เข้าสู่ระบบ“คะ...คุณทำอะไร ยะ...อย่าทำอะไรแก้มเลยนะคะ” เสียงสั่นสะท้านถามออกมาเพียงแผ่วเบาเมื่อเห็นมือหนากระชากสาบเสื้อของตัวเองจนกระดุมหลุดหล่นกระจายลงบนพื้นไปคนละทิศละทาง ดวงตาวาวโรจน์พุ่งมองมาที่เธอ “ยะ...อย่าทำอะไรแก้มเลยนะคะ แก้มขอร้อง” กมิตตรายกมือขึ้นไหว้อ้อนวอน “ไง ตัวสั่นระริกเลย...กลัวหรือว่าตื่นเต้นกันล่ะ” น้ำเสียงเยาะหยันของอนรรฆบีบเค้นหัวใจของเธออย่างแรง “คุณเอียนขา...แก้มขอโทษ อย่าโกรธแก้มเลยนะคะ แก้มจำเป็นจริง ๆ อย่าทำอะไรแก้มเลยนะคะ แก้มกลัว...” เสียงสะอื้นวอนขอของกมิตตราไม่ได้ทำให้อนรรฆใจอ่อนลงแม้แต่น้อย “กลัว...กลัวอะไร เธอควรจะดีใจสิที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสสนองตัณหาของนายอนรรฆ เอียน แบรนดอน เจ้าพ่อธุรกิจคอมพิวเตอร์ ที่เธอยอมเอาตัวเองเข้าแลกเพราะเงิน” “มะ...ไม่จริงนะคะ...พวกนั้นขู่แก้ม จะทำร้ายน้อง ๆ ของแก้ม...แก้มถึงต้องทำแบบนี้ แก้มไม่ได้อยากหลอกคุณเอียนนะคะ ไม่ได้อยากหลอกทุกคน” “หยุดพูดเถอะ...ฉันสะอิดสะเอียนกับคำพูดมารยาจอมปลอมของเธอจริง ๆ”
ดูเพิ่มเติมบทที่ 1 เริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
คิ้วเรียวราวกับปีกนกของสาวน้อยคนหนึ่งขมวดเข้าหากัน เมื่อท้องฟ้าที่เคยสวยงามเมื่อสักครู่แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมืดครึ้ม สายลมที่พัดโชยเอื่อยเปลี่ยนเป็นแรงจนโบกสะบัดเส้นผมยาวสลวยจรดกลางแผ่นหลังบอบบางปลิวสยายจนเจ้าตัวต้องใช้โบว์มัดผมที่ใส่ข้อมือเอาไว้ออกมารัด ไม่ให้สายลมตีผมเธอจนยุ่ง ดวงตากลมโตประดุจกวางป่าล้อมกรอบด้วยแพขนตาสีดำสนิทเหมือนเส้นผมหรี่ลงเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองปลิดปลิวเข้าดวงตาทั้งสองข้างของเธอ กมิตตราเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้นเพราะถ้าขืนช้าไปกว่านี้เธอคงหนีไม่ทันฝน
“โอ๊ย...พี่ฝนขา อย่าเพิ่งตกลงมานะคะ ขอให้แก้มกลับถึงบ้านก่อน”
แต่ดูเหมือนพี่ฝนของกมิตตราจะไม่ให้ความร่วมมือ เพราะตอนนี้พี่ฝนเริ่มตกมาเป็นละอองฝอย ๆ เสียแล้ว เมื่อไม่กี่นาทีก่อนตอนที่เธอกำลังปั่นจักรยานไปยังตลาดนัดเล็ก ๆ ข้างหมู่บ้านซึ่งตลาดแห่งนี้จะมีทุกวันพุธ มีทั้งอาหารคาวหวานจากแม่ค้าที่อาศัยอยู่ละแวกนี้ ตอนนั้นอากาศยังดีอยู่เลย ท้องฟ้าแจ่มใสจนไม่ส่อแววว่าจะมีฝนตกด้วย ดวงตากลมโตมองข้าวของหน้าตะกร้าจักรยานด้วยสีหน้าที่ร้อนรน เธอต้องรีบนำผักสดพวกนี้ไปให้คุณแม่อธิการทำกับข้าวให้น้อง ๆ ของเธอที่กำลังรอกินข้าวอยู่ กมิตตราเองก็เหมือนกับน้อง ๆ พวกนั้นของเธอที่เกิดและเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในโบสถ์คริสตจักรเซบัสเตียนของเมืองเชียงใหม่ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาและมารดาของเธอเป็นใคร รู้แต่เพียงว่าคุณแม่อธิการจันดากับคุณแม่อธิการเภตราเป็นผู้เลี้ยงดูคอยสั่งสอนส่งให้เธอได้เล่าเรียนจนจบปริญญาตรี กมิตตรากำลังหางานทำซึ่งงานเดี๋ยวนี้มันก็หายากเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่เกี่ยงเพียงเพื่อจะได้มีเงินมาช่วยส่งเสียเลี้ยงดูน้อง ๆ ที่น่าสงสารของเธอ ช่วยเหลือคุณแม่อธิการแบ่งเบารายจ่ายบ้างก็ยังดี
