ตกลงจะเป็นแค่พระชายาจำเป็นให้เพียงหกเดือน แต่ทำไมจ้องแต่จะกินข้าเช่นนี้เล่าเพคะท่านอ๋อง....ทั้งตามหึง ทั้งรุกหนักขนาดนี้ แล้วข้าจะรอดหรือไม่ ไหนบอกว่าท่านอ๋องผู้นี้เย็นชาไง!! นี่มันหื่นเกินไปแล้ว!! "ยิ่งใกล้ ยิ่งอยากสัมผัส...." "ยิ่งอยู่ห่างสายตา กลับยิ่งมองหา" "ยิ่งเห็นคนอื่นเข้าใกล้ ก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิด" สุดท้ายก็ระเบิดอารมณ์จนเผอทำร้ายคนจนได้ เอ๊า!!....พระเอกผู้เย็นชาของชั้น "จากไม่สนใจกับเริ่มรุก.....และรุกหนักขึ้น" "จากพระชายาปลอม ๆ กลับไม่ยอมทำตามข้อตกลงเสียแล้ว" "จู่ ๆ ท่านอ๋องก็อยากกินพระชายาปลอม ๆ ผู้นี้ขึ้นมา เอาอย่างไรล่ะ จะรอดหรือไม่กันนะ....... ตามไปดูความคลั่งรักพระชายาปลอม ๆ ของท่านอ๋องที่เย็นชาดุจน้ำแข็ง จะถูกสาวน้อยเช่นอันเฟยละลายหัวใจจนกลายเป็นโบ้น้อยได้หรือไม่....
View Moreสำนักฝึกวิชา “เทียนซู” แคว้นหงหนาน
“อันเฟย!!”
“อาจารย์หญิง!!”
สตรีอ่อนวัยหันมาพร้อมกับดาบในมือที่ยังฝึกอยู่ในมือเมื่ออาจารย์หญิงเดินมาเรียก นางจึงได้เก็บดาบและเดินเข้ามาหาผู้ที่เรียกนางเมื่อสักครู่
“อาจารย์หญิง ท่านมีเรื่องด่วนอันใดหรือเจ้าคะ”
“มีจดหมายจากท่านพ่อของเจ้าพึ่งส่งมาถึงก็เลยรีบนำมาให้เจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“หมิงอันเฟย” รับจดหมายจากอาจารย์หญิงมาอ่านใต้ต้นดอกเหมยปลายฤดูหนาวของหงหนาน นางเป็นศิษย์ "สำนักเทียนซู" สำนักอันดับหนึ่งที่เก่งกาจเรื่องการใช้ดาบและอาวุธลับ
วิชาที่โดดเด่นมากที่สุดคือการฝึกพลังปราณคู่กับดาบที่กล้าแข็งไร้ผู้ใดเทียบได้ พลังปราณของพวกนางสามารถโยกย้ายสิ่งของได้และขับพิษบางอย่างได้
สำนักนี้อยู่ในแคว้นหงหนานที่เก่งเรื่องวิชายุทธ์ สำนักนี้จึงมีชื่อเสียงดังไปทั่วสามแคว้นที่อยู่ติดกัน แคว้นฉินนักรบบนหลังอาชาที่องอาจปราศจากผู้รุกล้ำมานานกว่าศตวรรษ เก่งกาจด้านการรบและการใช้อาวุธ และแคว้นเป่ยหยางผู้เก่งเรื่องการปรุงยาและเลี้ยงสัตว์ในเขตทุ่งหญ้า
“อะไรเนี่ย…ฝันไปเถอะ!!”
