เธอคือสายลับยอดฝีมือที่ถูกยมทูตพาวิญญาณไปผิดคน เพื่อชดเชยความผิดพลาด พวกเขามอบโอกาสให้เธอกลับไป… แต่ดันไม่ใช่ร่างเดิม!
Узнайте большеความเงียบแปลกประหลาดโรยตัวลงมา มันเป็นความเงียบที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน...เงียบจนฉันไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจเต้นของตัวเอง
ฉันจำได้ว่า... ภารกิจครั้งนี้ควรจะเป็นแค่การล่าพ่อค้าอาวุธเถื่อน เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่เสี่ยงตายตามปกติของฉันและทีม ฉันเคยผ่านการปะทะที่อันตรายกว่านี้มานับไม่ถ้วน เคยโดนยิงเฉียดหัว เฉียดหัวใจมาแล้วแต่ก็รอดทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้… ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองรอดไหม
เสียงปืนยังดังก้องอยู่ในหู ฉันจำได้ว่ากระสุนพุ่งตรงมาที่ฉัน มันแหวกอากาศมาก่อนที่ฉันจะทันได้ขยับตัวเสียอีก ความร้อนแล่นผ่านผิวหนัง พร้อมกับแรงปะทะที่ทำให้ร่างทั้งร่างกระเด็นก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
แล้วฉันก็ตื่นขึ้นมา… ที่ไหนสักแห่ง
ที่นี่เงียบจนน่าขนลุก ทุกอย่างเป็นสีขาวโพลน แต่ไม่ใช่แสงสว่างของโรงพยาบาล หรือห้องทดลองที่ฉันเคยเจอ แต่เป็นแสงที่ดูเหมือนจะมาจากทุกทิศทาง ราวกับไม่มีต้นกำเนิดของมัน
“อลิสา...อายุ 28 ปี เสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืน ถูกต้อง…หืม?” เสียงเย็นๆ จากชายคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมสีดำดึงฉันให้หันไปมอง เขามีใบหน้าขาวซีด ดวงตาไร้อารมณ์ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยหมอกบาง ๆ ชายคนนั้นยกกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู พึมพำกับตัวเองเบา ๆ
ฉันชะงัก เสียชีวิต?
ฉันก้มลงมองตัวเอง อ้าปากพะงาบ ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายคนเดิมที่ยืนอยู่ตรงหน้า หมายความว่า ฉันตายแล้วจริง ๆ งั้นเหรอ? ฉันในวัย 28 ปี ยังไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีชีวิตของตัวเองจริงๆ ด้วยซ้ำ ต้องจากไปอย่างน่าอนาถแบบนี้เหรอเนี่ย
“ตามข้ามา” ชายคนนั้นกล่าวอีกครั้ง ฉันที่ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่จำใจเดินตามเขาไป นี่เรากำลังเดินไปปรโลกกันสินะ
ไหน ๆ ฉันก็ตายแล้ว ขอเล่าประวัติของตัวเองหน่อยแล้วกัน ฉันเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ชีวิตไม่ได้มีอะไรหวือหวา จนกระทั่งวันหนึ่งตอนอายุ 10 ขวบ ฉันซัดเด็กอันธพาลรุ่นพี่จนหมอบ หลังจากพวกมันพยายามขโมยข้าวของของเด็กที่อ่อนแอกว่า เรื่องนี้ไปเข้าตาหัวหน้าหน่วยพิเศษลับ ซึ่งบังเอิญมาเยี่ยมสถานรับเลี้ยงในวันนั้น คนที่ฉันเรียกว่า ‘พ่อ’ ในเวลาต่อมา
พ่อคงเห็นแววของฉัน
วันนั้น เขายื่นข้อเสนอให้ฉัน "อยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ไหม?"
