หลังจากฉันถ่ายทำบทแม่นางเอกละครเรื่องนั้นจบไป ฉันก็มีเวลาพักผ่อนนั่งไถโซเชียลเสียที ว่าผลตอบรับละครเป็นไงบ้างหลังออกอากาศไปห้าตอน เพราะยังไงซะบทฉันก็มีแค่ช่วงต้น ๆ กับตอนท้ายเท่านั้นแหละ
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเป็นนักแสดงตัวประกอบ เคยอยู่วงการบันเทิงมานานพอจะรู้ว่า ‘ซีนแม่ร้องไห้’ ยังไงมันก็ไม่ใช่ไฮไลต์หรอก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความรันทดของนางเอกกับพระเอก แต่...
#ละครคุณแม่ปังมาก
#แม่นางเอกเล่นดีเกิน
#แท้จริงมิ้นคือนางเอก
#ขอซีนแม่นางเอกเพิ่มได้ไหม
#ร้องไห้ตามแม่เลยอ่ะT_T
“อะไรกันเนี่ย!” ฉันพึมพำกับตัวเองขณะเลื่อนหน้าโซเชียลบนมือถือ เทรนด์แท็กอันดับ หนึ่งถึงห้าของประเทศ ณ เวลานี้ เป็นบทแม่ที่ฉันแสดงทั้งหมด แถมหลายคนยังตัดคลิปฉากฉันร้องไห้เต็มหน้าฟีด
ในนั้นมีคลิปหนึ่งที่ถูกรีทวีตเกือบเก้าหมื่นครั้ง เป็นคลิปตัดฉากฉันในบทแม่วิภา กำลังร้องไห้บอกลาลูกสาว ก่อนจะเดินหันหลังกลับไปพร้อมเสียงสะอื้นเงียบ ๆ
คลิปยาวไม่ถึงนาที ฉันจำได้ว่าใช้เวลาถ่ายจริง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ
‘Rrrrr’
เสียงมือถือฉันดังขึ้นและพบว่า พี่กรีนผู้จัดการส่วนตัวของฉันโทรมา
(นี่...มิ้นเห็นแท็กในโซเชียลไหม?)
“เห็นแล้วค่ะ แต่มันออกจะเว่อร์ไปหน่อย”
(มิ้น นี่มันโคตรรพีคนะ ลูกค้าโทรมาหาพี่ ขอจองตัวเธอเยอะกว่าตอนเธอเล่นเป็นนางเอกอีกนะยะ!)
“ฮ่า...” สิ้นคำพี่กรีน ฉันหลุดหัวเราะออกมา ทั้งตกใจและตลก
(ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากกลับมาเป็นนางเอก แต่นี่มันโอกาสทองเลยนะมิ้น! เล่นเป็นตัวประกอบแล้วกลายเป็นไวรัล มันไม่ใช่ว่าจะเกิดกับใครก็ได้ เธอเข้าใจพี่ใช่ไหม) พี่กรีนยังคงพูดไม่หยุด ทำเอาฉันถอนหายใจ แล้วตอบไปด้วยเสียงนิ่ง
“เข้าใจค่ะพี่กรีน แต่มิ้นก็ยังยืนยันเหมือนเดิมนะคะ มิ้นขอเล่นแค่ตัวประกอบก็พอ” ปลายสายเงียบไปนิดก่อนจะตอบกลับมา
(โอเค พี่รู้อยู่แล้วว่ามิ้นต้องพูดแบบนี้ แต่เอาเถอะถ้าเล่นเป็นตัวประกอบแล้วแมสแบบนี้ พี่ก็โอเคอยู่แล้ว รวย รวย รวย ตู้ด....)
พี่กรีนวางสายไปทิ้งไว้ให้ฉันอึ้งอยู่กับคำพูดเขา เฮ้อเอาเถอะ การเป็นนางเอกดัง กับตัวประกอบดัง ยังไงมันก็ต่างกันอยู่แล้วน่า...
