เช้าวันต่อมาทุกคนรีบร้อนเดินทางต่อ วันนี้แม้หลี่เฟิ่งเซียนจะพูดคุยกับลู่มู่เฉินมากขึ้น ทะเลาะกับคนอื่นน้อยลง แต่เขาก็มองออกว่านางยังคงบึ้งตึงกับเขา เขาไม่ได้นำมาใส่ใจ เพราะสำหรับเขาแล้ว นางไม่เข้าใกล้เขาได้จึงจะเป็นเรื่องดี แต่ค่ำมาเขายังต้องทนทรมานนอนกับหลี่เฟิ่งเซียนในรถม้า แม้จะเป็นความทรมานที่หอมหวาน แต่เขาหวังว่าช่วงเวลาเช่นนี้จะรีบจบลง เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะทนไม่ได้เข้าสักวัน อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย มีปิศาจที่ไม่อาจควบคุมได้อยู่ในตัวเช่นเดียวกับผู้ชายคนอื่น
จากนั้นทุกวันยังดำเนินไปเรียบๆ และทุกข์ทรมานเช่นนี้ จนกระทั่งอีกสิบวันต่อมาพวกเขาก็มาถึงอำเภอเฟิง คราแรกจ้าวเหลียงตั้งใจจะรีบเดินทางออกไปจากอำเภอเฟิงให้พ้นวันนี้ให้ได้ แต่เมื่อมาถึงที่พักม้า หลี่เฟิ่งเซียนกลับนึกสนุกจะไปดูความเป็นไปในอำเภอให้ได้ ลู่มู่เฉินก็ไม่คิดขัดใจนาง
สุดท้ายจ้าวเหลียงจึงยอมให้คืนนี้พักกันในตัวอำเภอเฟิง พวกเขามีคนไม่มาก แต่มีรถม้าถึงสี่คัน ใครเห็นก็ย่อมรู้ว่าเป็นขบวนของคนมีฐานะร่ำรวย พวกเขาเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งทางเหนือของหมู่บ้าน
ตกเย็นยู่ยี่แกล้งหลับเป็นตาย หลี่เฟิ่งเซียนเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น นางแอบหยิกไปหลายครั้งยู่ยี่ก็ยังกัดฟันนอนต่อ ไม่สนใจความโกรธเคืองของคุณหนูใหญ่ เพราะนางรู้ดีว่าคุณหนูใหญ่เพียงทำเป็นหน้าดุเช่นนั้นเอง คุณหนูใหญ่ไม่เคยลงโทษนางหนักๆ สักครั้ง อย่างมากก็เพียงบ่นทั้งวัน เรื่องนี้นางพอรับได้ เพราะนางก็ชอบบ่นเช่นกัน
สุดท้ายหลี่เฟิ่งเซียนจึงลงมาด้านล่างคนเดียว เห็นลู่มู่เฉินกับจ้าวเหลียงกำลังนั่งดื่มสุรากันอยู่
“คุณหนูใหญ่” จ้าวเหลียงลุกขึ้นทำความเคารพนาง
“ข้าจะไปเดินดูแถวๆ นี้ เจ้าจัดคนไปเฝ้ายู่ยี่ด้วย นางหลับไปแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องใดขึ้น” นางกลัวว่าอาจมีโจรที่ไหนทำกับยู่ยี่ดังเช่นที่นางพบเจอ
“คุณหนู..” จ้าวเหลียงกำลังจะพูด แต่ลู่มู่เฉินกลับยกมือห้ามเขาไว้ ลู่มู่เฉินรู้ว่าจ้าวเหลียงต้องการทัดทานไม่ให้หลี่เฟิ่งเซียนออกไปเดินเล่น แต่ลู่มู่เฉินไม่อยากขัดใจนาง เขาอยากให้นางทำสิ่งใดก็ได้เท่าที่นางต้องการ
