เข้าสู่ระบบเธอลุ่มหลงไปกับรสสวาทในตัวเขา พลันเปลี่ยนเป็นความรักอย่างไม่รู้ตัว ทว่าช้ากว่าเขาที่ตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น!
ดูเพิ่มเติมค่ำคืนที่เงียบสงบถูกกลบด้วยเสียงเพลงคลอเบาๆ ภายในงานเลี้ยงสุดหรูที่จัดขึ้นภายในสถานทูตไทยในกรุงโรมประเทศอิตาลี งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นเพื่อต้อนรับชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศอิตาลีและยังเป็นการต้อนรับเขมมิกา คาเปซโน่อดีตนักแสดงชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นทูตสันถวไมตรีของประเทศไทยเต็มตัวหลังได้รับเลือกและได้แต่งงานกับซานเซสนักเขียนชื่อดังชาวอิตาลี ซึ่งเดินทางกลับมาจากประเทศเอธิโอเปียหลังเข้าร่วมโครงการโอบอุ้มรักเด็กด้อยโอกาสจนลุล้วงพร้อมกับลูกสาววัยสิบเก้าปีที่ลาเรียนมาร่วมงานตามคำเชิญจากสถานทูต
ความครื้นเครงภายในงานมีอย่างต่อเนื่องเมื่อชาวไทยด้วยกัน ซึ่งอยู่ต่างถิ่นได้มาพบปะพูดคุยกันในค่ำคืนนี้ ไม่เว้นแม้แต่เหล่านักธุรกิจที่ถูกเชิญมาในฐานะแขกวีไอพีต่างก็ร่วมสนุกไปกับงาน โดยเฉพาะได้พบปะกับนักธุรกิจที่ทำงานประเภทเดียวกันที่จับกลุ่มยืนสนทนากันอย่างสนุกปาก
อัฐพล พาณิชวิสุทธิ์รองประธานบริหารบริษัทส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ นักธุรกิจชาวไทยหล่อคมตามฉบับชายเอเชีย ทว่ามีผิวพรรณขาวราวกับว่าไม่เคยออกแดดท้าลม สูงโปร่งกำยำเข้าแบบฉบับชายในฝันของผู้หญิงไทย หากใครได้รู้จักและสนิทสนมกับเขาจะรู้ว่าครอบครัวของชายหนุ่มเลี้ยงลูกชายลูกสาวมาอย่างคุณชายคุณหนูแต่จิตใจกลับไม่เย่อหยิ่งเป็นกันเองและให้ความสำคัญกับผู้ที่ไม่มีโอกาสได้รับสิ่งที่ควรได้รับจึงเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทุนให้กับโครงการต่างๆ ที่เขมมิกาเป็นตัวแทนประเทศไทย เขาจึงถูกเชิญมาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ซึ่งทำให้ทุกคนภายในงานต่างแปลกใจที่เห็นชายหนุ่มมาปรากฏตัวในค่ำคืนงานเลี้ยงนี้ ทั้งที่ก่อนหน้างานเลี้ยงต่างๆ ส่งคำเชิญไปหลายต่อหลายครั้งไม่เคยตอบรับ จึงถูกพูดถึงว่าเป็นคนเข้าถึงยากทั้งที่ไม่ได้มีนิสัยเย่อหยิ่ง แม้แต่หญิงรุ่นเล็กไปจนถึงหญิงรุ่นใหญ่ยังหลงในเสน่ห์ในความเอาอกเอาใจเก่ง ใส่ใจในทุกรายละเอียดหรือที่ใครคอยสมญานามให้ว่า...