ฉันยังนอนไม่หลับหรอก เพราะโนติในมือถือเด้งไม่พัก ฉันจึงต้องเข้าไปดูตามแอ็กเคานต์โซเชียลของตัวเองแต่ละช่องทางต่อ
IB / FaceJook / Ex ของฉันมียอดผู้ติดตามพุ่งเพิ่มเหยียบแสนในคืนเดียว
เพจบันเทิงชื่อดังเอาฉากของฉันไปลงแคปชั่น ‘แม่มาเพื่อฆ่า’ เจตนาดูเอาไปข่มนางเอกเลยแฮะ
TicTok มีคลิปเลียนแบบซีนของฉันเต็มไปหมดจนติดแฮชแท็ก #แม่วิภาผู้น่าสงสาร
หรือแม้แต่ต้นสังกัดฉันเอง ยังลงคลิปซีนของฉันแยกเป็นสเปเชียลอีก พร้อมกับข้อความที่ทำให้ฉันกุมขมับว่า
‘นักแสดงรับเชิญ มิ้น ณิชารัน ขโมยซีนจนคนดูอยากเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น แม่ผู้อาภัพ’
ไม่รู้ว่าฉันจะดีใจหรือร้องไห้ดีเนี่ย!
“พอ ๆ ยิ่งดูยิ่งทำให้ฉันหงุดหงิด ไปหาอะไรกินดีกว่า” ฉันเดินออกจากคอนโด เพื่อออกไปซื้อข้าวแกงหน้าปากซอย พอไปถึงร้านข้าวแกงที่ฉันซื้อเป็นประจำ เจ้าของร้านก็ยิ้มกว้างจนตาหยี
“หนูมิ้นคนสวย โอ๊ย! หนูเล่นดีมากเลยลูก ทำเอาป้าน้ำตาไหล” เสียงของป้าเจ้าของร้านพูดด้วยรอยยิ้มแฉ่ง จนฉันต้องยิ้มแก้เขิน
“ขอบคุณค่ะป้า หนูแค่เล่นนิดเดียวเองนะ”
“แต่ป้า จำหน้าหนูได้เลยนะ ตั้งแต่เมื่อก่อนเป็นนางเอกเล่นละครบู๊ ๆ อะไรนั่น แต่ตอนนี้บทแม่วิภาทำให้จำแม่นยิ่งกว่าเดิมอีก วันนี้ทั้งวันคนในร้านก็พูดถึงฉากหนูมิ้นร้องไห้กันทั้งนั้น”
“ฮ่ะ...ฮ่ะ... ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ฉันแค่นหัวเราะออกมาและก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัดใจเล็ก ๆ ที่ชื่อเสียงกลับมาอยู่ในจุดที่แสงไฟส่องถึงจากบทตัวประกอบ ให้ตายเถอะฉันไม่ชอบเลย ก็ไม่อยากเด่นอยากดังนี่หว่า
กว่าฉันจะทานข้าวเสร็จและเดินกลับมาถึงห้องได้ ก็เล่นเอาหูชา ใบหน้ายิ้มจนเมื่อย เพราะตลอดทางฉันถูกทักขอถ่ายรูปไม่หยุดหย่อน และไม่สามารถจะแสดงหน้าตาหยิ่งผยองได้ เดี๋ยวเป็นข่าวว่าเล่นตัวอีก
(ณ.ห้องพักคอนโด)
“บทแม่ที่แสดงแค่นั้น มันทำให้เป็นไวรัลได้จริง ๆ เหรอเนี่ย ไหนดูอีกทีดิ” กลับมาถึงห้อง ฉันนั่งหน้าคอมเปิดดูละครที่ตัวเองเล่นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะหลงตัวเองจนต้องมานั่งปั่นวิวเพิ่มยอดหรอกนะ แต่เพราะอยากเข้าใจว่าทำไมมันถึงทัชใจคนดูปานนั้นได้
พอถึงซีนของฉันเริ่มขึ้น ฉันก็เริ่มสังเกต แววตาของตัวเองที่มองนางเอก จังหวะที่ฉันกลั้นน้ำตา คำพูดที่ฉันด้นสดความรู้สึกออกมาว่า ‘ลูกจำไว้นะ...ไม่มีใครรักเรามากกว่าคนที่ยอมเดินจากเราไปเพื่อให้เรารอดหรอก’