เด็กหญิงอลิสายังไม่รู้ว่าการตอบตกลงในวันนั้นจะเปลี่ยนทั้งชีวิตของฉันไปตลอดกาล
ฉันไม่ได้เติบโตมาในแบบที่เด็กคนทั่วไปควรจะเป็น
ไม่มีโรงเรียนรัฐบาลหรือเอกชน ไม่มีเพื่อนร่วมห้อง ไม่มีการวิ่งเล่นในสนาม ตั้งแต่จำความได้ ชีวิตของฉันก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าต้องถูกฝึกให้เป็น "อาวุธ"เมื่ออายุถึงเกณฑ์ที่เด็กปกติอาจเริ่มฝึกเปียโนหรือเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ ฉันกลับถูกส่งเข้าหลักสูตรฝึกสายลับ
ทุกวันคือการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเข้มงวด ฉันต้องตื่นก่อนฟ้าโผล่ ทำสมาธิ ควบคุมลมหายใจ ฝึกความอึด และตามมาด้วยตารางฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่มวยไทย ยูโด ไอกิโด ไปจนถึงการใช้อาวุธมีดและปืน ฉันถูกสอนยุทธวิธีทางทหาร การวิเคราะห์สถานการณ์แบบฉับไว การเอาตัวรอดในสถานการณ์วิกฤต แม้กระทั่งเรื่องที่ดูเล็กน้อยที่สุด อย่างการอ่านริมฝีปาก หรือแยกแยะพิษในของกิน... ทุกสิ่งล้วนถูกออกแบบให้ฉัน “อยู่รอด” และ “ล่องหน” ได้ในทุกสถานการณ์แต่ถึงอย่างนั้น...
ชีวิตของฉันก็ไม่ได้ขาดทุกอย่างไปเสียทีเดียวฉันมีห้องนอนของตัวเองในบ้านหลังใหญ่ อบอุ่น สะอาดสะอ้าน ข้าวของเครื่องใช้ที่ฉันได้ใช้ล้วนเป็นของดีที่สุดในรุ่น
ของเล่นที่เด็กคนอื่นได้อ้อนขอ ฉันแค่คิด...ก็มีคนจัดมาให้แล้ว หนังสือนิทาน หนังสือเรียน ภาพยนตร์ เสียงดนตรีคลาสสิก ทุกอย่างล้วนถูกจัดวางไว้ในปริมาณพอเหมาะ เพื่อรักษา “ความเป็นมนุษย์” เอาไว้นั่นแหละ...
ฉันไม่ได้ถูกเลี้ยงมาเป็น 'เด็ก'
แต่ถูกปั้นมาให้เป็น 'เครื่องมือ'
พ่อเลี้ยงฉันมาแบบนั้น ไม่เคยพูดคำหวาน ไม่มีคำปลอบใจ มีแต่วินัย ความเข้มงวด และคำสอนที่ว่า
"เราเกิดมาเพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อใช้ชีวิตตามใจตัวเอง"
แม้ลึกๆ ฉันจะโหยหาความอิสระเหมือนคนธรรมดา แต่ก็รู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่น
เมื่ออายุครบ 18 ฉันก็เข้าสู่สนามรบจริง ได้รับภารกิจแรก และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘หมาป่าเงา' โค้ดเนมของฉันในหน่วย
ฉันไต่ระดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยฝีมือที่เก่งกว่าคนที่ฝึกมาหลายปี ใจเด็ด กล้าหาญและเยือกเย็น ทุกคนในหน่วยรู้ว่า
"ถ้าหมาป่าเงาอยู่ตรงนั้น พวกเขาจะรอด" และนั่นทำให้พ่อภูมิใจมาก
ในวัย 27 ฉันกลายเป็นหัวหน้าทีมจู่โจมของหน่วย พาทีมบุกโจมตีเป้าหมายสำคัญหลายครั้ง ไม่มีพลาด ไม่มีลังเล
แต่แม้จะเป็นนักรบที่เก่งกาจแค่ไหน ฉันก็ยังเป็นแค่คนธรรมดา
ในค่ำคืนหนึ่ง หลังจบภารกิจ ฉันเคยยืนมองท้องฟ้าแล้วพูดกับตัวเองว่า
"ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากมีชีวิตธรรมดาเหมือนคนอื่นนะ..."