หมิงอี้เฟยทำหน้าราวกับฝันร้ายกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า ใช่แล้วอีกไม่กี่วันนางก็จะได้ลงจากเขา ที่จริงควรจะไปจากที่นี่ได้แล้วเพราะนางร่ำเรียนจบไปมากกว่าหนึ่งปีแล้วแต่เพราะนิสัยชอบฝึกฝนและรักสำนักนางจึงขอบิดาอยู่ที่นี่ต่อ แต่เมื่อจดหมายฉบับล่าสุดที่ถูกส่งมาถึงนางทำให้นางตัดสินใจลงจากเขาทันที
“เอี้ยนซือ ส่งให้ถึงมือพี่ใหญ่ข้าด้วยล่ะ”
จดหมายอีกหนึ่งฉบับถูกส่งไปกับเหยี่ยวสาวที่นางเลี้ยงเอาไว้ เหยี่ยวตัวนี้มากับนางครั้งแรกที่ขึ้นเขามาร่ำเรียนที่สำนักเทียนซู และตอนนี้อันเฟยก็เดินมายังห้องของอาจารย์หญิง “เนี่ยเจิน” อาจารย์ใหญ่ที่คอยดูแลนางอยู่ แต่ตอนนี้อาจารย์หญิงเข้านอนแล้วนางจึงวางจดหมายเอาไว้ที่บนโต๊ะทำงานแทน
“ขออภัยที่ศิษย์มิได้เอ่ยลาด้วยตนเอง อาจารย์โปรดอภัยด้วย”
นางวางจดหมายเอาไว้เรียบร้อยก็หันหลังเดินจากมาทันทีพร้อมกับลงเขาเทียนซูไปเงียบ ๆ มุ่งตรงไปยังชายแดนที่ติดกับหงหนานทางเหนือนั่นก็คือเมือง “ฉินโจว” เมืองหลวงของแคว้นฉินที่อยู่ใกล้หงหนานมากที่สุด
เมืองฉินโจว
เสียงอึกทึกของเมืองหลวงที่คึกคักตั้งแต่ยามเช้าและบรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างแดนที่เริ่มเข้ามาตั้งแผงร้านค้าทำให้ถนนรอบเมืองหลวงเริ่มแคบลงทุกที แต่อันเฟยกลับชอบบรรยากาศที่คึกคักเช่นนี้เพราะนาน ๆ นางจะได้มีโอกาสลงจากเขาสักทีเมื่อเดินเข้ามายังเมืองหลวงนางจึงเริ่มเดินไปตามเส้นทางจนกระทั่งพบจุดหมายตรงหน้า
“โรงเตี๊ยมต้าหรง ใช่แล้วที่นี่แหละ”
อันเฟยเดินเข้าไปพร้อมกับมองหาผู้ที่นางจะพอสื่อสารได้ ไม่นานก็มีชายสูงอายุ หลังค่อมนิด ๆ ที่ดูท่าทางราวกับผู้ที่มีหน้าที่จัดการในร้านเดินเข้ามาหานาง
“แม่นางท่านนี้ ต้องการห้องพักหรือมากินข้าวหรือขอรับ”
“อะฮึ่ม!! คือว่า….นี่”
นางยกป้ายหยกรูปหงส์ที่มีดวงตาสีแดงทับทิมชูให้ชายผู้นั้นดูพร้อมกับเอ่ยคำบางอย่างขึ้น
“ใบหลิวลู่ลม ต้นสนเปลี่ยนทิศ” / อันเฟย
“บรรพตกลืนตะวัน” / เสี่ยวเอ้อร์
“จันทราผลัดปฐพี พันลี้ใช้เพียงประโยคเดียว” / อันเฟย
“คุณหนูเชิญทางนี้เลยขอรับ”
“ขอบคุณ”
ชายผู้นั้นเดินนำทางนางขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยมและเลี้ยวไปยังทางซ้ายมือจนสุดทางก่อนจะเปิดประตูให้นางเข้าไปพบกับผู้ที่ทำหน้าที่คุมหอต้าหรงด้านใน
“คุณหนู เชิญท่านยกป้ายหยกอีกครั้ง”