ผู้ชายเหลือร้าย
จึงเป็นสาเหตุทำให้สาวๆ ในงานต่างจับจ้องไปที่ชายหนุ่มเพียงผู้เดียวอย่างหลงใหลมัวเมาไปกับเขาที่อยู่ในชุดเสื้อกั๊กสูทสีดำตัดขาว เสริมให้ดูเป็นผู้ชายสมาร์ตอีโก้สูง โดยเฉพาะเสาวนี ลีหญิงสาวลูกครึ่งไทยจีนที่บังเอิญได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเพราะได้รับอภิสิทธิ์จากนักธุรกิจหนุ่มที่จับมือทำงานร่วมกัน เธอสนใจในตัวอัฐพลอย่างเห็นได้ชัดจนหญิงสาวในงานต่างพากันยอมแพ้ไปตามๆ กันเมื่อเห็นว่ายังไงแล้วก็คงสู้หล่อนไม่ได้ เพราะหล่อนทั้งสวย ยั่วยวน เก่งและมีชื่อเสียงในด้านเป็นซัพพลายเออร์ให้กับนักธุรกิจชื่อดัง รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งมาแล้ว มีหรือที่ผู้ชายอย่างอัฐพลจะไม่สนใจในตัวหล่อน
ทว่า ตัวชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจหญิงสาวในงานที่จ้องจะจับเขากลับออกจากงานเลี้ยงยามเลิกรา แต่สายตาคมของเขากลับจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มสดใส ซึ่งทำให้หัวใจสั่นไหวในยามที่เขามองโดยไม่มีสาเหตุ
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มหวานจับใจรับเข้ากับดวงตากลมโต จมูกนิดน่าบีบเสียให้หายมันเขี้ยว โดยเฉพาะเรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อไร้การแต่งแต้มน่าสัมผัส จุมพิตลงไปอย่างละมุนละไมแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนในภายหลัง คงสร้างความหฤหรรษ์ให้ไม่น้อย…จะมากน้อยแค่ไหนเขาไม่รู้ เว้นแต่ได้สัมผัสกับริมฝีปากนั้นเสียก่อน
ตอนนี้กึ่งกลางกายของเขารู้สึกปวดหนึบขึ้นมาฉับพลันเพียงมองและจินตนาการ มือใหญ่ที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงกำเข้าหากันแน่น ขบกรามเบาๆ เพื่อข่มให้อารมณ์ในกายทุเลาลง แต่ทว่าระหว่างนั้นเพื่อนนักธุรกิจชาวอิตาลีก็พาหญิงสาวและแม่ของเธอเดินเข้ามาทักทายเสียนั่น การได้เห็นสาวเจ้าในระยะใกล้ รอยยิ้มสดใสบนใบหน้ายิ่งกระจ่างชัดให้หัวใจเต้นแรง กึ่งกลางกายที่กำลังสงบลงปะทุขึ้นอีกครั้ง
เขาแทบคลั่ง!
“พี่เขมกับหนูนิด พี่สะใภ้และหลานสาวแท้ๆ ของผมครับ” อากูสโนแนะนำคนทั้งสองให้กับเหล่าเพื่อนนักธุรกิจด้วยกันได้รู้จักก่อนจะแนะนำเพื่อนๆ เป็นการกลับ “นี่คนไทยครับพี่เขม คุณอัฐพล คนนี้คุณแอนเดรียและคนนี้คริสตรันครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ส่วนคุณอัฐ พี่รู้จักแล้ว หนึ่งในผู้ร่วมทุนโครงการ ขอบคุณสำหรับแรงสนับสนุนนะคะ อ้อ นิด ลูกรู้จักกับคุณอาเสียสิ เผื่อบังเอิญเจอคุณอาที่เมืองไทยจะได้จำกันได้”