จริงๆ ประโยคนี้ตามบทมันต้องเป็น ‘คนที่ยอมเดินจากเราไปเพื่อให้เรามีความสุขหรอก’ แต่เพราะตอนแสดงบทนี้ฉันคิดถึงแม่ของตัวเองขึ้นมา
หากจะย้อนเล่าให้ฟัง แม่เลือกที่จะทิ้งฉันไปตั้งแต่เด็กเพื่อให้ฉันรอดจากการถูกติฉินนินทา เพราะท่านล้มจากการทำธุรกิจและค้ำประกันให้เพื่อน
ฉันจำใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของแม่ได้เป็นอย่างดี ตอนฉันวัยสี่ขวบ ฉันไม่เข้าใจกับการกระทำของแม่ เพราะท่านเลือกที่จะส่งฉันให้กับเพื่อนสนิทอีกคนเลี้ยง (แม่บุญธรรมของฉันตอนนี้) ฉันเพียงคิดว่าแม่ทิ้งฉันไป มันทั้งโกรธ ทั้งเกลียด โตมาถึงได้รู้ว่าเขาถูกระรานเอาชีวิต
สุดท้ายท่านจบชีวิตตัวเองเพื่อหนีปัญหาทุกอย่าง
แต่ก็นั่นแหละ ตอนนั้นฉันพูดผิดบท ผู้กำกับก็ไม่ให้ฉันถ่ายซ่อมด้วย และบอกว่าประโยคนี้ดีมากแล้ว
‘Rrrrr’
“เบอร์นี้ คือเบอร์ที่ส่งข้อความมานี่นา หรือว่าเบอร์พี่แทน?” ฉันเลิกคิ้วมองหน้าจออยู่ชั่วครู่ก่อนจะรับสาย
“สวัสดีค่ะ มิ้นพูดค่ะ”
(มิ้นครับ นี่พี่แทนเองนะครับ) เสียงทุ้มนุ่มแบบที่จำได้ไม่ลืมดังมาจากปลายสาย ทำเอาใจฉันกระตุกวูบวาบแบบไม่ทราบสาเหตุ เกย์หนุ่มที่ฉันใฝ่ฝันเขาโทรหาฉันด้วยอ่ะแก
“พี่แทนโทรหามิ้นด้วยตัวเองแบบนี้ มีธุระด่วนรึเปล่าคะ”
(พี่อยากโทรมาชื่นชม ซีนแม่เมื่อคืนเก่งมากครับ)
“แต่พี่แทนเห็นฉากนี้ก่อนฉายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะและมิ้นน่ะแสดงเก่งอยู่แล้ว ฮี่ฮี่”
(ก็อยากชมเป็นการส่วนตัวไง)
“คะ?” ฉันงุนงง ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาอยากจะสื่อ
(เอาเป็นว่าน้องมิ้นเก่งมาก ๆ ครับ แล้วนั่นก็ทำให้พี่อยากร่วมงานกับหนูอีก เป็นโปรเจกต์ใหม่ ตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อน พี่อยากนัดเจอมิ้นหน่อยได้ไหมครับ) ฉันเงียบไปชั่วครู่ แต่ระดับพี่แทนโทรมาคุยด้วยตัวเองแบบนี้ ถึงฉันอยากจะปฏิเสธ แกว่าฉันจะทำได้ไหมล่ะ สุดท้ายยังไงฉันก็ต้องไปคุยกับเขาอยู่ดี
“ได้ค่ะ”
(งั้นแอด L พี่เบอร์นี้เลยนะครับ เดี๋ยวพี่จะส่งสถานที่นัดหมายให้)
“ค่ะ พี่แทน” หลังจากวางสายไปฉันกำมือถือแน่น จุดเริ่มต้นของเรื่องราวดูใหญ่กว่าที่ฉันคิดไปมาก เพราะการรับบทเป็น ‘แม่ของนางเอก’ ในซีนนั้นซีนเดียว ได้เปิดประตูให้ฉันกลับเข้าไปสู่แสงสว่างที่ฉันเคยเดินออกมาเงียบ ๆ