นางทำตามที่ชายผู้นั้นสั่ง คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะบัญชีเงยหน้าขึ้นมามองนางนิ่งพร้อมกับรับป้ายหยกของนางมาส่องไฟดู ตรงดวงตาทับทิมสีแดงเริ่มเปลี่ยนสีและเกิดอักษรคำว่า “หมิง” ที่สะท้อนไปยังผนังเขาจึงรีบส่งป้ายนั้นคืนให้นางพร้อมคำนับให้
“มิทราบว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดขอรับ”
“ข้าขอเบิกเงินสักหน่อย”
“แต่ว่า…นายท่านสั่งเอาไว้ จะเบิกเงินต้องทำงานแลกไม่มียกเว้น”
“ทำงานงั้นหรือ แล้ว…มีงานใดที่น่าทำบ้างเล่า”
“….ท่านรอสักครู่”
เขาหันไปรื้อเอากล่องงานที่รับมาซึ่งแยกออกเป็นสามกล่องและนำมาวางตรงหน้านาง
“นี่อะไรกันน่ะ”
“สามกล่องนี้คืองานที่มีให้ท่านเลือกขอรับ กล่องแรกเป็นงานง่าย ๆ รับส่งเอกสาร แก้ปัญหาผัว ๆ เมีย ๆ แต่ค่าตอบแทนก็จะไม่เกินสิบตำลึง”
“สิบตำลึง!! ซื้อเหล้าดี ๆ ยังไม่ได้เลย แล้วกล่องกลางนี่เล่า”
“งานนี้จะเสี่ยงขึ้นมาหน่อย ช่วยทางการสืบคดีอย่างลับ ๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากแต่สถานที่ที่จะไปคือพวกบ่อนการพนัน หอนางโลม และโรงสุรา เป็นเหมือนนางนกต่อและปลอมตัวเพื่อช่วยทางการจับคนร้าย ราคาค่าจ้างก็จะอยู่ไม่เกินสองร้อยตำลึง”
“ทำไมมันต่างกันละ”
ครั้งนี้เองที่อันเฟยหยิบแต่ละแผ่นขึ้นมาดู
"งานไม่ยาก ปลอมเป็นนักดนตรี นางรำ นางโลมแล้วไปเอาหลักฐานในตัวคนร้ายและมอบทางการ ผู้จ้างวาน “ฟู่”
พวกท่านให้ผู้จ้างลงชื่อเช่นนี้จะไม่เป็นภัยหรอกหรือ"
“คุณหนูไม่ต้องห่วง ชื่อเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อปลอมทั้งสิ้นและทางเราเก็บทุกอย่างเป็นความลับขอรับ”
“อ้าว เช่นนี้แล้วจะจ่ายเงินอย่างไรกัน”
“ก่อนพวกเขามาว่าจ้างต้องวางเงินก่อนขอรับ ที่เหลือรับตอนปิดงานแน่นอนว่าหอต้าหรงของเราย่อมรู้จักผู้จ้างวานทุก ๆ คนดีขอรับ”
“เช่นนั้นก็ถือว่ารอบคอบ ว่าแต่…คนหนึ่งรับได้กี่งาน จำกัดหรือไม่”
“นั่นขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้รับงาน”
“สองกล่องนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีผู้ใดหยิบเท่าใดเลยนะ”
นางหมายถึงกล่องที่หนึ่งและกล่องที่สาม ผู้ดูแลบัญชีกล่าวตอบนางด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่แฝงเลศนัย แม้ว่านางจะคุยกับเขาไม่นานแต่ก็พอรู้ว่าคนผู้นี้คงพูดเล่นด้วยไม่ได้ เขาดูจริงจังราวกับพวกเสนาบดีหรืออำมาตย์ในวังหลวงก็มิปาน