เท้าเล็กพยายามเร่งฝีเท้าจูงจักรยานคันเล็กของตัวเองไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น แต่ตรงหน้าเธอนั้นเป็นถนนใหญ่ถึงแม้จะเป็นถนนทางลัดไม่ค่อยมีรถหนาแน่นเหมือนถนนหลักแต่ก็ต้องระมัดระวัง ร่างบางถึงกับสะดุ้งสุดตัว มือเล็กปล่อยจักรยานที่จับเอาไว้ล้มกระแทกพื้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองฝ่าละอองฝนด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงเบรกของรถคันหนึ่งดังลั่นยาวเหยียด เสียงเหล็กกระทบของแข็งจนเกิดประกายไฟก่อนจะพลิกคว่ำหลายตลบบนท้องถนน กมิตตราไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองทรุดลงไปนั่งกับพื้นถนนได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้สายตาของเธอกำลังมองจ้องรถคันนั้นนอนหงายท้องบนถนนด้วยความตกตะลึง
รถบรรทุกขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่ารถสิบล้อหยุดจอดห่างจากเธอไปเล็กน้อยและตอนนั้นนั่นเองที่เธอได้ยินเสียงคุยกันบนรถ เท้าของเธอเย็นเฉียบทันทีเมื่อได้ยินข้อความที่สองคนนั่นคุยกัน
“อัด...มึงว่ามันจะตายไหม”
คำถามของวิทย์ทำให้อัดต้องชะโงกหน้ามองผ่านบานกระจกรถที่เลื่อนลงเพียงแค่ครึ่ง เรียวปากของมันยกสูงขึ้นอย่างเยาะหยันเมื่อเห็นสภาพรถที่หงายท้องอยู่กลางถนน
“จะเหลือเรอะ...ถ้าไม่ตายมันก็เลี้ยงไม่โตล่ะ”
วิทย์มองหน้าเพื่อนก็จะยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วย ประกายตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมไม่มีความสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำแม้แต่น้อย
“ฉันอยากเห็นหน้าไอ้เอียนมันนัก...ถ้ามันเห็นสภาพศพพ่อมัน...มันจะทำหน้ายังไง”
สองหนุ่มหัวเราะกันอย่างสะใจในขณะที่หญิงสาวอีกคนหนึ่งนั่งกองกับพื้นถึงกับอ้าปากค้าง หมายความว่าอย่างไร...สองคนนี้ตั้งใจที่จะทำให้อุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้น เร็วเท่าความคิดหญิงสาวลุกขึ้นมาเตรียมที่จะวิ่งหนีออกไปเพราะถ้าเธอได้ยินความลับของพวกมันแล้วมันคงไม่เอาเธอไว้แน่ และการขยับกายของเธอไม่ได้เล็ดลอดสายตาของอัดที่กำลังมองไปรอบด้านเลย
“ซวยแล้วไอ้วิทย์ มีคนเห็นพวกเรา”
วิทย์หันขวับมามองทางด้านหลังผ่านบานกระจกของรถบรรทุกเมื่อได้ยินคำพูดของอัดตะโกนดังออกมา
“ไม่เป็นไร...เหยียบมันให้ติดถนนแค่นี้ก็หมดเรื่อง”
วิทย์พูดกับอัดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม เปลี่ยนเป็นเกียร์ถอยหลังพร้อมกับเหยียบคันเร่งถอยรถบรรทุกอย่างสุดแรงหวังจะจัดการปิดปากคนที่รู้เห็นเรื่องนี้ให้สิ้นซาก เสียงเหยียบคันเร่งและแรงรถที่ถอยหลังทำให้กมิตตราเร่งฝีเท้าตัวเองมากยิ่งขึ้น หัวใจดวงน้อยของเธอหายวับไปทั้งดวงเมื่อคิดได้ว่ารถบรรทุกคันนั้นตั้งใจจะถอยมาชนเธอ แต่ก็เหมือนโชคช่วยเมื่อได้ยินเสียงแตรรถยนต์ดังยาวเหยียดของรถยนต์อีกคันหนึ่งที่กำลังขับผ่านมา