ฉันยังคงยืนยันว่าไม่อยากกลับไปอยู่ในแสงจริง ๆ นะ ฉันกลัว...กลัวว่าฉันจะกลับไปอ่อนแออีกครั้ง
มันทำให้ฉันต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า ฉันจะเดินต่อในเส้นทางนักแสดงนี้ยังไง โดยยังเป็นแค่ ‘ตัวประกอบ’ ที่คนยังจำชื่อได้แต่ไม่ต้องดังมาก
(วันรุ่งขึ้น)
ตอนนี้ฉันมายืนอยู่ที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง บรรยากาศสงบใจกลางเมืองที่มีความเป็นไพรเวทสูงตามที่เขาส่งพิกัดใน L ไว้
พี่แทนจองห้องส่วนตัวสุดหรู และฉันก็เข้ามานั่งรอก่อน แก้วกาแฟในมือถูกคนเบา ๆ พลางดื่มรออีกคน ไม่นานนักประตูห้องส่วนตัวก็เปิดออก
“ขอโทษที่ให้รอนะมิ้น พอดีพี่เพิ่งเคลียร์ธุระเสร็จ”
“ไม่เป็นไรค่ะ มิ้นเองพึ่งมาถึงเหมือนกัน” เขานั่งลงฝั่งตรงข้าม ไม่ลืมยกมือบอกพนักงานด้วยเสียงนุ่มลึกเบา ๆ
“เอาเหมือนเดิมครับ” พี่แทนพูดแบบนี้แสดงว่ามาบ่อยจนมีเมนูประจำเลยสินะ หรือว่าเขามาเดทกับแฟนหนุ่มบ่อย ๆ อิจฉาผู้ชายแสนโชคดีคนนั้นจัง
“มิ้นครับ งั้นเข้าเรื่องเลยนะครับ”
“ค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาหยิบเอกสารบางอย่างออกจากกระเป๋า
“พี่กำลังเขียนบทละครใหม่ เป็นแนวดราม่าครอบครัว มีสามช่วงอายุ หนึ่งในนั้นคือบท ‘แม่วัยสาว’ ที่จะค่อย ๆ โตขึ้นพร้อมกับลูกชาย” ในขณะที่เขาพูด ฉันมองเขานิ่ง ๆ แทบไม่กะพริบตา
“พี่รู้ว่า มิ้นคงคิดว่ามันซ้ำซ้อนกับบทแม่ที่มิ้นเพิ่งเล่นไป แต่ไม่เลยครับ อันนี้มันต่างกันออกไปมาก มันคือแก่นของเรื่องเลย”
“เปล่าค่ะ มิ้นเล่นบทซ้ำได้ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว แต่บทแม่วัยสาวอันนี้ ดูเหมือนไปทางตัวหลักไม่ใช่เหรอคะ พี่ก็รู้ว่ามิ้นไม่อยากเล่นบทเด่น”
“บทนี้ตัวหลักก็จริงแต่อย่างที่พี่บอก มันเป็นตัวหลักในช่วงวัยสาวของนางเอกเท่านั้น ซึ่งจะมีคนเล่นบทนางเอกนี้อยู่ สามคน พี่อยากให้มิ้นแสดงบทนี้จริง ๆ นะครับ”
“แล้ว...ทำไมต้องเป็นมิ้นล่ะพี่แทน” พี่แทนนิ่งไป ก่อนจะพูดช้า ๆ
“เพราะมิ้นเล่นซีนแม่ แต่คนดูเชื่อว่ามิ้นรักลูกจริง ๆ พี่ไม่ได้ต้องการนักแสดงที่ร้องไห้เก่ง แต่พี่อยากได้คนที่เข้าใจตัวละครจากข้างใน ซึ่งพี่ว่ามิ้นเป็นคนที่พี่กำลังมองหาและมีอะไรบางอย่างที่พี่ไม่เคยเห็นจากใครมาก่อน” คำพูดนั้นพานทำให้หัวใจฉันเต้นแรงมากแม่!
“มันฟังดูเว่อร์ไปไหมคะ?”