แต่ฉันยังไม่ทันมีชีวิตที่ว่านั่นเลย
ฉันโดนยิงตายโดยพ่อค้าอาวุธเถื่อน
บทจะจบ ก็จบง่าย ๆ แบบนี้
ฉันเดินตามชายในชุดผ้าคลุมดำ เขาน่าจะเป็นยมทูตนะ ฉันเดินตามยมทูตไปเรื่อย ๆ โดยที่รอบ ๆ มีแต่ความว่างเปล่าและไอหมอกบาง ๆ ไม่รู้วัน ไม่รู้เวลา ไม่รู้ว่าพวกเราเดินมาไกลแค่ไหน
จนกระทั่งพวกเรามาหยุดที่หน้าโต๊ะสีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่ มันเป็นโต๊ะที่อยู่สูงกว่าฉัน คล้าย ๆ กับที่นั่งผู้พิพากษา แต่มีแค่ที่นั่งเดียว และที่นั่งนั้นมีชายในชุดคลุมสีดำเหมือนกับยมทูตที่พาฉันมา ทว่าลวดลายของผ้าดูวิจิตรมากกว่า เขาอาจจะเป็นระดับหัวหน้ายมทูต
ยมทูตที่พาฉันมาเดินขึ้นไปยังที่นั่งของหัวหน้าของเขาก่อนจะยื่นแฟ้มหนังสีดำให้ หัวหน้าของเขารับแฟ้มไปและตรวจตราข้อมูล เวลาผ่านไปสักพัก สีหน้าของทั้งสองเริ่มซีดเผือดขึ้นจากที่ซีดอยู่แล้ว สีหน้าของพวกเขาเหมือนเห็นปัญหาใหญ่ ดวงตาสีเทาจ้องฉันอย่างไม่เชื่อสายตา ยมทูตทั้งสองหันไปซุบซิบอะไรบางอย่างไม่ให้ฉันได้ยิน ก่อนที่ยมทูตที่เป็นลูกน้องจะก้มหัวและคุกเข่าเอาหัวกระแทกพื้นราวกับจะขอความเมตตา ฉันเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ก่อนที่ยมทูตตนนั้นจะลุกขึ้นและค่อย ๆ หันมาทางฉัน
"วิญญาณของเจ้าถูกนำมาด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อน"
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ “อะไรนะ?”
"หมายความว่า..." อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น หัวหน้ายมทูตที่ยืนอยู่ข้างหลังหมอนี่ไอแห้ง ๆ ดูท่าจะรู้ว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่
"เรา… เอ่อ… พาวิญญาณของเจ้ามาผิด"
"ผิด!?" ฉันเม้มปากแน่น ความโกรธพวยพุ่งขึ้นมาทันที "ฉันตายฟรีเพราะพวกแกหยิบชื่อผิด!?"
“สามหาว! เป็นแค่มนุษย์บังอาจขึ้นเสียงกับยมทูตได้อย่างไร! อีกอย่าง เจ้านี่ยังเป็นเด็กฝึกงาน จะพลาดบ้างก็เป็นธรรมดา”
หัวหน้ายมทูตตะโกนเสียงดังก่อนรีบแก้ตัว
“หน็อย! นี่มันชีวิตฉันทั้งชีวิตเลยนะ! อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลย!”
"เป็นข้อผิดพลาดทางเอกสารเล็กน้อย! รายชื่อที่ต้องตายวันนี้ดันมีคนชื่อและรูปร่างคล้ายกัน พวกเราก็เลย..."
"เล็กน้อย! พวกแก...พวกท่านบ้าไปแล้วเหรอ!?" ฉันตะคอกลั่น "แล้วจะคืนร่างฉันได้ยังไง!?"
