ณ คฤหาสน์ตระกูลซูอันโอ่อ่า บรรยากาศกลับอบอวลไปด้วยความเย็นชาและตึงเครียดราวกับฤดูเหมันต์มาเยือนก่อนกาล นับตั้งแต่วันที่ถูกหลินเยว่ซินหักหน้ากลับมา ซูเจิ้งกั๋วก็เอาแต่เก็บตัวเงียบด้วยโทสะที่ยังคุกรุ่น ส่วนเผยฮุ่ยหลันก็จมอยู่กับความเศร้าสร้อยและความรู้สึกผิดหวังที่ถูกลูกในไส้ปฏิเสธ
มีเพียงซูเหม่ยลี่เท่านั้นที่ดูเหมือนจะมีความสุขอยู่ลึก ๆ การจากไปของเยว่ซินทำให้เธอกลับมาเป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของบ้านได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง แต่ความสุขนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน...
ข่าวความสำเร็จของหลินเยว่ซินเปรียบเสมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจของเธออยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องผลสอบ การที่เด็กบ้านนอกคนนั้นกลายเป็นอัจฉริยะของอำเภอในชั่วข้ามคืน ทำให้ซูเหม่ยลี่รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง แต่ก็ยังพอปลอบใจตัวเองได้ว่าคงเป็นเรื่องฟลุกเท่านั้น แต่ข่าวล่าสุดที่เพิ่งได้ยินมาจากกลุ่มเพื่อนคุณหนูด้วยกันนั้น เรื่องกิจการเสื้อผ้าที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญกันทั้งตลาดนั้น ประหนึ่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้ความอดทนของเธอขาดสะบั้น
เด็กนั่น... นังเด็กสกปรกคนนั้นน่ะหรือจะมีความคิดสร้างสรรค์พอที่จะออกแบบเสื้อผ้าเองได้ เป็นไปไม่ได้! ในสายตาของซูเหม่ยลี่ หลินเยว่ซินควรจะเป็นเพียงชาวนาโง่ ๆ ที่ต้องก้มหน้าก้มตาอยู่ในไร่ไปจนตาย การที่เยว่ซินไม่เพียงแต่ไม่ล่มจม แต่ยังกำลังจะผงาดขึ้นมาได้ด้วยตัวเองนั้น คือสิ่งที่เธอทนดูไม่ได้เด็ดขาด
ความรู้สึกริษยาตาร้อนลุกโชนขึ้นในใจของเธอราวกับเปลวไฟสีเขียวที่ลุกท่วมใจ เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอคงจะไม่ยอมลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องน่าอับอายเช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สองเป้าหมายที่ง่ายที่สุดของเธอจึงหนีไม่พ้นมารดาผู้ซึ่งอ่อนไหวและควบคุมได้ง่ายที่สุด
เย็นวันนั้น ซูเหม่ยลี่ปรี่เข้าไปหาเผยฮุ่ยหลันที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“แม่คะ! แย่แล้วค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“มีอะไรเหรอเหม่ยลี่?” เผยฮุ่ยหลันถามอย่างอ่อนแรง
“ก็เรื่องของ เอ่อ... พี่เยว่ซินน่ะสิคะ!” ซูเหม่ยลี่แสร้งทำเป็นลำบากใจที่จะเอ่ยชื่อ “วันนี้เพื่อนของฉันเพิ่งกลับมาจากตลาด พวกเธอเล่าให้ฉันฟังว่าพี่เยว่ซินกำลังขายเสื้อผ้า ทั้งยังขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยค่ะ แต่... แต่ว่าแบบเสื้อผ้าที่เธอเอามาขาย เพื่อนฉันบอกว่ามันดูคุ้น ๆ เหมือนแบบเสื้อในนิตยสารแฟชั่นจากเซี่ยงไฮ้ที่แม่เพิ่งซื้อมาเมื่อเดือนก่อนไม่มีผิด!”
เผยฮุ่ยหลันเบิกตากว้าง “แกว่าอะไรนะ!?”
“ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันค่ะแม่” ซูเหม่ยลี่บีบน้ำตา “เด็กบ้านนอกอย่างเธอจะไปมีความคิดออกแบบเสื้อผ้าพวกนั้นได้ยังไงกันคะ? เธอต้องขโมยความคิดของคนอื่นมาแน่ ๆ เลย นี่มันน่าอับอายขายหน้าสิ้นดี ไม่เพียงแต่เนรคุณ แต่ยังเป็นขโมยอีก! ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอเคยเกี่ยวข้องกับตระกูลซูของเรา ชื่อเสียงของพวกเราต้องป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแน่ ๆ เลยค่ะ!”