“เว่อร์ก็จริง แต่พี่พูดจริงนะครับ พี่ต้องการหนูร่วมงาน ช่วยพี่คนนี้ไม่ได้เหรอ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกแต่ก็แฝงด้วยความอ้อนเล็ก ๆ เป็นใครก็ใจเหลวแหละค่ะ
เขายื่นบทมาทางฉัน
“อยากให้ลองอ่านบทดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ” ใจหนึ่งก็อยากรับเพื่อช่วยเขา แต่อีกใจก็กลัวการอยู่ในแสงไฟที่ทำให้ฉันเจ็บ ถึงมันจะเป็นบทนำร่วมกันหลาย ๆ คนก็เถอะ
“มิ้นขอเวลาคิดได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ” พี่แทนยิ้มอย่างอ่อนโยน ยกมือลูบหัวฉันเบา ๆ แววตาที่มองมาละมุนและอบอุ่นแปลก ๆ ก่อนเขาจะลุก และพูดทิ้งท้ายไว้
“น้องมิ้นเคยหายไปจากจอพี่ใจหายนะครับ ตอนมิ้นกลับมาบนหน้าจออีกครั้ง พี่...และคนอื่น ๆ ต่างก็ดีใจที่ได้เห็นมิ้นอีก ดังนั้นพี่หวังว่าต่อจากนี้...มิ้นจะไม่หายไปอีกนะครับ ไม่สิพี่จะไม่มีวันให้หนูหายไปจากสายตาอีกแล้ว”
คำพูดนั้นของเขาทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจ แม้ฉันจะไม่เข้าใจอะไรนัก แต่เขาคงหมายถึงการปรากฏตัวของฉันบนหน้าจอนั่นแหละ ดูท่าพี่แทนก็คงชื่นชมทักษะการแสดงของฉันจริง ๆ
10ความอึดอัดและสับสนแสงแดดลอดผ้าม่านเข้ามาในห้อง ความอุ่นของมันทำให้ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความรู้สึกแรกหลังตื่นคือหัวหนักอึ้ง ราวกับดื่มเหล้าเมาหนักไปด้วย ทั้งที่คนเมาเมื่อคืนคือพี่แทนแท้ ๆเอาจริงนะ ร่างกายว่าปวดร้าวหนักหน่วงแล้ว แต่ที่ยิ่งกว่าคือ หนักอกหนักใจ มากกว่า‘เรื่องเมื่อคืนมัน เกิดขึ้นจริงใช่ไหมเนี่ย’ภาพในค่ำคืนที่ผ่านมาถาโถม เสียงกระซิบชื่อฉัน สัมผัสของมือที่จับไปทั่วร่างทุกซอกทุกมุม ยังคงวนเวียนในหัว ฉันจำได้หมด ตั้งแต่เสียง ภาพ และความรู้สึกอันเร่าร้อนแต่ถึงจะจำได้ทุกอณูขนาดนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี“เขาเป็นเกย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงมีอารมณ์กับฉันได้” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ “หรือว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของเขากัน”ฉันยังหาบทสรุปไม่ได้ เขาเห็นฉันในสถานะอะไรในคืนที่ผ่านมา น้องสาวที่รู้จัก น้องในวงการ หรือคนที่เขาสามารถกอดได้ในคืนเหงาแบบนี้?‘ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจัง’ฉันค่อย ๆ ลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้พี่แทนรู้สึกตัว ฉันนั่งมองไปรอบ ๆ เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเกลื่อนบนพื้น ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดในคืนที่ผ่านมา แถมยังมีชิ้นยางบาง ๆ อุปกรณ์ป้องกั