“นั่นเพราะมันง่ายเกินไป อีกกล่องก็…ยากเกินไปจึงไม่ค่อยมีผู้ใดสนใจขอรับ”
“จะยากสักเพียงใดกัน ….อะไรนี่…ฆ่าคน!! แล้วยังมี วางยาพิษ….เดี๋ยวนะเรื่องนี้มันผิดกฎหมายนี่”
“ฆ่าคนที่สมควรฆ่าจึงฆ่า เป็นผู้ที่ทางการต้องการ เป็นนักโทษที่ก่อคดีร้ายแรง วางยาพิษที่ไม่ได้ทำให้ถึงตายเพียงแค่ข่มขู่ คุณหนูท่านควรอ่านเงื่อนไขให้ครบ”
“อ้อ เหลียนฮุย ฆ่าคนตายเก้าศพล้วนเป็นผู้หญิงงั้นหรือ เจ้าสารเลวนี่…”
“ฆาตกรต่อเนื่องก่อคดีข่มขืนแล้วฆ่าสตรีในเมืองหลวงมาเกือบสองเดือนแล้วที่ทางการตามจับแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว”
“ไอ้คนสารเลว ข้าเอง!! ข้ารับงานนี้”
“คุณหนูท่านแน่ใจงั้นหรือ”
“ข้าแน่ใจงานนี้ข้าไม่เอาเงินรางวัลด้วย คนสารเลวเช่นนี้…สมควรตาย!!”
นางอ่านคดีที่คนผู้นี้ฆ่าเพียงสตรีไปเก้าคน บางคนยังเป็นเด็กที่อายุไม่ถึงสิบหกปีด้วยซ้ำ บางคนก็เป็นบุตรขุนนางในเมืองหลวง และคนสุดท้ายที่มันฆ่าคือสตรีที่พึ่งตั้งครรภ์ได้สามเดือน อันเฟยเดินออกไปพร้อมกับดาบในมือเมื่ออ่านรายละเอียดของคนร้ายแล้ว
“ชุดสีสดใส ทางปากสีแดงและสวมเครื่องประดับที่มีเสียง เจ้าคนนี้ต้องเป็นคนวิปริตเป็นแน่”
อันเฟยจงใจเดินออกมานอกโรงเตี๊ยมแถวตรอกที่เคยบอกว่าคนร้ายมักจะมาฆ่าคนในบริเวณนี้เพราะใกล้กับหอนางโลมและโรงหมักสุรา อันเฟยเดินไปจนสุดตรอกก็ยังไม่พบความผิดปกติ
“นั่นนางเป็นผู้ใดกัน ไม่รู้หรือว่าแถวนี้มีคดีร้ายแรงเกิดขึ้นบ่อย ๆ”
“ท่านเป็นใครกันแน่นะ แล้วเหตุใดต้องบอกว่าจะได้พบกันอีก”จวนสกุลฮั่วหน้ากากลายดอกเหมยถูกวางเอาไว้ในกล่องอย่างดีก่อนที่ฮั่วหลินอีจะปิดฝาลงและเดินมานอนนึกถึงเรื่องราวในค่ำคืนนี้ช่วงที่นางเต้นรำดอกไม้ ท่วงท่าในการรำแม้ว่าจะเป็นของฉินโจว แต่บุรุษหนุ่มต่างแคว้นผู้นั้นกลับเต้นรำได้อย่างคล่องแคล่วจนน่าตกใจ“ข้าต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่ พบกันเพียงครั้งเดียวเองนะ”วังหลวงฮั่วหลินอีรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ที่ใดสักแห่งตั้งแต่พวกนางลงมาจากรถม้า นางสอดสายตาไปทั่วจนเงยขึ้นไปพบคนผู้หนึ่งที่รู้สึกคุ้นตาแต่ก็รีบหันหน้าหนีในทันที“เหตุใดคนผู้นั้น…”“หืม น้องสามเจ้าเป็นอะไรไป”“เปล่าเจ้าค่ะพี่รอง รีบเข้าไปด้านในกันเถอะเจ้าค่ะ”“ช่วงนี้เจ้าพูดน้อยลงนะรู้ตัวหรือไม่”“งั้นหรือเจ้าคะ ข้าก็แค่….”