LOGINเมื่อหลานเยว่ได้รับรู้ว่า มีผู้คิดเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของบุตรชายตนเอง นางมีเพียงแววตานิ่งลึก ลึกจนไม่อาจคาดเดาว่าภายในใจของนางนั้น… กำลังโหมไฟหรือแช่แข็งทุกสิ่งนางเงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษตรงหน้า ชายผู้ก้าวออกมาปกป้องเด็กน้อยในเวลาที่ผู้เป็นมารดาไม่อาจอยู่เคียงข้างได้ทัน
“ขอบคุณท่าน… ที่ปกป้องลูกของข้า”
ถ้อยคำสั้น ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความจริงจังไม่แพ้คำสัตย์ใด ๆ น้ำเสียงของนางเยือกเย็น แต่มีแรงกดดันที่ทำให้แม้แต่คนในโลกมืดยังต้องหยุดฟังบุรุษตรงหน้าคือนักค้าแห่งเงามืด ซูจิ่งหลงผู้มีฉายาว่า พ่อค้าแห่งความตาย ชายผู้ไม่เคยลังเลแม้แต่วินาทีเดียวในการตัดสินชีวิตใครในสนามประมูล
แต่ในยามนี้… เขากลับหลบตาไปครู่หนึ่ง ก่อนยกยิ้มบางสีหน้านั้นอ่อนลงเล็กน้อย ราวกับเขาไม่ใช่คนที่เพิ่งตบหญิงงามจนฟันร่วงในตลาดค้าทาสเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน
“ไม่เป็นไร… เรื่องแค่นี้ ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ท้ายที่สุด พวกเราก็คือพันธมิตรการค้าที่สำคัญ… ใช่หรือไม่?”
คำพูดดูธรรมดา แต่สายตาของเขาที่มองนางกลับไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อยดวงตาคู่นั้น… เต็มไปด้วยบางสิ่งที่ซ่อนไว้มานานเขาพยายามอดกลั้น แต่ก็ไม่อาจทานแรงของหัวใจได้อีกต่อไปเสียงของเขาต่ำลง ราวกับเป็นคำสารภาพ
“ข้า… ไม่อยากเป็นเพียง ท่านลุงแล้ว…ข้าอยากเป็น… ท่านพ่อของบุตรชายเจ้า”
นั่นไม่ใช่การหยอกล้อ ไม่ใช่คำเกี้ยวแบบฉาบฉวยแต่มันคือถ้อยคำจากใจจริงของชายผู้ไม่เคยคุกเขาต่อผู้ใดในชีวิต
หลานเยว่มองเขานิ่ง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ
“เจ้าฝันไปแล้ว ซูจิ่งหลง ข้าไม่มีวันยอมเป็นสตรีของเจ้าและหากเจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลอีก…ข้าจะยุติความสัมพันธ์ทางการค้าทั้งหมดโดยไม่ลังเล”
ไม่มีการดุดัน มีเพียงดาบแห่งเหตุผลที่ฟันเฉือนทุกความรู้สึกโดยไม่ต้องเปลืองแรงซูจิ่งหลงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะกลบเกลื่อนเขาเสหลบตาแล้วรีบกล่าว
“ข้า… ข้าเพียงหยอกล้อเจ้าเล่นเท่านั้น… อย่าได้ถือสาข้าเลย”
นางยังคงเงียบทว่าดวงตาเยือกเย็นนั้นเริ่มอ่อนแสงลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเบา ๆ
“หากจะนับเจ้าเป็นพี่น้อง… ก็คงพอรับได้อยู่”
เพียงเท่านั้น ใบหน้าของพ่อค้าแห่งความตายที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ใดกลับยิ้มออกมาอย่างจริงใจ
“ได้… ได้เลย ต่อไปนี้ เจ้าคือน้องสาวของข้า!” แม้ในใจลึก ๆ จะเจ็บแปลบแต่หากการอยู่ข้างเธอในฐานะพี่ชาย… คือหนทางเดียวที่เขาจะไม่ถูกผลักออกจากชีวิตนางซูจิ่งหลงก็ยินดีจะยืนตรงนั้นเพียงเพื่อได้เห็นเงาของนาง… แม้จากที่ไกล
ซูจิ่งหลงยืนเงียบอยู่พักหนึ่งในดวงตาของเขา แม้จะแฝงด้วยรอยยิ้มบาง แต่ความสั่นไหวภายในใจกลับชัดเจนจนยากจะปิดบังเขาฝืนระงับถ้อยคำมากมายที่จุกอยู่ในลำคอ ก่อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“หลานเยว่… วันนี้เจ้าคงเหนื่อยล้ามามากแล้ว”“พี่ชายผู้นี้… ขอตัวกลับก่อน ไว้วันว่าง ข้าจะมาเยี่ยมเยือนเจ้าอีก”