ความเมาเป็นเหตุ...สังเกตได้‘Rrrrrr’เสียงมือถือดังขึ้นตอนเกือบตีสอง ขณะที่ฉันกำลังเฝ้าพระอินทร์อยู่แท้ ๆ แต่คนปลายสายก็ไม่หยุดโทรเข้ามาสักทีทำให้ฉันต้องตื่นมารับมันทั้งที่ตายังปิดอยู่ด้วยซ้ำ“ฮัลโหล! โทรมาทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ เนี่ย คนนอนอยู่เว้ย!” ฉันตวาดด้วยความหงุดหงิด“มิ้นครับ...อยู่ไหน”“พี่แทน?” เสียงของเขาแหบพร่า แฝงเจือความเมาอย่างชัดเจน“ครับ...” เขาตอบสั้น ๆ แล้วขาดช่วงไป“อยู่คอนโดค่ะ พี่โอเคไหมทำไมเสียงเป็นแบบนี้”“ไม่โอเค...ครับ...พี่อยู่...แถว ๆ คอนโด...เก่า ขับรถ...ไม่ได้”“พี่อยู่คนเดียวเหรอ” ใจฉันกระตุกวูบ อดเป็นห่วงไม่ได้“อืม...” เสียงเขาขาดช่วงไป แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงพึมพำฟังยากมากกว่าเดิม “มารับหน่อยได้ไหม ไม่อยากโทรหาใครอื่นนอกจากหนู”“พี่บอกชื่อร้านมาเดี๋ยวมิ้นไปรับค่ะ” ในขณะที่พูด
8บทที่เปลี่ยนไป‘ปัง!’ พอประตูห้องคอนโดปิดลง ฉันก็ทรุดตัวลงพิงประตูแล้วถอนหายใจยาว นี่มือยังสั่นอยู่เลยนะ หน้าก็ร้อนราวกับไฟลวก ไม่รู้ว่าเป็นไข้หรือเพ้อเกินขนาดกันแน่“พี่แทนจูบฉัน แล้วฉันก็จูบเขากลับไป โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นห้อง วิ่งไปกระโจนลงเตียงนอน หยิบหมอนข้างมากอดแน่นแล้วกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งบนเตียง ร่างกายปั่นป่วนไปหมด“บ้าเอ้ย บ้าจริง บ้าที่สุด!” ฉันทั้งกลิ้ง ตีหมอนข้าง ถีบผ้าห่มจนยับ สภาพเรียกว่าเละก็ทำไงได้ จูบนั่นมันไม่ใช่จูบธรรมดาเลย มันมีเอฟเฟคต่อใจฉันแรงมาก มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉัน‘แทบหยุดหายใจ’แล้วฉันก็ดันเผลอหลับตาพริ้มแบบเต็มใจ ไม่สิรุกเขาด้วยซ้ำ ถ้านี่คือฉากบทนั้นต่อหน้ากล้อง ใครเห็นก็คงคิดว่าฉันตกหลุมรักพระเอกในฉากจริง ๆ แล้วล่ะ“ไม่ใช่โว้ย! เขาเป็นเกย์ เขาไม่ได้คิดอะไรกับจูบนั้นซะหน่อย” ฉันร้องบอกตัวเองเสียงดังอีกครั้ง เพื่อเตือนสติตัวเอง แล้วดึงผ้าห่มคลุมโป่งไปทั้งตัว หัวใจไม่ยอมฟัง มันยังคงเต้นแรงอยู่ในอกแต่...ตอนนี้ ฉันต้องพยายามคิดไว้ว่ามันคือซ้อมบท การแสดง มันเป็นเพียงแค่...‘งาน’ฉันกอดหมอนข้างแน่นขึ้นอีก กลิ้งไปมาอีกครั้งแล้วสมองก็ผุดคำหนึ่งขึ้นมา ‘เขาเป็
7จะ...จูบกับเกย์ฉันเดินออกมายืนรอที่ลานจอดรถด้วยท่าทีนิ่งขรึม กอดอกทอดสายตามองรถคันหรู ที่เคยเห็นมาเพียงครั้งหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าฉัน แต่ฉันยังคงยื่นนิ่งทื่อ เพราะสมองยังคิดถึงบทฉากใหม่ที่ถูกยัดเข้ามาอยู่“ขึ้นมาสิครับ” พี่แทนเลื่อนกระจกรถลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล หึ...คนที่ยัดฉากจูบมาให้ฉันดื้อ ๆ ยังมีหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันสะบัดตัวแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นรถของเขารถคันหรูเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลบนถนนยามค่ำคืน แสงไฟข้างทาง สาดส่องลอดผ่านกระจกมากระทบใบหน้าเขาถึงฉันจะโมโหพี่แทนอยู่ แต่พอมองหน้าที่ดูเย็น ๆ นิ่ง ๆ ของเขาก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใจสงบ หล่อราวกับฉันเอื้อมไม่ถึง ว่าแล้วก็ได้แต่อิจฉาผู้ชายชะมัด จนอยากเกิดใหม่เป็นผู้ชายไปจีบเขาบ้าง แต่ก็คงได้แต่ฝันพี่แทนยังคงขับรถด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไม่พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เอาแต่มองหน้าต่างฝั่งตัวเอง ทั้งที่ใจสับสนวุ่นวายไปหมด“มิ้น...” เสียงพี่แทนทำลายความเงียบอย่างอ่อนโยน“ว่าไงคะ” ฉันตอบกลับแต่ไม่มองหน้าเขา จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกอยากทำให้พี่แทนรู้ว่า ฉันหงุดหงิดที่เขายัดบทให้ฉันไปจูบกับผู้ชาย (คนอื่น)“โมโหอะไร