ยมทูตฝึกงานตัวแข็งไปแวบหนึ่ง หัวหน้ายมทูตหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนพูดเสียงเบาลง "เรื่องนั้น… ทำไม่ได้แล้ว"
ฉันเริ่มใจไม่ดี "เดี๋ยวนะ หมายความว่าไง ‘ทำไม่ได้แล้ว’ ?"
"คือว่า..." หัวหน้ายมทูตเกาหัว ดูไม่สมกับเป็นสิ่งมีชีวิตจากปรโลกเลยสักนิด "เวลาของที่นี่กับโลกมนุษย์เดินไม่เท่ากัน ที่นี่ผ่านมาแค่ไม่กี่นาที แต่โลกมนุษย์... มันผ่านไปแล้ว... หนึ่งเดือน"
ฉันนิ่งไป "แล้วไงต่อ?"
"ญาติของเจ้าก็จัดการเรื่องทุกอย่างไปแล้ว…"
"...จัดการเรื่องทุกอย่าง?"
"เอ่อ... เผาแล้ว"
ฉันนิ่งค้าง สมองประมวลผลช้าไปสามวินาที ก่อนจะคำรามออกมา "เผาแล้ว!?"
"...ใช่"
"เผาร่างฉันไปแล้ว!?"
"เอ่อ... ก็เผาศพไง..."
ฉันกำหมัดแน่นแทบพุ่งเข้าไปบวก ดีที่ยังมีเศษสำนึกเหลือพอจะไม่ไล่ต่อยยมทูตให้เป็นผง
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดก่อนตะคอกออกไปอีกครั้ง
"แล้วจะรับผิดชอบยังไง!?"
หัวหน้ายมทูตหน้าซีดกว่าเดิม เขากระแอมอีกครั้งแล้วหยิบแฟ้มเอกสารสีดำขึ้นมาดู
"อืม... ตามกฎแล้ว เราทำอะไรไม่ได้หรอก เจ้าน่าจะต้องเร่ร่อนอยู่ประมาณ..." ฉันเตรียมอ้าปากจะด่ายมทูตที่พูดจาปัดความรับผิดชอบ
"หัวหน้า นี่มันแปลกมาก" ยมทูตฝึกงานที่พาฉันมาผิดเริ่มเปิดแฟ้มอีกเล่ม แล้วก็ขมวดคิ้วแปลก ๆ
"อะไร?"
"ดูประวัติของนางสิ" เขาพลิกเอกสารมาให้หัวหน้าอ่าน "ดวงแข็งมาก เฉียดตายเป็นสิบ ๆ ครั้งแต่ก็ไม่เคยตาย"
"หา?" หัวหน้ายมทูตเลิกคิ้ว "แบบนี้ต้องเช็กว่าใครเป็นผู้ดูแลดวงชะตาของนาง"
เหล่ายมทูตไม่ได้สนใจฉันอีกต่อไป พวกเขากวาดนิ้วไปบนแฟ้มเอกสาร เหมือนกำลังค้นหาข้อมูลอะไรบางอย่าง แล้วจู่ ๆ ยมทูตฝึกงานก็นิ่งไป
หัวหน้ายมทูตที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหน้ามาดูด้วย แล้วก็นิ่งไปเหมือนกัน สีหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนจากตกใจเป็นช็อกสุดขีด ก่อนที่สีหน้าจะซีดเผือดราวกับเพิ่งรู้ว่าเผลอล่วงเกินใครสักคนที่ไม่ควรแตะต้อง
"...เฮ้ย"
ฉันมองสลับกันไปมาระหว่างยมทูตสองตน "อะไร มีอะไร?"
พวกเขาหันมามองหน้าฉันพร้อมกัน ฉันสังเกตเห็นเหงื่อซึมที่ขมับของหัวหน้ายมทูต เดี๋ยวนะ? ยมทูตมีเหงื่อออกได้ด้วยเหรอ?
