เขาอธิบายอย่างละเอียด วันนี้เขาช่างโชคดีที่ได้พบเจอคนซื้อง่ายหลี่เซิงยิ้ม ก่อนจะเดินไปหานายหน้าพร้อมยื่นถุงเงินให้ “ข้าขอฝากเรื่องนี้กับท่านด้วย”เงินห้าตำลึงเงินถูกส่งไป นายหน้ารับถุงเงินมา เขย่าดูเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ ‘เงินไม่น้อยเลย’ เขานึกในใจ แล้วตอบกลับไปด้วยอารมณ์ดี “ข้าจะรีบไปดำเนินการออกโฉนดให้พวกท่านเดี๋ยวนี้”จากนั้น ทั้งสามคนก็นั่งรถเกวียนวัวกลับไปยังสำนักทะเบียนที่ดินอีกครั้ง หยางฉิงเข้าไปดำเนินการจ่ายเงิน ไม่นานก็ได้รับโฉนดที่ดินของร้านค้า ซึ่งเป็นชื่อของนางเรียบร้อยแล้วโฉนดนี้มีสองฉบับ ฉบับจริงอยู่กั
หยางฉิงพยักหน้าเบา ๆ รู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปลอบโยนจากหลี่เซิงไม่นานก็ถึงคิวของพวกเขา ทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน พบว่ามีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นผู้ช่วย ส่วนอีกคนเป็นหัวหน้า สังเกตได้จากการแต่งตัวที่แตกต่างกันเจ้าหน้าที่เหลือบมองทั้งสอง ก่อนเอ่ยถามโดยไม่รีรอ“พวกเจ้าต้องการเช่าหรือซื้อ?”หลี่เซิงเป็นคนตอบ “ข้ามาซื้อร้านค้าขอรับ”เจ้าหน้าที่มองพวกเขาเต็มตาขึ้น ก่อนพยักหน้าให้ผู้ช่วยอีกคน“ในเมืองยังมีร้านค้าว่างอยู่หลายแห่ง พวกเจ้าต้องการให้นายหน้าพาไปดู หรือจะดูแค่โฉนดที่ดิน? แต่หากต้องการให้พาไปดู เจ้าต้องจ่ายสามตำลึงทอง”หยางฉิงคิดว่าการได้เห็นหน้าร้านจริง ๆ น่าจะดีกว่า นางจึงบอกให้หลี่เซิงจ่ายเงินห้าตำลึงทองหลี่เซิงที่เตรียมเงินไว้แล้ว จึงทำตามที่นางต้องการ“ข้าน้อยอยากไปดูหน้าร้านขอรับ” เขายื่นถุงเงินสองถุงออกไป “เป็นค่านายหน้าและค่ารบกวนเวลาของนายท่านขอรับ”เจ้าหน้าที่รับถุงเงินมา ก่อนแบ่งอีกหนึ่งถุงให้ผู้ช่วยนำไปจ่ายค่านายหน้า จากนั้นจึงหันมาพูดกับทั้งสองด้วยท่าทีเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย“พวกเจ้าออกไปรอหน้าห้อง จะมีเจ้าหน้าที่พาไปดูร้านค้า” พูดจบก็โบกมือไล่พวกเขา
นางเดินนำทุกคนไปด้านหลังบ้านดีที่ก่อนหน้านี้นางเก็บเจ้าตัวแสบทั้งหลายเข้าไปในมิติแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหลี่จงเดินตามแนวลำธารมายังสวนหลังบ้านของหลี่เซิง เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตาโตด้วยความตกตะลึงเขาไม่คิดเลยว่าด้านหลังบ้านของหลี่เซิงจะเขียวชอุ่มขนาดนี้!“ดินที่บ้านเจ้าคงดีมากจริง ๆ ถึงได้ปลูกผักผลไม้ได้งอกงามขนาดนี้” เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกไปหลี่อี้เหลือบมองต้นมะพร้าวที่ขึ้นเป็นแถวสูงเพียงไม่มากนัก‘ต้นมะพร้าวที่ข้าให้นาง สูงแค่นี้เองหรือ?’ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพวกมันขึ้นจริง ๆหลี่เซิงมองเพื่อนของเขาพลางยิ้มขำ คงจะตกใจไม่น้อย“นี่คือต้นมะพร้าวที่ข้าได้มาจากเจ้า ข้าได้นำมันมาขยายพันธุ์จนเติบโตหมดแล้ว” เขาอธิบายให้ทั้งสองคนฟังหยางฉิงจึงเสริมขึ้น “ที่พวกท่านเห็นอยู่ตรงนี้เป็นผักและผลไม้ที่เจริญเติบโตได้เร็วเมื่ออยู่ในดินที่ดี ข้าปลูกข้าวไม่เป็น จึงเลือกปลูกแต่พืชผักผลไม้ที่ให้ผลตลอดปี อีกทั้งที่บ้านของข้า ดินก็ดีและมีแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้สามารถปลูกพวกมันให้มีรสชาติอร่อยได้ แต่ก็ใช่ว่าใครจะปลูกขึ้นง่าย ๆ ทุกอย่างต้องอาศัยการดูแลหลายอย่าง”นางหันไปมองหลี่อี้กับลุงผู้ใหญ