6ห้องแต่งตัว หัวใจเต้นระริก“โอ๊ย! เหนื่อยจังโว๊ย” ฉันสบถออกมา หลังกลับมาถึงคอนโดก็แทบสลบคาโซฟา มันทั้งเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะอินไปกับบทที่ได้รับมากไปหน่อย‘วันนี้เก่งมากครับ’ จู่ ๆ คำพูดที่พี่แทนพูดกับฉัน ก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด จากใบหน้าบึ้งตึง เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวจนหยิบหมอนที่อยู่ใกล้มือมาปิดหน้าตัวเอง“กรี้ด...เขาชมฉันด้วย ฉันชอบเขาจัง พี่เกย์สุดหล่อขา...” หัวใจฉันมันเต้นตุบตับ ยิ่งกว่าเข้าซีนกับพระเอกในละครที่เคยแสดงด้วยกันซะอีกเอาเถอะ ฉันก็แค่หลงรักเขาข้างเดียว ยังไงซะ...เขาก็คงไม่หันมามองฉันหรอก แต่ถึงจะปลอบใจตัวเองขนาดนั้น หัวใจก็ไม่หยุดเต้นสักที‘เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!’ ฉันตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะลุกเดินไปอาบน้ำเพื่อเข้านอน(วันรุ่งขึ้น)วันนี้คิวถ่ายฉันมีซีนเดียวเท่านั้น ก็ตามที่บอกแม้ฉันจะเล่นเป็นบทนำร่วมแต่บทแม่วัยสาวของฉัน มันไม่ได้เด่นมากขนาดนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีค่ะฉากในวันนี้ของฉันคือ รุ้งคุณแม่ยังสาว ต้องปกป้องลูกชายของตัวเองจากความจน และการโดนกดขี่จากคนรอบข้าง เสื้อผ้าที่ได้สวมใส่ก็เป็นผ้าฝ้ายสีซีด ต้องทำตัวให้ดูโทรมที่สุดเท่าที่
5 เข้ากองวันแรกวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันแรกของการถ่ายทำมาถึง แต่แทนที่ฉันจะได้สวมบทแม่ยังสาวและร้องห่มร้องไห้ในฉากแสนสะเทือนใจ กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่ง รอ...รอ...และก็รอ เฮ้อ...สาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน ดีนี่ ดาราผู้รับบทช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีบทมากที่สุด มาสายกว่าชั่วโมง สีหน้าเธอดูเหนื่อยล้า และซีดเผือดเหมือนยังไม่ได้นอนผู้จัดการของเธอก็เอาแต่พ่นคำหยาบออกมา แม้แต่ฉันที่ได้ยินยังรำคาญหู โวยวายเรื่องสคริปต์ เรื่องฉาก เรื่องตารางถ่ายทำที่แน่นเกินไป ฉันที่นั่งฟังเงียบ ๆ พานนึกในใจว่าไม่ใช่ที่ดีนี่ไม่พร้อมหรอก น่าจะเป็นผู้จัดการของเธอต่างหากที่ไม่พร้อมจะทำหน้าที่นี้ฉันยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อรอคิวถ่าย แต่...ดีนี่แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผ่านไปเทคแล้วเทคเล่าเกือบยี่สิบรอบ ผู้กำกับเริ่มถอนหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีมไฟ ทีมกล้องเริ่มเบือนสายตาจากจอมอนิเตอร์ หันมามองหน้ากันแทนและคิวของฉันก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ แต่ที่น่าหนักใจกว่า คือดีนี่เริ่มร้องไห้หนัก เธอนั่งขดตัวอยู่มุมห้องจนไม่ม