เขมมิกายื่นมือไปทำความรู้จักกับเพื่อนอีกสองคนของน้องสามีที่ได้รับเชิญมาเป็นกรณีพิเศษจากสถานทูตก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้กับอัฐพลที่เพียงส่งยิ้มบางอย่างละมุนให้ ด้วยเพราะรู้จักกันอยู่ในระดับหนึ่ง ไม่วายดันหลังลูกสาวที่ยืนหลบก้าวมาข้างหน้าเพื่อทำความรู้จัก
ขนิษฐาส่งยิ้มกว้างตามมารยาทให้กับคุณอาทั้งสามอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก ค้อมศีรษะแสดงความยินดีที่ได้พบและได้รู้จักคนทั้งสามพร้อมน้ำเสียงใสเปล่งออกไป
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณอา”
“ยินดีครับ...หนูนิด” อัฐพลเปล่งเสียงทุ้มต่ำพราวเสน่ห์อย่างที่ใครจับไม่ได้พลางพิศใบหน้าสวยหวานของหญิงสาววัยสิบเก้าปีตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหน้าอย่างรักษามารยาท ก่อนจะละสายตากลับมามองคนเป็นแม่ก่อนกล่าวถาม “หนูนิดเรียนอยู่ที่ไทยเหรอครับคุณเขม”
“ใช่ค่ะ รู้สึกว่าจะเรียนอยู่ที่เดียวกับหลานสาวคุณอัฐด้วยนะคะ ตอนนี้ก็อยู่ปีสองแล้ว ถ้าเจอแกก็ฝากๆ ดูหน่อยนะคะ แกอยู่ที่นั้นคนเดียว” เขมมิกาหันกลับมาตอบคำถามอัฐพลหลังสนทนากับเพื่อนอีกคนของน้องสามีจบพอดี
“ได้ครับ ผมยินดี” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง แต่ภายในยกยิ้มพึงใจกับคำขอที่ไม่ได้จริงจังมากนัก
“ขอบคุณนะคะ ฝากเอ็นดูแกด้วย ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะคะ เพื่อนๆ ของฉันเรียกแล้ว จะได้พายายหนูไปทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ด้วย คนที่นี่ลูกจักแต่ลูกชายคนโต” ส่งยิ้มพลางโอบเอวลูกสาวเตรียมเดินออกจากกลุ่ม
“เชิญครับ” ชายหนุ่มทั้งกลุ่มพูดเป็นเสียงเดียวกันก่อนจะหันกลับมาจับกลุ่มสนทนากันต่ออย่างเพลิดเพลินเมื่อสองแม่ลูกที่ยังสาวยังสวยเดินจากไป
ทว่า สายตาของอัฐพลยังคงจับจ้องแต่หญิงสาววัยสิบเก้าปีที่อยู่ในชุดเดรสแขนกุดสีขาวลออตาคาดเอวด้วยผ้ายืดสีดำแบรนด์หรู สวมใส่รองเท้าส้นสูงสีครีมเข้ากับชุด ใบหน้าไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางใดๆ นอกจากครีมบำรุง คิ้วทรงสวยถูกแต่งให้เข้าทรงขึ้นมาเล็กน้อย เรียวปากอิ่มแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีพีชอ่อน ปล่อยผมยาวสลวยติดกิ๊บเพชรเพียงตัวเดียวอยู่เหนือใบหูด้านซ้ายเท่านั้น
สายตาคมจับจ้องเพียงแต่หลานสาวของเพื่อนทุกการเคลื่อนไหว แม้มือที่ถือแก้วแชมเปญจะต้องยกชนกับเพื่อนและกรอกมันลงลำคอ สายตายังคงจับจ้องเธอเพื่อมองรอยยิ้มที่ส่งผลต่อหัวใจของเขาให้เต้นแรงไม่ยอมหยุดยามที่เธอยกยิ้มหรือหัวเราะอย่างสนุกใจในยามที่มีบทสนทนาอย่างสนุกสนานกับเหล่าเพื่อนพ้องของผู้เป็นแม่
เธอน่ารัก...