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยค่ะ”
เสียงร้องของกมิตตราดังลั่นอย่างขอความช่วยเหลือกับผู้ที่ผ่านมา หัวใจที่หายวับไปทั้งดวงเมื่อสักครู่ค่อย ๆ ชื้นขึ้นมาเมื่อคิดว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ตามลำพัง ร่างบางที่เริ่มเปียกชื้นสั่นสะท้านด้วยความโล่งอกทรุดนั่งกับพื้นถนนอย่างไม่มีแรงจะวิ่งต่อ เพราะตอนนี้ขาทั้งสองข้างของเธอชาจนไม่มีแม้แต่แรงจะยืน รถบรรทุกที่กำลังถอยหลังไล่บี้เธออยู่หยุดชะงักจนได้ยินเสียงล้อรถยนต์บดกับพื้นถนนเสียงดัง ก่อนที่มันจะพุ่งไปข้างหน้าและขับหายไปท่ามกลางสายฝนที่เริ่มตกหนาตาขึ้น
“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าของรถกระบะที่มาใหม่ลงมาจากที่นั่ง คนขับมองภาพหญิงสาวที่กำลังทรุดนั่งพื้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ถ้าเขาตาไม่ฝาดรถบรรทุกสิบล้อนั่นตั้งใจจะถอยมาทับหญิงสาวคนนี้แน่
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...พี่...มีรถโดนชน”
กมิตตรารีบบอกผู้ใจดีที่มาช่วยเธอไว้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าขืนช้ากว่านี้เธอไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในรถคันนั้นจะยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า หญิงสาวจึงรีบวิ่งไปยังรถที่หงายท้องอยู่กลางถนนพร้อมกับเจ้าของรถกระบะที่มาช่วยเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ร้อนรน ในขณะที่ผู้มีพระคุณของเธอกลับหยิบโทรศัพท์ออกมา เธอไม่รู้ว่าเขาโทร. หาใครแต่คาดคะเนได้ว่าคงเรียกหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินมาช่วยเหลือ
เสียงครางอย่างเจ็บปวดดังออกมาเบาหวิว มือของคนเจ็บพยายามเคาะกระจกที่แตกร้าวไปทั่วทั้งบานแต่ยังไม่หลุดออกเป็นชิ้น ๆ เพราะการยืดเกาะของฟิล์มติดรถยนต์บวกกับประสิทธิภาพของกระจกที่ได้คุณภาพนั่นเอง เพื่อขอความช่วยเหลือบอกคนที่อยู่ด้านนอกว่ายังมีคนบาดเจ็บอยู่ด้านใน
“พี่คะ...ทางนี้ค่ะ มีคนติดอยู่ในรถ”
เจ้าของรถกระบะที่มาช่วยเหลือเธอเอาไว้รีบมาดูยังที่เกิดเหตุ ก่อนจะหันซ้ายขวาไปหยิบท่อนไม้พอเหมาะและตะโกนดังลั่นเพื่อให้คนเจ็บที่อยู่ด้านในหลบไปก่อน
“คุณ...เขยิบหนีไปก่อน ผมจะใช้ไม้เคาะกระจกพวกนี้ออก”
ไม่นานเศษกระจกเหล่านั้นก็หลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ ร่วงกราวบนท้องถนน ชายร่างหนาคนที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้ตะโกนถามคนเจ็บอีกครั้ง
“คุณ...คุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า ถ้าผมดึงคุณออกมาคุณไหวไหม”
สิ้นสุดคำถามคนบาดเจ็บด้านในก็ตะโกนตอบชายหนุ่มร่างหนาผู้ใจดีนั้นทันที
“ผมเจ็บที่ขาอย่างเดียว...เหมือนขาจะหัก”
“ถ้าอย่างนั้นผมดึงคุณออกมานะ”