หยางฉิงเหลือบมองหลี่เซิง ก่อนจะหันกลับมาสบตาผู้ใหญ่บ้าน นางพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพียงแต่ไม่คิดว่าชาวบ้านจะให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนออกหน้ามาเจรจาแทน“แล้วพวกเขาต้องการสิ่งใดหรือ?” นางเอ่ยถามพลางเอียงคอเล็กน้อย “ผลไม้ที่ข้าปลูกมีมากมายนัก พวกเขาสนใจอยากปลูกชนิดไหน? หรือว่าอยากปลูกทั้งหมด?”หลี่จงกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าหยางฉิงในตอนนี้ช่างน่าเกรงขามนัก...“เอ่อ...พวกชาวบ้านอยากได้วิธีปลูกต้นมะพร้าวของเจ้า และอยากขอพันธุ์ต้นมะพร้าวคนละหนึ่งลูก" เขากล่าวเสียงเบา "แต่ถ้าเจ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไร...”หลี่เซิงฟังแล้วถึงกับอดทนไม่ไหว เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“เหตุใดชาวบ้านพวกนั้นถึงได้เห็นแก่ตัวเช่นนี้? พวกข้าต้องใช้ความพยายามและความอดทนมากกว่าจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ แล้วพวกเขายังอยากให้ข้าช่วยถึงเพียงนี้อีก? ข้าคงให้ไม่ได้!” คำพูดของผู้ใหญ่บ้านในวันนี้ทำให้เขารู้สึกขัดหูนักหยางฉิงเอื้อมมือไปแตะแขนหลี่เซิงเบา ๆ เมื่อหลี่เซิงหันมามอง นางก็ส่ายหน้าให้เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร“ข้ารู้ว่าท่านลุงผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่ได้เต็มใจมาหาข้าเท่าไรนัก หากไม่ใช่เ
ชาวบ้านอีกกว่ายี่สิบคนที่มาด้วย ต่างช่วยกันกล่าวเสริม เพื่อให้คำพูดของหนานจือมีน้ำหนักยิ่งขึ้นผู้ใหญ่บ้านรับฟังแล้วพยักหน้าเล็กน้อย เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่คิดว่ามันจะลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้“สรุปแล้ว...พวกเจ้าก็แค่อยากได้ของของผู้อื่นน่ะสิ?” เขาพูดตัดบทอย่างตรงไปตรงมาหนานจือถึงกับหน้าชา นางรีบถูมือไปมาแก้อาการประหม่า “ผู้ใหญ่พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าไม่ได้อยากได้ของของผู้อื่น ขอเพียงเมล็ดพันธุ์สักลูกเดียวก็พอ และข้ายังอยากได้วิธีการปลูกด้วย”นางเคยเข้าเมืองและเห็นกับตาว่าสองสามีภรรยาของหลี่เซิงขายผลไม้ได้ดีเพียงใด จึงนำเรื่องนี้มาเล่าให้ชาวบ้านฟัง และชักชวนให้มาขอร้องผู้ใหญ่บ้านผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ เขาเองก็ไม่อยากไปรบกวนหลี่เซิง แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ได้ “เอาล่ะ ข้าจะเป็นตัวแทนไปถามหลี่เซิงให้พวกเจ้า แต่ไม่รับปากว่าจะได้หรือไม่”ชาวบ้านที่ยืนรวมกันต่างพากันโห่ร้องด้วยความดีใจ พวกเขาจะได้ลืมตาอ้าปากเสียที“ขอบคุณผู้ใหญ่มากเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นพวกข้าจะไม่รบกวนท่านอีก” หนานจือกล่าวพลางพาผู้คนทยอยเดินออกจากลานบ้านของผู้ใหญ่บ้านท่ามกลางฝูงชน จางเฟิงเองก็มายืนฟั
Comments