“เจ้ากำลังโกรธอะไรพวกข้าอยู่หรือเปล่าหลินอี”ฮั่วชิงอันมองน้องสาวด้วยความรู้สึกผิดเพราะตั้งแต่พวกนางกลับมาจากเมืองชุ่น พี่ใหญ่ก็กลับบ้านน้อยลงเพราะมัวแต่ไปเฝ้าลี่ฟางกับแม่ทัพลี่ที่หอต้าหรง ส่วนนางเองก็มีองค์ชายคุณหลิงที่มาหาที่จวนหรือไม่ก็จะไปที่จวนท่านอ๋อง แม้จะพานางไปด้วยแต่ก็ไม่ได้มีเวลาสนใจนางมากนักเกรงว่านางจะน้อย
นางโอบรอบคอของเขาเอาไว้แน่นเมื่อเขารับนางที่กำลังตกจากต้นไม้ที่นางพยายามปีนไปเก็บผลของมันแล้วพลัดตก เขาพานางมาที่ลำธารใสเพื่อล้างแผลที่แขน มือหนาค่อย ๆ ดึงแขนเสื้อนางขึ้นเพื่อล้างแผลและดึงผ้าที่ฉีกจากเสื้อของเขามาพันให้นาง“เอาพันไว้ก่อน กลับไปที่ค่ายแล้วค่อยทายาและเปลี่ยนใหม่”“ขอบคุณท่านแม่ทัพ”ลี่ฟางหันไปขอบคุณ ปากนางจึงหันไปชนแก้มของเขา แต่นางไม่อาจขยับได้เพราะนางกำลังตกใจ ส่วนฮั่วเทียนอี้นั้นรู้ใจตัวเองก่อนนางนานแล้ว เขาดึงนางออกพร้อมกับมองหน้านางที่แดงระเรื่ออีกครั้ง“อยากขอบคุณข้าจริง ๆ งั้นหรือ ข้าช่วยเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งที่สามสิบแปดแล้วตั้งแต่ออกเดินทางมา”“ท่านนั่งนับด้วยหรือเจ้าคะ นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ข้า…ขอบคุณจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นข้าขอ….”เขาไม่พูดต่อแต่ช้อนหน้าขึ้นมาจูบนางในทันทีจนนางเริ่มเงยหน้ารับจูบเขา ร่างบางถูกรวบขึ้นมาและเดินออกไปจากลำธารใสในป่าที่ไร้ผู้คน ลิ้นเกี่ยวตวัดจนทั้งคู่ไม่อยากให้ผู้ใดได้พบเห็น เทียนอี้ค่อย ๆ วางนางลงที่โคนต้นไม้ที่มีพื้นหญ้านิ่ม ๆ รองรับอยู่“ลี่ฟาง….ข้าคิดว่าข้า…”“ฮั่วเทียนอี้ ท่านเอาแต่มองข้า เดินตามข้าและช่วยเหลือข้า แม้หลับตาก็รู้
“คำสั่งพิเศษงั้นหรือ นี่มันแผนอันใดกัน เหตุใดข้าต้องไปแดนใต้เพื่อขอร้องแม่ทัพลี่ด้วย อันเฟยต้องการจะทำอะไรกันแน่น้องรอง”“ข้าเองก็หารู้แผนการของนางทั้งหมดไม่เจ้าค่ะ แต่ว่าในตอนที่ไปที่หอต้าหรงและรับตรากิเลนไฟมา พวกเราต้องฟังคำสั่งนางในฐานะแม่ทัพและข้าเชื่อใจอันเฟยว่านางจะคิดไม่ผิด”“เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถาม ในเมื่อท่านอ๋องไว้วางพระทัยให้นางถือป้ายควบคุมกองทัพ นั่นแสดงว่าท่านอ๋องมองเห็นบางอย่างในตัวนาง ชิงอันเจ้าอยู่กับนางคอยคุ้มกันไปจนถึงเมืองชุ่น อย่าลืมว่านางเป็นแม่ทัพ ต้องคุ้มกันนางอย่างดี”“พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง ข้าทราบแล้ว”“ข้าจะเดินทางไปคืนนี้เลย ที่เหลือฝากเจ้าด้วย”“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่….