"เอ่อ..." หัวหน้ายมทูตทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลืนน้ำลายลงคอแล้วหันไปพูดกับลูกน้องตัวเอง
"เราต้องชดเชยให้นางอย่างดีที่สุด เข้าใจไหม ถ้าท่านรู้ละก็พวกเราได้ตายอีกรอบแน่"
"เข้าใจครับหัวหน้า"
"ดี งั้นย้ายเธอเข้าร่างใหม่เดี๋ยวนี้"
"เดี๋ยว ๆ! ร่างใหม่อะไร!? ฉันเลือกได้ไหมว่าฉันจะไปอยู่ในร่างใคร?"
"...ไม่"
"ไอ้พวก—!"
ไม่ทันแล้ว ฉันรู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาลพุ่งเข้าหาตัว แสงสว่างสีขาวโพลนกลืนกินทุกสิ่ง ฉันยังอ้าปากค้างกับความไร้ความรับผิดชอบของยมทูตพวกนี้อยู่เลย แต่พริบตาต่อมา ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร่วงดิ่ง ก่อนที่ร่างกายจะถูกดูดด้วยแรงมหาศาลที่มองไม่เห็น
เสียงเพลงบรรเลงแผ่วเบาดังคลอภายในโบสถ์หินอ่อนที่ประดับด้วยดอกไม้โทนขาวครีมและเขียวอ่อน สะอาดตาและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แสงแดดจากหน้าต่างกระจกสีที่สูงจรดเพดานสาดลงมาอย่างอ่อนโยนราวกับพระเจ้ากำลังอวยพรฉันยืนอยู่หลังประตูไม้ของโบสถ์ ลมหายใจตื่นเต้นจนต้องกลั้นเอาไว้ มือแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของคุณพิชิตผู้เป็นบิดา ที่วันนี้มารับหน้าที่จูงฉันเข้าไปในโบสถ์“พร้อมไหม” เขาถามเสียงเบาฉันพยักหน้า กลั้นยิ้มอย่างเกร็งนิด ๆ“พร้อมค่ะ”ประตูโบสถ์เปิดออก เสียงเปียโนท่อนแรกของ Canon in D ดังขึ้นทุกสายตาหันมามองฉันในชุดเจ้าสาวสีงาช้างที่ตัดเข้ารูปอย่างสง่างาม ผ้าคลุมยาวลากพื้นพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดินคุณหญิงสมศรียิ้มกว้างสุดหัวใจ น้ำตาคลอจนต้องยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดบ่อยครั้ง แต่ไม่วายหันไปกระซิบกับนาลันว่า“สวยเหมือนย่าตอนสาว ๆ เลยใช่ไหมล่ะ”นาลันหัวเราะเบา ๆ ยกนิ้วโป้งให้ฉันแทนคำชม ข้าง ๆ เธอ ภาวินท์และชนกันต์ยกกล้องขึ้นถ่ายช็อตสำคัญไม่หยุด ส่วนพลอยไพลินที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างแม่ฉัน ก็ยิ้มบา
แสงเจิดจ้าระยิบระยับจากแชนเดอเลียร์หรูหราขนาดใหญ่ภายห้องโถงใหญ่ในโรงแรมระดับห้าดาวกลางใจเมืองดูจะแพ้แสงแฟลชจากเหล่ากล้องสื่อมวลชนที่เข้าประจำการตั้งแต่เช้า ด้านหน้าตึกแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทั้งสื่อ นักข่าว แขกผู้มีเกียรติ และหุ้นส่วนธุรกิจจากทั่วเอเชียที่ต่างเดินทางมาเพื่อร่วมเป็นพยานในวันสำคัญของ ‘ภูริ ทรัพย์ไพศาลอนันต์’ข่าวการขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของ TP กรุ๊ป ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านภายในตระกูล