ผู้ใจดีเอื้อมมือไปดึงร่างสูงของผู้บาดเจ็บออกมาทันที กมิตตรายกมือขึ้นแตะปากตัวเองด้วยความตกใจเมื่อเห็นรอยเลือดไหลเป็นทางยาวเหนือคิ้วของคนเจ็บ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา เธอต้องมีสติ ถ้าเป็นอย่างนี้เธอไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้แน่ ร่างบางเดินไปรอบรถเพื่อมองผู้บาดเจ็บคนอื่นอีก แต่หญิงสาวก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างสิ้นลมหายใจใต้พวงมาลัยรถ ร่างบางผงะออกเล็กน้อย แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือยังคงดังลอยตามลมมาเป็นระยะ กมิตตราเรียกสติตัวเองให้คืนมา หญิงสาวกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ดวงตากลมโตของหญิงสาวต้องเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งเมื่อเหลือบเห็นร่างหนาที่นอนจมกองเลือดไกลจากรถที่เกิดเหตุเพียงแค่สามเมตร ร่างบางถลาเข้าไปหาร่างของผู้บาดเจ็บคนนั้นทันที
สีหน้าหงุดหงิดของอนรรฆไม่อาจรอดพ้นสายตาของแดนไทยได้เลย บอดี้การ์ดหนุ่มหัวใจสาวจึงหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่เก็บอารมณ์จนคนเป็นเจ้านายตวัดสายตาคมกริบไปมองลูกน้องตัวเองเขม็ง“แกจะหัวเราะอะไรไอ้แดน”“เอ๊า...ก็หัวเราะอะไรเน่า ๆ แถวนี้ เจ้านายดมหัวแดนนี่หน่อยได้ไหม พักนี้แดนนี่รู้สึกตัวเองหัวเหม็น ๆ เน่า ๆ ยังไงก็ไม่รู้”เมื่อสบตาวาววับของคนเป็นเจ้านายบอดี้การ์ดหัวใจสาวก็วิ่งปนหัวเราะไปหากันต์กับกมิตตราพลางกระซิบอะไรบางอย่างกับหญิงสาวจนหญิงสาวหันมามองอนรรฆด้วยสีหน้าร้อนรน ยิ่งเมื่อเห็นร่างสูงของอนรรฆเดินหนีไปแบบนั้น กมิตตราถึงกับหันไปมองกันต์อย่างขอความคิดเห็นว่าเธอควรจะทำอย่างไร“ไปง้อหน่อยเถอะ...คนแก่งอนง้อยากหน่อยนะ”นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินกันต์พูดออกมาแบบนั้น แดนไทยถึงกับมองเพื่อนหนุ่มอย่างอึ้ง ๆ ปกติเห็นกันต์เงียบขรึมตลอดเวลา“แกพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอวะกันต์”“ฉันฟังแกมาเยอะไง...แดนนี่”พูดจบกันต์ก็เดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งให้แดนนี่ยืนทบทวนคำพูดของเพื่อนรักว่ามันด่าหรือว่าชมเขากันแน่ กว่าจะนึกออกกันต์ก็เดินหายไปแล้วทิ้งให้แดนไทยก่นด่าเพื่อนรักอยู่ในใจ“โกรธอะไรคะ”“เปล่า”กมิตตราย
ทั้งอนรรฆและแดนไทยเดินออกมาห่าง ปล่อยให้พี่น้องได้มีโอกาสคุยกันหลังจากที่พลัดพรากจากกันมานาน แต่ทั้งคู่ก็ยังอยู่ในสายตาของอนรรฆตลอดเวลา บอดี้การ์ดหนุ่มหัวใจสาวมองภาพประทับใจนั้นด้วยดวงตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเต็มสองตา ในที่สุด...กันต์ก็ได้หัวใจตัวเองกลับคืนมา ต่อไปนี้เพื่อนหนุ่มของเขาคงยิ้มได้เต็มหน้าเสียที ไม่ต่างอะไรกับอนรรฆ นับตั้งแต่ได้กันต์มาทำงานด้วยกัน เขาไม่เคยเห็นลูกน้องคนนี้มีความสุขจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง รอยยิ้มที่มีก็เป็นแค่การแยกเรียวปากออกจากกัน มันไม่ใช่รอยยิ้มที่มีความสุข ไม่ใช่รอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ แต่ว่า...