ทุกถ้อยคำของซูเหม่ยลี่เป็นดั่งการยุยงส่งเสริมที่ได้ผลชะงัด มันจี้เข้าไปในใจของเผยฮุ่ยหลันที่กำลังรู้สึกโกรธและผิดหวังในตัวหลินเยว่ซินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่หลินเยว่ซินเป็นขโมยยิ่งช่วยตอกย้ำว่าความคิดของเธอนั้นถูกต้อง เด็กคนนั้นมันเลวโดยสันดานจริง ๆ
“ไม่ได้การ!” เผยฮุ่ยหลันลุกพรวดขึ้นด้วยโทสะ “ฉันจะต้องไปสั่งสอนให้หล่อนรู้สำนึก! ไปเปิดโปงธาตุแท้ของหล่อนให้คนทั้งตลาดได้เห็น!”
เมื่อแผนการของซูเหม่ยลี่สำเร็จผล เธอก็แอบยกยิ้มอย่างร้ายกาจขณะเดินตามผู้เป็นมารดาออกไป
***
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ณ ตลาดนัดอำเภอ
แผงขายเสื้อผ้าใบไหวดีไซน์ของครอบครัวหลินได้กลายเป็นดาวเด่นประจำตลาดไปเสียแล้ว เสื้อผ้าล็อตแรกขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียงสามวัน และล็อตที่สองก็กำลังจะหมดลงอีกเช่นกัน ตอนนี้พวกเขามีกลุ่มลูกค้าประจำกลุ่มเล็ก ๆ ที่จะคอยแวะเวียนมาถามหาแบบใหม่อยู่เสมอ บรรยากาศการค้าขายเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความหวัง
ในวันนั้นเอง ขณะที่เยว่ซินและครอบครัวกำลังง่วนอยู่กับการขายของ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดลำลองก็ก้าวเข้ามาในตลาดอย่างเงียบ ๆ หากแต่ไม่ใช่ใคร แต่คือลู่เฟิงนั่นเอง
เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่โดยเฉพาะ แต่เพราะต้องมาซื้อยาให้ปู่ที่ร้านยาแผนโบราณซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่แล้วสายตาของเขาก็ถูกดึงดูดโดยกลุ่มคนที่มุงดูอยู่ที่แผงลอยแผงหนึ่งอย่างเนืองแน่น และเมื่อมองเข้าไป เขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของเด็กสาวผู้มีดวงตาแกร่งกร้าวคนนั้น
ลู่เฟิงตัดสินใจแวะที่ร้านน้ำชาฝั่งตรงข้าม สั่งชามาหนึ่งกา แล้วนั่งมองดูการกระทำของเธออยู่ห่าง ๆ เขารู้สึกทึ่งในความสามารถของเธอ เธอต้อนรับลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว แนะนำสินค้าได้อย่างน่าฟัง และต่อรองราคาได้อย่างชาญฉลาด รอยยิ้มที่เป็นมิตรบนใบหน้าของเธอนั้นช่างแตกต่างจากแววตาเย็นชาในวันที่พวกเขาพบกันโดยสิ้นเชิง ผู้หญิงคนนี้มีหลายแง่มุมที่น่าค้นหาจริง ๆ
ทว่า
เผยฮุ่ยหลันในชุดผ้าไหมราคาแพงเดินตรงดิ่งเข้ามาที่แผงลอยของตระกูลหลินด้วยท่าทีเอาเรื่อง โดยมีซูเหม่ยลี่เดินตามมาข้าง ๆ พร้อมกับทำสีหน้าเศร้าสร้อยราวกับเธอเอกในละคร
“หลินเยว่ซิน!” เผยฮุ่ยหลันตวาดลั่นจนทุกคนในบริเวณนั้นหันมามองเป็นตาเดียว “แกนี่มันหน้าหนาเสียจริง! ตอนแรกก็เนรคุณครอบครัว ตอนนี้ยังจะผันตัวมาเป็นขโมยอีกเหรอ?!”
ฝูงชนเริ่มเข้ามามุงดูด้วยความสนใจในเรื่องอื้อฉาวระลอกใหม่
เยว่ซินที่กำลังทอนเงินให้ลูกค้าชะงักไปเล็กน้อย เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับเผยฮุ่ยหลันด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งจนน่าประหลาดใจ
“คุณนายซู ฉันไม่เข้าใจว่าคุณนายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
“ยังจะมาทำไขสืออีก!” เผยฮุ่ยหลันหยิบเสื้อตัวหนึ่งที่แขวนอยู่ขึ้นมาโบกไปมา “เสื้อผ้าพวกนี้! แกไปลอกแบบของคนอื่นเขามาใช่ไหม! เด็กชาวนาอย่างแกจะไปมีความคิดสร้างสรรค์อะไรแบบนี้ได้ยังไง!”