หลี่เฟิ่งเซียนออกไปแล้ว ลู่มู่เฉินจึงลุกขึ้นสั่งให้จ้าวเหลียงส่งคนตามนางห่างๆ อย่าให้นางรู้ตัว เขาจะไปเดินกับนางด้วย จะคอยห้ามปรามสิ่งที่ไม่ควร ให้จ้าวเหลียงวางใจ ก่อนที่เขาจะรีบตามหลังหลี่เฟิ่งเซียนไป
ลู่มู่เฉินตามหลี่เฟิ่งเซียนอยู่สักพัก นางเดินไปดูตลาดและร้านค้าต่างๆ ตามสองข้างทาง ในที่สุดนางก็รู้ตัวว่าเขาตามมา นี่เขาคิดว่านางเป็นหญิงสาวไร้เดียงสาพวกนั้นหรือ ตามเช่นนั้นมีแต่คนตาบอดที่ไม่เห็น
นางหยุดเดิน เขาก็หยุดเดิน นางแอบซ่อนรอดูว่าเขาจะตามนางอยู่อีกหรือไม่ แต่เขากลับตามนางด้วยสีหน้าตกใจทำสิ่งใดไม่ถูก ทั้งเป็นห่วงทั้งร้อนรน นางเห็นแล้วรู้สึกเห็นใจนัก เหตุใดเขาจึงต้องคอยเป็นห่วงนางเช่นนี้ หากเขายังทำเช่นนี้นางจะตัดใจจากเขาได้หรือ ด้วยความสงสารนางจึงออกไปให้เขาเห็น เขาถอนหายใจโล่งอกออกมา แต่ไม่บ่นด่านางสักคำ
“เจ้าเลิกตามข้าเช่นนั้นเถิด เหมือนสุนัขตามเจ้าของ...” พูดไปแล้วนางก็นึกถึงสิ่งที่เขาทำเพื่อนางในคุกใต้ดิน นางรู้สึกผิดจึงก้มหน้าลง
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกแย่มากจนไม่รู้จะพูดสิ่งใด
“โฮ่ง..” เขาเห่าออกมาคำหนึ่ง เขาย่อมรู้ว่านางรู้สึกผิด และนางไม่ได้ตั้งจะพูดเพื่อทำร้ายจิตใจของเขา เขาจึงล้อเล่นไปเช่นนั้น
หลี่เฟิ่งเซียนเงยหน้าขึ้นมามองเขา ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะทำเช่นนั้น นางกำลังจะด่าเขาว่าต่อไปอย่าทำเช่นนี้อีก แต่กลับเห็นดวงตาที่โค้งเล็กน้อยอย่างเปล่งประกาย ข้างแก้มที่บุ๋มเพราะมุมปากยกขึ้น เขากำลังยิ้ม!!
หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนเต้นรัวราวกับลั่นกลองรบ นางขยับเท้าออกเล็กน้อย รู้สึกภาพตรงหน้างดงามจนทนมองไม่ไหว กะพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่าภาพงดงามนั้นก็ยังไม่หายไป ที่แท้เวลาเขายิ้มเขาถึงกับมีแก้มบุ๋มปรากฏออกมา ดวงตาที่เคยงดงามมากก็ยิ่งงดงามมากขึ้น
นางถึงขั้นหายใจติดขัดเพียงเพราะรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยของเขาเชียวหรือ เช่นนี้มันยุติธรรมที่ใดกัน เรื่องที่นางพยายามตัดใจหลายวันมานี้ช่างไร้ความหมายราวกับผายลมออกไปครั้งหนึ่ง สวรรค์ไม่ยุติธรรม!!!
“ระวัง..”