สองคนนี้จะกอดกันอีกนานไหม ถึงแม้จะเป็นพี่น้องก็เถอะ หัวใจของเขามันคัน ๆ ชอบกล อนรรฆรีบหลับตาพึมพำนิด ๆ ราวกับสวดมนต์บอกกับตัวเองว่าพี่น้อง...พี่น้อง ไอ้อาการหึงหวงนี่เขาก็ห้ามมันไม่ได้เสียด้วย และอาการทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของแดนไทยถนัดตา“เจ้านายเป็นอะไรฮะ ทำปากขมุบขมิบเหมือนจะแช่งใคร หรือว่า...”คำพูดของแดนไทยหยุดเพียงแค่นั้น เมื่อหันไปมองกันต์กับกมิตตราที่กอดกันแน่น พอจะเดาอาการของคนเป็นเจ้านายถูก เขาก็อยากจะหัวเราะออกมาให้ดังลั่น แต่ก็หวั่นใจว่าปลายเท้าของเจ้านายจะตวัด
กันต์พยักหน้าก่อนจะมองแหวนอีกวงหนึ่งซึ่งอยู่ในมือของอนรรฆราวกับว่ามันคือสิ่งประหลาด หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก“นายดูแหวนวงนี้สิ...ว่าเหมือนของนายหรือเปล่า”อนรรฆยื่นแหวนอีกวงที่เขาถือเอาไว้ให้กันต์ทันที มือที่ยื่นไปรับแหวนจากอนรรฆสั่นเล็กน้อย หัวใจแทบจะหยุดเต้น นับเป็นครั้งแรกที่เขานึกวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เรื่องที่เขารอคอยมานานเป็นจริงเสียทีเถอะกันต์มองแหวนวงน้อยในมือก่อนจะพลิกดูด้านใน ดวงตาของกันต์เบิกกว้างมองอนรรฆอย่างดีใจ รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าเคร่งขรึม นับเป็นรอยยิ้มอย่างดีใจรอยยิ้มแรกที่อนรรฆเห็นจากใบหน้าของกันต์ก็ว่าได้“เจ้านายได้แหวนวงนี้มาจากใครครับ เขาอยู่ที่ไหน...บอกผมเถอะครับ”น้ำเสียงกับสีหน้ายินดีของกันต์ ทำให้หญิงสาวอีกคนที่ยืนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงมองหน้ากันต์อย่างพิจารณาเป็นครั้งแรก“มันเป็นของแก้มเองค่ะ”สิ้นเสียงสั่น ๆ ของกมิตตราสายตาของกันต์หันไปมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างตกตะลึงและคาดไม่ถึง“มะ...หมายความว่ายังไง...แก้มเป็นเจ้าของแหวนวงนี้หรือ”“ค่ะ...คุณแม่อธิการบอกว่ามันห้อยคอแก้มมาตั้งแต่เด็ก”กมิตตราตอบออกไปอย่างแผ่วเบา ดวงตากลมโตคลอค
บทส่งท้ายสายตาเหม่อลอยของหญิงสาวทอดมองไปยังท้องทะเลด้านหน้า ความฝันเมื่อคืนยังคงติดตาติดใจของเธอจนถึงตอนนี้ กระบอกตาของหญิงสาวร้อนผ่าวยามที่คิดถึงคนเป็นพี่...ครอบครัวเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่ ป่านนี้เขาจะอยู่ที่ไหนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร“หนีพี่ออกมาแบบนี้...คืนนี้จะลงโทษให้ครางทั้งคืนเลยคอยดูเถอะ”ร่างสูงเดินเข้ามากอดหญิงสาวทางด้านหลัง ใบหน้าคมเข้มก้มลงจุมพิตหัวไหล่บอบบางของกมิตตราหนึ่งทีก่อนจะกระชับวงแขนที่รัดเอวบางของหญิงสาวให้แน่นขึ้นอีกนิด“คิดเรื่องอะไร...เรื่องฝันร้ายเมื่อคืนนี้เหรอ”กมิตตราพยักหน้าหงึก ๆ ยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำตาที่ซึมออกมา“พี่ช่วยตามหาพี่ชายให้เอาไหม เรื่องยุ่ง ๆ ทุกอย่างมันจบลงไปหมดแล้ว ทีนี้คงมีเวลาที่จะตามหาพี่ชายของแก้มได้”ร่างบางหันขวับมามองคนตัวสูงทันทีอย่างดีใจ“จริงนะคะ”อนรรฆพยักหน้าอย่างหนักแน่น ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากกลมมนของหญิงสาวคนรักเบา ๆ“จริงสิจ๊ะ”สายตาของอนรรฆทอดมองไปยังชายหาดด้านล่าง เมื่อเห็นร่างสูงของกันต์ คิ้วหนาของชายหนุ่มก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง“โน่นก็อีกคน...น้องหาย ถ้าเอาแก้มกับกันต์มาอยู่ด้วยกันคงเหมือนพี่น้องกันเลย อีกคนตามหาพี่ อี