แต่คือ ‘เหตุการณ์ระดับชาติ’ สำหรับวงการธุรกิจสื่อทุกแขนงถ่ายทอดสด บรรยายตื่นเต้นราวกับกำลังดูฟุตบอลนัดชิง พาดหัวข่าวเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งคำว่า‘ทายาทหมื่นล้านเปิดตัวอย่างสง่างาม’‘ภูริ ผู้นำอาณาจักรทรัพย์ไพศาลอนันต์สู่อนาคตใหม่’หรือแม้แต่ ‘จับตา! ยุคใหม่ของ TP กรุ๊ปจะไปทางไหนเมื่ออยู่ภายใต้ผู้นำคนใหม่’แต่ในห้องรับรองชั้นบนสุดของตึก…โลกทั้งใบของภูริกลับเงียบงัน มีเพียงเสียงสูดหายใจลึก ๆ ของเขา กับมือเล็ก ๆ ที่กำลังช่วยจัดปกสูทให้เข้าที่“แน่ใจเหรอครับว่าพี่ไม่ดูต
เสียงเครื่องวัดชีพจรเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอในห้องสีขาวสะอาดตาฉันรู้สึกถึงความเย็นของผ้าปูเตียง และกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ลอยเข้าจมูกเมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือเพดานโรงพยาบาล และแสงแดดอ่อนยามเช้าส่องลอดผ้าม่าน“ฟื้นแล้วเหรอครับ ลูกพี่”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้างเตียง ก่อนที่ใบหน้าของชนกันต์จะโผล่เข้ามาในสายตาฉันพยายามยันตัวขึ้น เขารีบช่วยประคองทันที“ใจเย็นครับ เพิ่งได้สติไม่ถึงชั่วโมงเอง”ฉันยิ้มบาง พลางหลุบตาลง“…เรา…ชนะแล้วเหรอ?”ชนกันต์พยักหน้า“ครับ พวกผมเข้าเคลียร์พื้นที่ทั้งหมดหลังเสียงปืนนัดสุดท้าย ฝ่ายเราเข้าควบคุมโกดังได้หมดแล้ว พวกของจงเหวินที่เหลือถูกจับเรียบ พร้อมของกลางเป็นอาวุธเถื่อนล็อตใหญ่…ตอนนี้เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศเลยล่ะครับ”ฉันถอนหายใจยาว ความโล่งอกแล่นวาบไปทั่วร่างแม้จะยังอ่อนแรง“แล้ว…ภูริล่ะ?”ชนกันต์ยิ้ม“ห้องตรงข้ามนี้เองครับ พักฟื้นอยู่เหมือนกัน ผมว่าจะไปเยี่ย
สายตาฉันเหลือบไปเห็นมอเตอร์ไซค์อีกคันนอนตะแคงอยู่ข้างถนน ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร...คันนั้นยังดูใช้งานได้ฉันกัดฟันแน่น ฝืนพาร่างตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยถลอกลุกขึ้นยืน มือขวากำปืนไว้แน่น ส่วนมือซ้ายลากขาเปื้อนเลือดค่อย ๆ พาตัวเองไปยังมอเตอร์ไซค์“ฟื้นตัวให้ไวนะ…ฉันยังต้องลุยต่อ” ฉันบ่นกับตัวเอง ขณะยกรถขึ้นและลองบิดเครื่อง เสียงเครื่องยนต์คำรามเบา ๆ ขึ้นมาทันทีราวกับตอบรับฉันคว้าหมวกกันน็อกเก่า ๆ ใบหนึ่งที่แขวนอยู่ข้างเบาะ สวมมันอย่างรวดเร็ว แล้วบิดคันเร่งออกตัว บนถนนที่เริ่มว่างเปล่า เป้าหมายของฉันคือ...ลินามือข้างหนึ่งของฉันล้วงเครื่องมือสื่อสาร พยายามติดต่อหาชนกันต์ด้วยเสียงหอบแฮก[ลูกพี่!?] ในที่สุดชนกันต์ก็ตอบกลับมาเสียที ฉันถอนหายใจโล่ง“กันต์…พวกมันได้ตัวพี่ภูไปแล้ว!” ฉันเร่งเสียง “ฉันติดเครื่องติดตามไว้ในเสื้อเขา ส่งพิกัดที่ได้มาให้ฉันด่วน!”[เวรเอ๊ย! พวกมันรู้ได้ยังไง!?] เขาสบถ [เดี๋ยวส่งพิกัดให้ภายในสิบวินาที]ฉันตัดสายไป แล้วเร่งเครื่องอย่างเต็มแรงฝ่าเส้นทางสลับซ