แสงแดดยามสายของวันสาดส่องเข้ามาภายในห้องนอนปลุกให้เชอเอมตื่นจากภวังค์เมื่อแสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาในห้องกระทบลงบนเปลือกตา หญิงสาวยกมือขึ้นมาบังแสงแดดพลางขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดใจก่อนเปลี่ยนมากุมขมับฉับพลันเมื่ออาการปวดศีรษะแล่นปราดขึ้นมาจนต้องร้องโอดครวญออกมาก่อนพลิกตัวนอนตะแคงข้างกุมขมับ “ปวดหัวชะมัด ไม่น่าดื่มเข้าไปเยอะเลยเรา” เสียงหวานบ่นอุบกับตนเองก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบากเมื่ออาการปวดศีรษะยิ่งทวีคูณขึ้น แต่แล้วความรู้สึกเย็นวาบทั่วทั้งตัวส่วนบนก็ทำให้หญิงสาวชะงัก อาการปวดศีรษะทุเลาลงลืมตาขึ้นด้วยความฉงนก่อนมองไปรอบๆ จึงพบว่าตนไม่ได้นอนอยู่ในห้องนอนตัวเอง แต่แล้วสายตาไปสะดุดลงที่กรอบรูปหัวเตียงของอัฐพลจึงรับรู้ได้ว่าตนค้างคืนที่ห้องของผู้เป็นอา ทว่า ขณะที่เชอเอมกำลังเรียบเรียงสติและความทรงจำเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อคืนก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมีแขนหนักๆ ของใครบางคนมาพาดลงบนหน้าตักของตัวเอง หญิงสาวจึงก้มลงมองแขนแกร่งที่อยู่บนตักแต่ไม่เท่ากับความน่าตกใจที่ได้พบว่าตัวเองกำลังเปลือยเปล่า เธอรีบปัดแขนแกร่งออกจากตักพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อ
เสียงคลื่นทะเลซัดเข้าฝั่งไพเราะรับเข้ากับเสียงลมและเสียงธรรมชาติชวนให้ขนิษฐาที่นั่งอยู่บนผ้าปูริมชายหาดระบายยิ้มรับสายลมอย่างมีความสุขพลางหลับตาพริ้มสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ยิ่งเพิ่มรอยยิ้มยิ้มให้กว้างขึ้นเมื่อเวลานี้เธอสามารถยิ้มได้อย่างไม่ติดขีดใดๆ ได้อีกเมื่อความสุขที่แท้จริงได้ก่อเกิดขึ้นในชีวิตของเธอแล้ว เมื่อเสียงหัวเราะใสอย่างสนุกสนานของลูกชายวัยห้าขวบที่กำลังวิ่งหยอกล้อกับผู้เป็นพ่ออยู่เบื้องหน้า ขนิษฐาเปิดเปลือกตาขึ้นมามองภาพอัฐพลกำลังวิ่งไล่จับลูกชายก่อนจะจับได้พลางยกขึ้นจากพื้นทรายเพื่อเล่นให้ลูกชายรู้สึกหวาดเสียวอย่างสนุกสนานและชอบใจ มือเล็กที่เท้ากับพื้นยกขึ้นมาเพียงหนึ่งข้างเพื่อลูบวนเบาๆ ที่หน้าท้องนูนของตนที่มีอายุครรภ์ในหกเดือน หญิงสาวมองสามีและลูกชายอย่างมีความสุขอย่างเต็มความรู้สึกหลังเหตุการณ์มากมายผ่านพ้นไป พลันฉุกคิดถึงตนเองที่ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลอีกครั้งแม้จะพบว่าลูกของหญิงสาวปลอดภัยแต่ก็ควรระวังไม่ให้ออกแรงด้วยเพราะเจอเหตุการณ์และการกระทบกระเทือนมา จนคนเป็นพ่อลูกชายวัยห้าขวบกังวลจนเธอแทบทำอะไรเองไม่ได้จัดการให้ทุกอย่างจนแพทย์สั่งให้กลั