ประโยคแรกหญิงสาวตะโกนหมายจะบอกให้เขาทั้งสองได้รับรู้ในสิ่งที่เธอพูดไป ในขณะที่ประโยคถัดมาเธอตะโกนเสียงดังเพื่อให้อนรรฆตอบเธอมาเสียงดังด้วยเช่นเดียวกัน อนรรฆหลับตาลงพลางนึกสีหน้าของลูกน้องทั้งสองคนออกเลยทีเดียวโดยเฉพาะแดนไทย“เร็ว ๆ สิฮะคุณเอียน แดนนี่รอเป็นพยานอยู่นะ”เมื่ออนรรฆยังไม่ตอบออกมาแดนไทยจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อน“รัก”“อะไรนะ...รัก...รักใคร...รักแดนนี่หรือฮะ”อนรรฆหลับตาลงนิดพลางนึกคาดแค้นแดนไทยในใจ อย่าให้ถึงทีฉันบ้างนะแดนนี่ ฉันจะซัดแกให้น่วม ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดพลางมองหญิงสาวที่รอคอยคำตอบจากเขาด้วยความหวัง“พี่รักแก้ม...รักที่สุด”เสียงหัวเราะของแดนนี่ดังออกมาทันทีที่เขาพูดจบ ในขณะที่กันต์ยิ้มออกมาอย่างดีใจ ในที่สุดอนรรฆก็พูดออกมาเสียที ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นปล่อยให้คนทั้งคู่ได้อยู่กันตามลำพัง“แสบนักนะ...ยัยตัวร้าย”“เอาคืนนิดหน่อยเอง โทษฐานที่พี่เอียนหลอกแก้มก่อน...เล่นน้ำทะเลกันดีกว่า”หญิงสาวตัวเล็กจูงมืออนรรฆลงเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน กมิตตรากวักน้ำใส่หน้าอนรรฆจนอีกฝ่ายหลบไม่ทัน เสียงเข้มห้ามปรามหญิงสาวแล้วแต่อีกฝ่ายหาเชื่อไม่ มือหนาของ
กมิตตรามองหน้าอนรรฆอย่างยั่วเย้า หญิงสาวถอยหลังลงไปในทะเลอีกนิดก่อนจะตัดสินใจปลดกางเกงขาสั้นที่สวมออก มือหนาของอนรรฆกำที่วางแขนบนรถเข็นแน่น มองไปรอบด้านว่ามีใครนอกเหนือจากเขาอีกหรือเปล่าที่จะเห็นภาพกมิตตราในตอนนี้อนรรฆพยายามนับหนึ่งถึงร้อยไม่ให้ตัวเองวิ่งถลาเข้าไปโอบร่างบางของกมิตตราเอาไว้เมื่อคิดว่าจะมีใครเห็นเนื้อนวลขาวที่ตัดกับชุดว่ายน้ำสีส้มนั้นอีกนอกจากเขา“แต่แก้มว่า...เล่นแบบไม่ใส่อะไรเลยดีกว่า”นิ้วเรียวของกมิตตราปลดสายชุดว่ายน้ำออกจากหัวไหล่บอบบางของตัวเองออกจนมันหล่นลงไปกองกับต้นแขนเพียงเท่านั้นอนรรฆก็ทนมองอีกไม่ไหว ร่างสูงวิ่งเข้าไปกอดรัดร่างบางของกมิตตราไว้แน่น พร้อมกับต่อว่าหญิงสาวเสียงขรม“ผู้หญิงบ้าอะไร ไม่อายคนอื่นหรือยังไง”“จะอายทำไม แก้มใส่ชุดว่ายน้ำอยู่นะคะ”อนรรฆมองซ้ายมองขวาก่อนจะรัดร่างบางไว้แน่น พยายามใช้ร่างหนาของตัวเองบดบังไม่ให้ใครได้เห็นสาวน้อยคนนี้ในชุดที่เรียกอารมณ์หนุ่มของเขาให้สูงขึ้น“แดน กันต์ ออกไปไกล ๆ เลย ไม่ต้องอยู่ตรงนี้”เสียงดังลั่นของอนรรฆเรียกรอยยิ้มจากกมิตตราได้ทันที ดูเหมือนอนรรฆจะลืมตัวแล้วว่ากำลังเล่นบทคนพิการกับเธออยู่ ถึงได้ถลาเข้ามาบั






ความคิดเห็น