เขาเห็นว่านางกำลังจะถอยไปชนขอทานคนหนึ่ง จึงรีบดึงนางไว้ แต่เพราะเขามีมือข้างเดียวที่ใช้ได้ ยื่นมือไปแล้วแต่มือซ้ายดึงนางไม่ได้ เขาจึงเปลี่ยนเป็นมือขวายื่นไปจับตัวนาง แต่เพราะเมื่อครู่เขาเอื้อมไม่ถึง ครั้งนี้จึงยื่นให้ไกลขึ้น กลับกลายเป็นว่าครั้งนี้เขาโอบไปที่เอวของนางแทน
แค่รอยยิ้มหนึ่งครั้งก็เพียงพอทำให้นางกลับมารักเขา นับประสาอะไรกับการโอบกอด การกระทำเช่นนั้นแทบจะทำให้หลี่เฟิ่งเซียนสิ้นสติ นางตาลาย หายใจไม่สะดวก ลำคอแห้งผาก
“สารเลวที่ไหนมันเหยียบถ้วยของข้า” เสียงสตรีนางหนึ่งตวาดเสียงดังด้วยความโมโห
หลี่เฟิ่งเซียนและลู่มู่เฉินหันไปมองพร้อมกัน ที่แท้เป็นขอทานคนนั้น
“แม่นาง ข้าผิดเอง ขออภัยด้วย” ลู่มู่เฉินพูดขอโทษแทนหลี่เฟิ่งเซียน
“เชอะ เจ้าอัปลักษณ์นี่ เจ้าเป็นโรคสกปรกเพียงนี้ อย่ามาเข้าใกล้ข้านะ คิดว่าเพียงขอโทษ ถ้วยของข้าก็สะอาดแล้วหรือ!!” ขอทานคนนั้นไม่ยอม
ทั้งนางยังด่าลู่มู่เฉินไปคำหนึ่ง หลี่เฟิ่งเซียนไหนเลยจะยอมรับได้
“เจ้าว่าอะไรนะ!!” นางผลักลู่มู่เฉินไว้ด้านหลังของตนอย่างปกป้อง
“ชิ ถ้วยของข้า สะอาดมาสองร้อยปี วันนี้เจ้าเหยียบมันจนเป็นคราบ ต้องชดใช้สองร้อยตำลึงทองถึงจะคุ้ม” ขอทานพูดอย่างกล้าหาญ
“อะไรนะ! วันนี้ถ้าข้าไม่ได้เอาเลือดหัวเจ้าออก อย่ามาเรียกข้าว่าคุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพหลี่!!” หลี่เฟิ่งเซียนจะยอมได้อย่างไร
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน” ลู่มู่เฉินรั้งตัวหลี่เฟิ่งเซียนเอาไว้
“แม่นาง นี่เป็นถุงเงินของข้า มันมีไม่ถึงสองร้อยตำลึงทอง แต่มันยังไม่สกปรก” เขาพูดและโยนถุงเงินลงไปที่ถ้วยแตกๆ ของขอทานคนนั้น ขอทานหลายคนต่างรีบวิ่งกันมารุมแย่ง ลู่มู่เฉินจับมือหลี่เฟิ่งเซียนรีบวิ่งออกจากตรงนั้น!!
“ข้าเป็นผู้ชายเหตุใดจะมองไม่ออกว่าเขาหวั่นไหวกับท่านแทบแย่ แต่พยายามเก็บอาการ ข้าไม่รู้ว่าท่านกับเขาผิดใจอันใดกัน แต่ลองพูดคุยกับเขาตรงๆ เขาย่อมต้องเข้าใจท่านอยู่แล้ว” จ้าวเหลียงให้คำแนะนำหลี่เฟิ่งเซียนหัวใจระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางทำเรื่องเลวร้ายไปมากมายเช่นนั้น ยังจะมีเรื่องเข้าใจผิดอันใดอีก แต่หากเป็นดั่งที่จ้าวเหลียงพูดจริง นางควรทำเช่นไรดี อยากลองพูดคุยจริงจังกับเขาสักครั้ง แต่ก็กลัวว่าหากเขาตอบว่าชื่นชอบหญิงในชุดขาวผู้นั้น นางควรทำอย่างไร แต่หากเขาชอบนางอย่างที่จ้าวเหลียงพูดจริงๆ และนางปล่อยไปเช่นนี้ ดีแล้วแน่หรือ“ข้าต้องไปก่อนนะ” พูดแล้วหลี่เฟิ่งเซียนก็เดินออกจากห้องพักของจ้าวเหลียงทันที อยากรีบไปหาสามีของตัวเองเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่องนางไปรอเขาที่หน้าประตูจวน เพียงไม่นานก็เห็นรถม้ากำลังใกล้เข้ามา นางรอจนกระทั่งรถม้าจอด เขาเปิดประตูออกมา นางคล้ายว่าไม่ได้เห็นเขามาหลายวันมาก คิดถึงเขาจนอยากวิ่งเข้าไปกอด แต่นางไม่กล้าหลี่เฟิ่งเซียนพบว่าเขากำลังมองมาที่นางเช่นกัน คล้ายว่าเขาจะขมวดคิ้วและทำหน้าโกรธ จู่ๆ นางก็กลัวที่จะเข้าไปหาเขา จึงเลือกที่จะหนีออกมาอย่างรวดเร็วลู่มู่เฉินรู้สึกเจ็