ยังไม่ทันที่เราจะได้เริ่มวางแผนอย่างจริงจัง เสียงโทรศัพท์ของภูริก็ดังขึ้นขัดจังหวะทุกคนเหลือบตาไปมองทันที...เป็นเบอร์ไม่รู้จักภูรินิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกดรับ พร้อมเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ยิน“ครับ?” น้ำเสียงเขานิ่งสนิทตามสไตล์[…คุณภูริ] เสียงปลายสายดังขึ้นชัดเจนจนน่าขนลุกเล็ก ๆฉันกับชนกันต์หันไปสบตากันทันทีโดยไม่ต้องนัดหมายเสียงนั้นคือ ‘ลินา'[…ฉันอยากนัดพบคุณ] เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แต่มีความสั่นไหวเล็กน้อย […มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับจงเหวินที่คุณควรรู้]ฉันขมวดคิ้วทันที สัญชาตญาณมันตะโกนดังลั่นในหัวว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ภูริเหลือบตามองฉันฉันพยักหน้าเบา ๆ เป็นสัญญาณให้รับนัดนั้นไว้เขากลับมาสนทนาต่ออย่างราบเรียบ“ตกลงครับ บอกสถานที่มาได้เลย”หลังวางสาย ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงต่ำ“กับดักชัด ๆ”“ผมรู้” ภูริตอบเรียบ “แต่ถ้าเธอเปลี่ยนใจมาบอกอะไรจริง ๆ เราอาจได้ข้อมูลเพิ่มก่อนถึงวันจริง…คุ้มท
“เดี๋ยวผมรอลูกพี่อยู่ที่นี่แหละ เสร็จแล้วเดี๋ยวไปหาคุณภูริด้วยกัน”ฉันพยักหน้าให้ ก่อนจะลงจากรถ“โอเค ฉันไปไม่นานหรอก”ฉันยืนอยู่หน้าประตูบ้าน สูดหายใจลึก พอคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น หัวก็เริ่มหนึบเหมือนระเบิดเวลานับถอยหลังแต่มันจะต้องจบ...วันนี้แหละ ทับทิมจะไม่ได้ลอยนวลอีกต่อไปไม่ถึงนาทีหลังจากที่เปิดประตูเข้าไป ทันทีที่แม่เห็นฉัน เธอก็รีบลุกพรวดเข้ามาหา น้ำตาคลอเต็มสองตา ก่อนจะโผเข้ามากอดฉันแน่น“วี! ลูกปลอดภัยใช่ไหม?”ฉันยกมือกอดตอบแน่น “ไม่เป็นไรค่ะ แม่…วีไม่เป็นไร”ไม่รอช้า ฉันเรียกรวมตัวสมาชิกภายในบ้านทันที ไม่นานคุณพิชิต ทับทิม และพลอยไพลิน ต่างทยอยกันมานั่งในห้องรับแขก บรรยากาศเงียบกริบ ตึงเครียดจนได้กลิ่นความกลัวลอยฟุ้งไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไร ทับทิมก็เปิดปากก่อนทันที เสียงเย้ยหยันดังลั่น“อุ๊ย ตายจริง! ได้ข่าวว่าไปทำงามหน้ามาเหรอ? ทำตระกูลทรัพย์ไพศาลอนันต์เสียหายเป็นพันล้าน แกจะรับผิดชอบยังไงหา?!”ฉันไม่ตอบ หันไปมองเธอนิ่ง ๆ
Комментарии