เดินทางปลอดภัยรักษาตัวด้วย”“เจ้าก็เช่นกัน…นายกองฮั่ว”กองทัพแดนใต้“ท่านแม่ทัพ แม่ทัพฮั่วน้อยขอเข้าพบขอรับ”แม่ทัพลี่หวงผู้คุมแดนใต้ของแคว้นฉินรีบเดินออกมาต้อนรับแม่ทัพหนุ่มอย่างรีบร้อน เขาต้องยอมรับว่าฮั่วเทียนอี้เป็นแม่ทัพที่ดูน่าเกรงขามไม่ต่างกับแม่ทัพฮั่วตูผู้เป็นบิดา เมื่อเดินเข้ามาเขาเองยังต้องรู้สึกเกรงใจ“แม่ทัพฮั่ว”ฮั่วเทียนอี้หันมาและคำนับให้ลี่หวงอย่างนอบน้อมจนแม่ทัพลี่ถึงกับนับถือเขา ที่จร
เมืองชุ่นฮั่วชิงอันที่คอยดูแลอันเฟยเป็นอย่างดีทั้งคอยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้และดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งที่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ชายใหญ่แห่งหงหนานตลอดเวลา“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงมิได้ใช้หมอหลวงของหงหนานเลยพ่ะย่ะค่ะ แม่นางผู้นั้น….”“ไม่ต้องห่วงหรอกพวกนางรักกันดั่งพี่น้อง นางไม่ทำร้ายอันเฟยแน่ พวกเจ้าไปดูแลคนที่บาดเจ็บเถอะข้าจะไปดูอันเฟยหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”เขาเดินเข้าไปในกระโจมของอันเฟย ด้วยความเคยชินที่เป็นพี่น้องกัน ทหารยามจึงปล่อยให้องค์ชายเข้าไปโดยไม่ทันระวัง แต่เขากลับไม่เห็นนางอยู่ในนั้นพบเพียงสตรีอีกนางที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่“นั่นผู้ใด”นางหันไปคว้าผ้ามาพันตัวเอาไว้ได้ทันและคว้าดาบที่ชั้นวางออกมาพร้อมกับหันมาชี้ใส่องค์ชายคุณหลิงที่ยืนตัวแข็งตกใจอยู่เพราะนึกไม่ถึงว่าบุตรสาวแม่ทัพฮั่วผู้นี้จะมีวรยุทธ์สูงเช่นนี้“องค์ชาย!!”“คือว่า…ขออภัย ข้ามาหาอันเฟยไม่คิดว่าเจ้า…จะอยู่ด้วย”เขารีบหันกลับไปเพื่อให้นางแต่งกายให้เรียบร้อย ชิงอันหน้าแดงจัดเพราะความอับอายเพราะนางไม่เคยเปลือยกายจนให้ผู้อื่นเห็นเนื้อหนังเช่นนี้มาก่อน“องค์หญิงไปเปลี่ยนชุด นางอยู่ด้านในเพคะ หม่อมฉันพึ่งทำแผลให้นางเส