หลี่เฟิ่งเซียนเดินออกไปจากห้องนานแล้ว แต่เขายังคงนั่งมองมือซ้ายของเขา เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่วันนั้นตัดสินใจหักมือข้างนั้น คิดอีกที หากเขาไม่ทำเช่นนั้นคงไม่สามารถรอดมามีความสุขเช่นนี้ได้ แต่ความสุขเช่นนี้ดีแน่แล้วหรือ เขาคิดกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้นทั้งคืน บ่าวชายที่มาช่วยเขาเช็ดตัว เขาก็จำหน้าไม่ได้หลังจากเรื่องวันนั้น หลี่เฟิ่งเซียนก็หลบหน้าเขา แต่มีหยวนหยวนส่งน้ำแกงปลาและน้ำแกงไก่มาให้เขาทุกเช้า เขาเองแม้จะเริ่มคิดถึงนางมากแต่ไม่กล้าไปหานางที่ห้อง เพราะความอับอายที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งต้องถูกจู่โจมอย่างสิ้นท่า ไร้การต่อต้านแม้นางจะพูดว่านางเป็นคนผิด แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ หากวันนั้นเขาไม่ยินยอมจริงๆ นางตัวเล็กเพียงนั้นจะถึงขั้นขืนใจเขาได้หรือ เขาประเมินความต้องการของเขาผิดไป ไม่นึกว่าจะต้องการนางมากถึงขั้นขาดสติ ปล่อยให้เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้นต่อมาลู่มู่เฉินยังได้ยินพ่อบ้านพูดว่านายหญิงผู้เฒ่าร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะจู่ๆ หลี่เฟิ่งเซียนก็กลับไปเที่ยวหอเข่อซินอีกแล้ว ท่านพ่อบ้านขอให้เขาช่วยพูดกับคุณหนูใหญ่ว่าไม่ควรไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้นอีกเพราะนางแต่งงานแล้วแต่เมื่อเขาเดินไปถึงหน้า
หลี่เฟิ่งเซียนหันไปมองแท่งหยกที่นางกำไม่มิดนั้น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ตัดสินใจยกก้นขึ้นและจับท่อนหยกร้อนของเขาถูไปมา ยามนี้ผลท้อของนางเต็มไปด้วยน้ำแห่งความสุขแล้ว‘เพียงลูบคลำเจ้านี่ ข้าก็สามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้แล้วหรือ’ นางสงสัย จำได้อาหงบอกว่าเช่นนี้นางจะเจ็บน้อยลงลู่มู่เฉินรู้ทันทีว่านางคิดจะทำอะไร ถึงเขาจะอยากให้นางทำ และต้องการมากเพียงใด แต่มโนสำนึกของเขาและความตั้งใจของเขายังคงทำให้เขามีแรงจะดึงสติกลับมาได้“อย่า อย่าทำเช่นนี้” เขาขอร้องอย่างร้อนรน“เจ้าไม่อยากเสียใจภายหลังหรอกนะ เชื่อข้าเถิด เฟิ่งเอ๋อร์” เขาอ้อนวอนนาง แต่หลี่เฟิ่งเซียนใช้มือข้างหนึ่งยันเขาไว้ บังคับไม่ให้เขาลุกขึ้นหนีไปไหน มืออีกข้างของนางก็จับแท่งหยกร้อนนั่นถูไปมาที่ร่องกลีบดอกไม้ของนาง ก่อนที่นางจะออกแรงดันตัวเองลงไป หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกได้ถึงความดุดันของท่อนหยางร้อนลวกของเขาที่กำลังดุนดันเข้าไปในร่องกลีบดอกท้อ“พอแล้ว ขอร้อง อย่าทำเช่นนี้ อย่า” เสียงต่ำแหบพร่าของเขาขอร้องให้นางหยุด ในขณะที่อีกใจหนึ่งของเขากำลังรอให้นางดันตัวลงมากอดรัดเอ็นอุ่นนั้นไว้ เพียงแค่นางถูไถโลมเล้าเคล้าคลึงไปมา ความนุ่มลื่