“นี คุณหยุดเถอะ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา” จิระภัทรพูดเตือนสติบ้าง“ไม่ต้องพูด คุณบอกฉันว่าเป็นศัตรูกับอัฐไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ดูสนิทสนมกันล่ะคะ” เสาวนีหันมาพูดพลางเล็งปืนออกมาที่ทุกคน“ผมเป็นคนส่งเพื่อนผมเข้าหาคุณเอง ผมผิดเอง...นี ผมขอโทษ คุณยังมีโอกาสที่จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นนะ” อัฐพลตอบพลางขยับเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ พร้อมจิระภัทรอย่ารู้กันดีเมื่อเห็นเสาวนีไม่ทันตั้งตัวเซนโซก้าซึ่งเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองกำลังเข้ารวบตัวเสาวนีจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังเผลอ เขาจึงคิดเข้าไปช่วยน้องสาวแต่แล้วความเคลื่อนไหวของเขากลับทำให้เสาวนีจับได้จึงบันดาลโทสะออกมา“หยุดนะ! อย่าคิดเข้ามาแม้แต่คนเดียว ฉันยิงนังนี้กับลูกในท้องแน่” เสาวนีตวาดลั่นพลางเล็งปืนสะเปะสะปะไปมาในจังหวะนั้นเองที่อัฐพลตัดสินใจชำเลืองตามองจิระภัทรพลางพยักหน้าอย่างรู้กันก่อนก้าวเท้าเข้าไปล็อกตัวหญิงสาวทันทีให้ออกห่างจากขนิษฐาอย่างไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวจนสำเร็จ ทว่าปืนกลับลั่นขึ้นหนึ่งนัดสร้างความตกใจแก่ทุกคน ต่างพากันมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองที่กกำลังกอดรัดหญิงสาวเพียงคนเดียวล้มลงไปนอนกับพื้นปัง!ทุกคนให้ความสนใจที่คนทั้งสามโดนไม่ทันสังเกตขนิษฐ
“คุณแค่จะใช่เธอเป็นตัวประกันต่อกรกับมันหมอนั่นไม่ใช่เหรอนี” “ใช่ค่ะ แต่บังเอิญมันท้องฉันเลยต้องทำหลักประกันให้ไม่มีข้อบกพร่องยังไงล่ะคะ คนอย่างอัฐไม่มีทางปล่อยให้ลุกในท้องนังเด็กนั่นเป็นอะไรแน่...หลักประกันชิ้นดีเลยนะคะ” “แต่นั่นเด็กนะนี เด็กทียังไม่...” “เด็กแล้วยังไงล่ะคะ เจตน์ ความจริงตอนนี้คุณไม่มีหน้าที่อะไรแล้ว หน้าที่ของคุณแค่ทำให้ไฟที่งานดับและพาตัวมันมาให้ฉันที่นี่เท่านั้น!” เสียงคนกำลังมีปากเสียงกันปลุกให้ขนิษฐารู้สึกตัวตื่น ไม่เพียงเสียงผู้คนแต่ยังมีลมเย็นที่ปะทะผิวกายจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวจนเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ คิ้วทรงสวยขมวดเข้าหากันพลางค่อยๆ ไล่เรียงความทรงจำหลังไฟดับสาวเจ้าผละออกจากอัฐพลพลางหันมองซ้ายขวาท่ามกลางความมืดด้วยความตกใจก่อนจะรู้สึกมีคนเข้ามาประชิดจากด้านหลังพร้อมกับใช้บางอย่างประกบลงที่จมูกและปากของตนก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป จนกระทั่งตอนนี้ เธอเปิดเปลือกตาขึ้นจึงพบว่าตนกำลังถูกมัดกับเสาบางอย่างที่ไม่รู้ว่ามันคือเสาอะไรและไม่เพียงรู้ว่าตนถูกมัดติดเอาไว้แน่น แต่ยังรับรู้ว่าตนกำลังอยู่บนดาดฟ้าของบริษั