ลู่เฟิงที่นั่งมองอยู่ถึงกับขมวดคิ้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน? เขามองลึกเข้าไปในเหตุการณ์ เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของครอบครัวหลิน เห็นแววตาที่ซ่อนไว้ไม่อยู่ของซูเหม่ยลี่ และที่สำคัญที่สุด เขาเห็นความสงบนิ่งที่ไม่สั่นคลอนของหลินเยว่ซิน
“คุณนายซู” เยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงราบเรียบ “การกล่าวหาว่าคนอื่นเป็นขโมย ถือเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมากนะคะ ไม่ทราบว่าคุณนายมีหลักฐานอะไรมายืนยันคำพูดของท่านหรือคะ?”
“หลักฐานเหรอ?” เผยฮุ่ยหลันแค่นเสียง “ลูกสาวของฉันเห็น! เธอบอกว่าแบบเสื้อพวกนี้เหมือนกับในนิตยสารแฟชั่นจากเซี่ยงไฮ้ไม่มีผิด!”
เยว่ซินหันไปมองซูเหม่ยลี่ที่ยืนหลบอยู่หลังแม่ของเธอ แล้วรอยยิ้มบาง ๆ ที่ดูเหมือนจะเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ
เธอก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วกล่าวกับฝูงชนที่มุงดูอยู่ด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด “ทุกท่านก็ได้ยินแล้วใช่ไหมคะ? คุณนายซูท่านนี้กล่าวหาว่าเสื้อผ้าที่ฉันออกแบบและตัดเย็บขึ้นมากับมือ เป็นของที่ขโมยความคิดมาจากนิตยสาร”
จากนั้นเธอก็หันกลับไปหาเผยฮุ่ยหลัน “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ง่ายเลยค่ะ เชิญคุณนายนำนิตยสารเล่มที่ว่านั่นออกมาให้ทุกคนได้ดูเป็นขวัญตาหน่อยสิคะ เปิดหน้าที่ว่านั่นให้ทุกคนได้เห็นเลยว่าแบบเสื้อของฉันมันเหมือนกับในนั้นจริง ๆ”
เยว่ซินหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวประโยคตัดสินชะตากรรม
“ถ้าหากคุณนายสามารถนำหลักฐานมายืนยันได้จริง ฉันไม่เพียงแต่จะปิดร้านนี้ทันที แต่ฉันจะคุกเข่าโขกศีรษะขอขมาคุณนายตรงนี้กลางตลาดเลยค่ะ!”
คำท้าทายที่เด็ดเดี่ยวและแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจอย่างถึงที่สุดนี้ทำให้ฝูงชนเริ่มส่งเสียงฮือฮา
“ใช่ ๆ เอาหลักฐานมาดูสิ!”
“ถ้ามีจริงก็เอาออกมาเลย!”
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เผยฮุ่ยหลันราวกับจะกดดัน เธอหน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ออก แน่นอนว่าเธอไม่มีนิตยสารอะไรทั้งนั้น เธอหันไปมองซูเหม่ยลี่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ลูกสาวตัวดีกลับเอาแต่ก้มหน้างุดแสร้งทำเป็นน่าสงสาร
เธอถูกหลอกใช้ และบัดนี้ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อหน้าธารกำนัล!
เยว่ซินมองภาพนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนจะกล่าวปิดฉากเบา ๆ แต่เจ็บแสบไปถึงกระดองใจ “ดูเหมือนว่าคุณนายจะไม่มีหลักฐานมายืนยันสินะคะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็กรุณาอย่ามารบกวนการทำมาหากินของคนอื่นด้วยคำกล่าวหาที่เลื่อนลอยแบบนี้อีกเลยค่ะ การกระทำแบบนี้ไม่ใช่วิสัยของสุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์เขาทำกันหรอกนะคะ”
คำพูดสุดท้ายนั้นเป็นดั่งการตบหน้าฉาดใหญ่ เผยฮุ่ยหลันอับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เธอไม่สามารถทนยืนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป จึงได้แต่จ้ำอ้าวลากแขนซูเหม่ยลี่ฝ่าฝูงชนออกไปอย่างทุลักทุเล ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะเยาะและคำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านไว้เบื้องหลัง
ลู่เฟิงยกถ้วยชาขึ้นจิบช้า ๆ มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้...
เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ เธอไม่เพียงแต่ปกป้องธุรกิจของตัวเองได้ แต่ยังสามารถพลิกสถานการณ์กลับไปทำให้ศัตรูต้องอับอายขายหน้าได้โดยไม่ต้องใช้คำหยาบคายหรือกำลังเลยแม้แต่น้อย... ช่างเป็นคนที่น่าสนใจเสียนี่กระไร
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