เขาพลิกตัวอยากจะกระโดดหนีลงไปด้านล่าง แต่เพียงแค่เขาเอียงตัวนางก็ใช้เท้าเล็กๆของนางเหยียบลงมาที่ไหล่ของเขา ดันให้เขาพลิกตัวประชันหน้ากับนางตรงๆ เขาอยากมีแรงมากกว่านี้เพื่อดันเท้านั้นให้หลุด น่าเสียดายที่วันนี้เขาอ่อนแอมากกว่าทุกที เขายังได้รับบาดเจ็บจากการทดลองยาอยู่ และภาพภรรยาตัวเปลือยเปล่า งดงามจนเขาตกตะลึง ลืมว่าต้องหนีสองมือถูกมัดไว้พ่ายหลัง ยิ่งดันให้ช่วงสะโพกแอ่นขึ้น ท่อนหยกร้อนของเขาชูชันแสดงตัวอย่างกับต้องการบอกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันชูชันสูงใหญ่ดั่งเสาค้ำสวรรค์ก็ไม่ปาน หลี่เฟิ่งเซียนตาโต จ้องมองหัวใจสั่นไหว ลู่มู่เฉินงอขาและพยายามหนีบเจ้านั่นเอาไว้ แต่ยามนี้มันขยายใหญ่จนปิดไม่มิด ภาพที่นางอ้าขาเหยียบไหล่เขาเอาไว้ แม้งดงามจนเขาถอนสายตาไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง อย่างไรเขาก็ไม่อาจรับตัวเองได้ เขาอ้าปากเพื่อหายใจ หลับตาแน่นเพื่อลดทอนความอับอายในใจหลี่เฟิ่งเซียนมองดูเจ้าสิ่งนั้นแล้วตกใจไม่น้อย ในใจนางนึกถึงตอนเขาป่วยและนางเช็ดตัวให้เขา มันยังเล็กมากเท่านิ้วเท้าหัวแม่โป้ง แต่ยามนี้มันชูชันจนแทบจะใหญ่เท่าข้อมือของนาง! หลี่เฟิ่งเซียนเริ่มหายใจไม
แต่ครั้งเข้าไปในห้องของตัวเองและเห็นพวกรูปต่างๆ ที่อาหงวาดขึ้นเพื่อการเรียนรู้เหล่านั้น ในใจนางเกิดความรู้สึกหึงหวงอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเข้าหอกับนาง เพราะหญิงแพศยานั่น!!...พวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว!! มิน่าเขาถึงได้เชี่ยวชาญมาก เพียงจูบก็ทำให้นางสามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้ เขาอาจจะเคยทำกับผู้อื่นมาก่อน เขาถึงทำเช่นนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ นางยอมไม่ได้ นางต้องรีบรวบหัวรวบหางเขา!! ทนรอให้เขายินยอมด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว!!หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปถึงหน้าห้องของเขา เห็นว่าด้านในยังมีแสงไฟอยู่ นางผลักประตูเข้าไปไม่บอกกล่าวไม่เคาะประตู“เจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” ลู่มู่เฉินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขากำลังใส่เสื้อผ้า นางก็ผลีผลามเข้ามา เขาตกใจ รีบร้อนใส่เสื้อให้เรียบร้อย แต่เชือกผูกเอวอยู่บนโต๊ะ เขายืนอยู่ใกล้เตียงนอน จึงทำได้เพียงใช้มือจับสาบเสื้อคลุมตัวยาวเอาไว้หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าเขายังแต่งตัวไม่เรียบร้อย แผนในใจของนางผุดขึ้นมาเป็นร้อยแผน คำพูดของอาหงดังก้องอยู่ในหู‘หากเจ้าทำให้เขาภูมิใจมากพอ เขาจะเอ็นดูเจ้ามากขึ้น’นางหันไปปิดประตูลงกลอน ยังเดินไปปิดหน้าต่างที่เขาแง้มเอาไว้รับลมด้วย“เจ้า เจ้า
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