“สาวน้อยของแม่ ยังไม่ได้มีแค่คำอวยพรจากพ่อแต่ยังมีจากแม่ด้วยนะ...แม่ไม่มีคำพูดอวยพรอะไรมากมายแต่แม่จะขอให้ลูกพบกับสิ่งล้ำค่าอีกชิ้นที่กำลังมีหัวใจดวงน้อยในท้องของหนู ต่อจากนี้ก็เป็นข่าวดีที่จะบอกว่าแม่จะอยู่ที่ไทยจนกว่าหลานแม่จะคลอด” เขมมิกามองสามีและลูกสาวด้วยรอยยิ้มก่อนพูดออกไป ยื่นมือไปลูบศีรษะลูกสาวด้วยความรัก“มาพูดกันแบบนี้ ทำให้หนูไม่อยากให้พ่อกับแม่กลับกันเลยนะคะ” ขนิษฐาพูดขึ้นอย่างออดอ้อนเมื่อได้รับความรักจากพ่อและแม่ของตนท่านทั้งสองส่งยิ้มให้กับลูกสาวก่อนจะหันไปมองทางประตูห้องเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น ขนิษฐาอาสาเดินไปดูบุคคลที่มาเยือนในเวลา พลันฉุกคิดได้ว่าอาจเป็นเซนโซก้าที่กลับจากฮ่องคนแต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปหากเป็นพี่ชายก็คงไม่กดกริ่งเช่นนี้ทั้งที่เธอเคยบอกพร้อมยื่นกุญแจห้องสำรองเอาไว้แล้วก่อนอีกฝ่ายเดินทาง แต่แล้วเมื่อหญิงสาวเปิดประตูจึงพบกับอัฐพลที่กำลังยืนถือกล่องสีดำกำมะหยี่พร้อมรอยยิ้มทันทีที่เห็นเธอ“คุณอาไม่ได้เข้าบริษัทไปเตรียมงานเหรอคะ” สาวเจ้าถามหลังหันกลับมาจากหันไปมองพ่อและแม่ของตน“ไปมาแล้วและกลับมาเพื่อเอาสร้อยข้อมือมาให้หนูนิดใส่กับชุด” ชายหนุ่มตอบพล
ขนิษฐานั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นแม่และพ่อขงอตนด้วยความรู้สึกผิดหลังเล่าทุกอย่างให้พวกท่านได้รับรู้ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่ตนกำลังตั้งครรภ์ลูกของอัฐพล ปฏิกิริยาตกใจแกมนิ่งอึ้งของท่านทั้งสองไม่ได้ผิดคาดไปจากที่ครุ่นคิดเอาไว้ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องผิดอย่างไม่น่าให้อภัยในฐานะลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว “หนูขอโทษพ่อกับแม่นะคะกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น” หญิงสาวกระพุ่มมือขึ้นมาก้มลงกราบลงที่ตักผู้เป็นพ่อก่อนก้มลงกราบผู้เป็นแม่ตาม ผละออกห่างมองพวกท่านทั้งสองอีกครั้ง สาวเจ้ารู้ตัวเองว่าตนทำผิดและทำตัวให้พวกท่านทั้งสองผิดหวังในตัวเธอโดยเฉพาะกับผู้เป็นแม่ที่แสดงสีหน้าราบเรียบจนเธอดูไม่ออกว่าทันกำลังคิดหรือกำลังรู้สึกเช่นไร ต่างจากผู้เป็นพ่อที่แม้จะแสดงสีหน้าตกใจแกมเสียใจอยู่น้อยๆ แต่ท่านยังมีสีหน้าให้พอเดาออกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร “พ่อผิดหวังในตัวลูกที่มีความคิดอะไรก็ไม่รู้ไม่ยอมบอกเขาเสียที” ซานเซสชำเลืองมองภรรยาที่รักก่อนพ่นลมหายใจออกมาเพื่อรวบรวมสติให้มั่นก่อนตัดสินใจพูดออกมาเมื่อภรรยาเอาแต่นั่งนิ่งมองหน้าลูกสาว ด้วยเพราะตนนึกเป
ความคิดเห็น