น้ำเสียงนั้นสั่นเครือเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความเหนื่อยล้า หากแต่เป็นเพราะแรงกดทับของความรู้สึกที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเขารู้ดีหากยังอยู่ต่ออีกครู่เดียวเขาคงเผยด้านที่ตัวเองไม่เคยเปิดเผยต่อผู้ใด… ความอ่อนแอที่เขาเกลียดที่สุดในตัวเอง
ซูจิ่งหลงหันหลังกลับฝีเท้าของเขาหนักแน่นแต่ไม่รีบร้อน ราวกับอยากฝังภาพของนางไว้ในหัวใจให้นานที่สุดและในวินาทีนั้นหลานเยว่ก็มองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างเงียบงันสายตาของนางยังคงสงบเยือกเย็นแต่ในแววตานั้น… กลับอ่อนโยนขึ้นจนยากจะสังเกตคล้ายมีบางสิ่งสะกิดใจ… แม้จะยังไม่ยอมรับ
รถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ผ่านถนนสายหลักของเมืองหลวง ท่ามกลางแสงโคมประปรายที่ทอดเงาลงบนผืนหิน ถนนเงียบราวกับรับรู้ว่า ชายผู้หนึ่งภายในรถม้า… กำลังพ่ายแพ้ ภายในนั้น ซูจิ่งหลง นั่งพิงเบาะไม้หุ้มหนัง ร่างกายเอนเล็กน้อยราวกับรับน้ำหนักของความเหนื่อยล้าไม่ไหวมือหนึ่งยกสุราขึ้นแนบริมฝีปาก ก่อนจะกรอกลงคอรวดเดียวจนหมดแววตาของเขาหม่นมัว ขอบตาแดงคลออย่างเงียบงัน
“เจ้ารู้ไหม…”“ข้าต้องใช้ความกล้ามากเพียงใด… เพื่อจะพูดสิ่งนั้นกับนาง…”
น้ำเสียงของเขาแผ่วพร่า จับปลายเสียงไว้ไม่มั่นถ้อยคำเหล่านั้นหลุดออกมาจากผู้ที่เคยฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา แต่กลับสั่นเครือเมื่อเอ่ยถึงชื่อของสตรีเพียงนางเดียว เขาไม่ได้พูดกับใครเป็นพิเศษ เพียงแค่ระบายกับสหายเงียบ ๆ ที่นั่งหน้ารถม้าควบบังเหียนชายคนนั้นเพียงก้มหน้า
ซูจิ่งหลงหลับตาแน่น ภาพหนึ่งในห้วงความทรงจำฉายขึ้นชัดเจนยิ่งกว่าสุราวันแรกที่เขาได้พบ หลานเยว่ หญิงสาวผู้เย็นชาราวหิมะโปรย สายตานิ่งเฉียบและวันแรกที่ได้เจอนางคือนาทีเดียวกันที่นางจ้องจะฆ่าเขา หากการเจรจาผิดพลาดแม้แต่นิด...เขาคงไม่มีโอกาสมานั่งเงียบ ๆ อยู่ในยามนี้
“ข้าพูดว่า… เราเป็นพันธมิตรทางการค้า…”“แต่ในใจลึก ๆ ข้าแค่อยากอยู่ใกล้นาง…”
เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากเขาขมขื่น ยอมรับเพราะถึงแม้จะอันตรายและเยือกเย็นเพียงใดหัวใจของเขากลับมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียวคนขับรถม้าเพียงจับสายบังเหียนให้มั่นเพราะเขารู้ดีว่า ชายผู้โหดเหี้ยมที่สุดในใต้หล้า… กำลังเจ็บปวดที่สุดในเวลานี้
ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้โรงประมูล ซูจิ่งหลง ยังคงจมอยู่ในห้วงคิด อารมณ์ของผู้พ่ายแพ้ในสนามใจยังเผาไหม้อยู่ในอก ทว่า...เสียงหนึ่งก็ดังฝ่าอากาศยามค่ำขึ้นมา ราวกับคมเข็มแทงทะลุม่านความเงียบ
“ซูจิ่งหลง! ไอ้คนไร้ยางอาย ออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
เสียงนั้นทั้งหยาบคายและเย้ยหยัน แสบแก้วหูเสียจนบ่าวประจำโรงประมูลที่ได้ยินถึงกับหน้าซีดมีไม่บ่อยนักที่จะมีใครกล้าแหกปากท้าทายเช่นนี้... และไม่ใช่ที่ไหน แต่เป็นสถานที่ของเขาเองสุราที่เพิ่งจิบเข้าไปชะงักค้างกลางลำคอปลายนิ้วของซูจิ่งหลงที่กำจอกแน่น ค่อย ๆ กดลงราวกับจะบดแตกในมือ ใบหน้าของเขายังเรียบสนิทแต่แววตากลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาเฉียบคม ราวกับสายลมจากยอดเขา
“หึ... ใครมันกล้าแหกปากหน้าโรงประมูลของข้า... ทั้งที่ข้ายังไม่หายอารมณ์เสีย?” เขาลุกจากที่นั่ง พลางปล่อยจอกสุราให้หล่นกระทบพื้นรถม้าดังแกร่งเสียงนั้นราวเป็นสัญญาณเปิดม่านโศกนาฏกรรมของผู้ที่บังอาจละเมิดเส้นแบ่งระหว่างชีวิตกับความตาย
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