เขากำชับกอดนางแน่นกว่าเดิมเมื่อนึกถึงว่าหากคลาดกันในคืนที่จับฆาตกรต่อเนื่องนั้นไป อาจจะไม่ได้พบกับนางและเรื่องทุกอย่าง เขาคงจะยังจัดการไม่ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้หากไม่มีนางคอยช่วย“โชคดีงั้นหรือเพคะ แต่ว่าคืนที่เราพบกันที่หอต้าหรงในวันทำสัญญานั่น พระองค์ยังเป็นผู้ที่ถือดี เจ้ายศเจ้าอย่าง เย็นชาและไร้น้ำใจอยู่เลยนะเพคะ”“นั่นเพราะว่าข้า…หลังจากสูญเสียเสด็จแม่ไปและถูกหานจินซือและท่านพี่หักหลัง ข้าก็เลยไม่คิดจะไว้ใจผู้ใดอีกจึงได้แสดงออกเช่นนั้นแต่พอเจ้าเข้ามาอยู่ในจวนข้าก็มิได้เป็นเช่นนั้นแล้วมิใช่หรือ ข้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจนดีขึ้น”“หากตอนนั้นพระองค์ไม่มีตัวเลือก เรื่องพระสนมทั้งสองจะเป็นเช่นไรกันนะเพคะ”“เฮ้อ….ข้าอาจจะมีสนมเพิ่ม หรือไม่คนที่ถูกฆ่าตายอาจจะเป็นข้า มิใช่พี่ใหญ่ก็ได้”“เพราะเหตุใดกันเพคะ”“เพราะว่าแผนการของหานจินซือนั้นมีมากมายเกินคาดเดา นางไม่มีทางยอมเสียตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทไปโดยง่าย และอุปสรรคใหญ่ของพวกเขาก็คือข้าอย่างไรเล่า การที่นำพระสนมสองคนมามอบให้ข้า นั่นก็เท่ากับคอยหาโอกาสเพื่อจะทำร้ายข้า เพียงแต่โอกาสนั้นมาช้าเกินไป”“นึกไม่ถึงว่านางจะคิดเรื่องนี้ไว้ลึก
หลินอีถึงกับตกใจจนแทบจะดึงมือหนีแต่องค์ชายไม่ยอม เขาดึงมือนางเอาไว้พร้อมกับส่งยิ้มมาให้นาง รอยยิ้มนี้เองที่ทำให้หลินอียอมแพ้“องค์ชายเพคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”“ข้าแค่ถามเจ้าดู ได้หรือไม่”“พระองค์ทรงหมายถึง….”“เต้าหู้หวานที่เจ้าทำมานั่นอย่างไร มันอร่อยมากข้าขออีกชิ้นหนึ่งได้หรือไม่”“อ้อ!! ท่าน…เอ่อ ได้สิเพคะ ข้าจะ…รีบไปเอามาให้รอสักครู่เพคะ”“เอ่อ…หลินอีเจ้าไม่จำเป็นต้องลนลานขนาดนั้น ข้าทำให้เจ้ากลัวงั้นหรือ”“หม่อมฉันมิได้ลนลานแค่อยากจะ…”นางไม่ทันรู้ว่าเขาเดินตามมาเมื่อจะหันไปตอบกลับหันไปชนเข้ากับแก้มที่มีลักยิ้มของเขาเข้า ท่าทางของจิ่น หยางเองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อถูกแก้มของนางชนเข้าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาคว้ารอบเอวนางเอาไว้ได้ก่อนที่นางจะเซล้ม“เต้าหู้นี้…ก็อร่อยนะ”เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มที่พร้อมกับขยับปากมาใกล้ ๆ นาง วันนี้เขาคิดว่าเขาเองก็รุกหนักพอสมควรทั้งตอนที่ไหว้พระในวัดและเดินจับมือนางเดินในตลาดหน้าเมือง ซื้อปิ่นปักผมและมุกประดับสวมให้นาง แต่หลินอีที่ไม่เคยถูกบุรุษใดเกี้ยวมาก่อนจึงทำตัวไม่ถูก“ขอชิมได้หรือไม่”“องค์ชายเพคะ นี่มันออกจะ….”มีหรือที่เขาจะทนไหวเมื่อได้อยู่ใกล้นา
Comments