ข้าหยางเฟิ่งเซียนยึดถืออุมการณ์ ดีมาดีกลับ ร้ายมาต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ รวมถึงบุรุษของข้าผู้นี้ผู้ใดกล้ารังแก ข้าจะช่วยเขาแก้แค้นอย่างสาสม “ฮูหยินรองผู้ชั่วช้าสมควรได้รับโทษ!”
view moreตั้งเริ่มก่อตั้งตระกูลจินและทำการค้าเกี่ยวกับผ้าไหม จนกระทั่งได้รับตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่ง ที่ได้รับการไว้วางพระราชหฤทัยจากฮ่องเต้ ในด้านการส่งผ้าไหมลวดลายต่าง ๆ ให้กับกองภูษา เพื่อใช้ในการตัดเย็บเป็นชุดฉลองพระองค์ นับแต่นั้นก็ไม่มีตระกูลใดสามารถโค่นล้มตระกูลจินได้
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบุตรสาวตระกูลจินทั้งสองคน ได้เกี่ยวดองกับตระกูลขุนนางใหญ่อย่างตระกูลหยาง ที่มีแม่สามีเป็นถึงองค์หญิงใหญ่แล้ว ตระกูลฟงก็มิได้น้อยหน้าเพราะเป็นตระกูลแม่ทัพของแคว้นเป่ยชาง บุตรชายบุตรสาวล้วนมีความสามารถไม่เป็นรองผู้ใด
ภายหลังลูกสะใภ้ของสองตระกูลให้กำเนิดทายาท ซึ่งเป็นบุตรฝาแฝดยิ่งสร้างความอิจฉาต่อผู้คนอีกเท่าตัว เนื่องจากฝาแฝดจากตระกูลหยางเป็นแฝดหงส์มังกร จึงเป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้และรัชทายาท ยิ่งไปกว่านั้นฝาแฝดจากจวนแม่ทัพฟง ก็ได้รับพระเมตตาจากอานิสงส์ของฝาแฝดที่เป็นญาติผู้น้องไปด้วย
นอกจากนี้ฝาแฝดทั้งสี่ยังเป็นพระสหาย ที่องค์ชายเจิ้งหลงโอรสในพระชายาเอกของรัชทายาท แต่กลับเป็นศัตรูคู่กัดกับองค์ชายเฉิงหานและองค์หญิงเจิ้นอี้ ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งทั้งหมดเติบโต
เมื่อทั้งหมดอายุได้สิบหนาวนั้น เกิดเหตุการณ์ปะทะคารมที่ถือว่ารุนแรง เกินกว่าจะเป็นเรื่องล้อเล่นทั่วไป เนื่องจากองค์ชายเฉิงหานกับองค์หญิงเจิ้นอี้ มักจะเป็นฝ่ายหาเรื่องฝาแฝดสี่น้องเสมอ
“นี่ พวกเจ้าสองพี่น้องไม่รู้จักเข็ดหลาบหรืออย่างไร จะอิจฉาริษยาข้ากับพี่ชายไปถึงเมื่อใดกัน” หยางเฟิ่งเซียนที่ยืนประจันหน้าเอ่ยด้วยความระอาใจ
“หึ หยางเฟิ่งเซียนเจ้ากล้าพูดจาไม่มีมารยาทกับข้า ที่เป็นถึงองค์ชายของเชื้อพระวงศ์เชียวรึ”
“ทำไมน้องสาวของข้าจะพูดเช่นนี้ไม่ได้ ในเมื่อเป็นรับสั่งจากเสด็จปู่ที่ประทานอนุญาต ว่าข้ากับน้องสาวไม่จำเป็นต้องใช้คำชาศัพท์กับพวกเจ้า หรือแม้แต่องค์ชายองค์หญิงที่เป็นพระนัดดาเช่นพวกเจ้าสองคน”
ฟงเสวี่ยหลินย่อมปกป้องเข้าข้างญาติผู้น้องของตนเช่นกัน “ที่ญาติผู้น้องของกระหม่อมกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว หากองค์ชายเฉิงหานกับองค์หญิงเจิ้นอี้ไม่พอใจ ก็เชิญไปทูลฟ้องฮ่องเต้เอาเองเถิด แล้วมาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะถูกลงโทษพ่ะย่ะค่ะ”
“กรี๊ดด! พวกเจ้าบังอาจเกินไปแล้ว วันนี้ข้าจะให้คนสั่งสอนพวกเจ้าให้เข็ด” องค์หญิงเจิ้นอี้ไม่เคยแก้ไขนิสัยตนเอง เพราะมารดาที่เป็นอนุชายาไม่เคยสั่งสอนในทางที่ดี
แต่การทะเลาะวิวาทในครั้งนี้นั้น กลับมีท่านอ๋องสี่อย่างเป่ยชางเว่ยเฉวียน ทรงได้ยินคำพูดทุกคำอย่างชัดเจน และท่านอ๋องสี่ก็ทรงชื่นชมฝาแฝดผู้เป็นหลาน และฝาแฝดจากจวนตระกูลฟงอีกพระองค์
“หยุด! เกิดอันใดขึ้นระหว่างพวกเจ้า เหตุใดถึงได้ใช้วาจาโอหังคิดจะสั่งลงโทษผู้ใดตามใจชอบเช่นนี้”
เด็กทั้งเจ็ดคนเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่เข้ามาในศาลา ก็โน้มตัวทำความเคารพตามลำดับอาวุโสทันที
“ถวายบังคมเสด็จอาพ่ะย่ะค่ะ /เพคะ”
“ถวายบังคมท่านอ๋องสี่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม บอกกับเปิ่นหวางมาสิว่าครั้งนี้ทะเลาะกันเรื่องอันใดอีก ถึงได้ส่งเสียงดังถึงขั้นจะสั่งให้มีการลงโทษตามอำเภอใจ”
องค์ชายเฉิงหานชิงตอบก่อนผู้ใด “ทูลเสด็จอาเจ้าฝาแฝดสองคนนี้ ใช้วาจาไม่ให้ความเคารพกับหลาน ทั้งยังแอบอ้างรับสั่งของเสด็จปู่ หลานแค่จะสั่งสอนพวกมันให้หลาบจำพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลวไหล! เจ้าก็โตแล้วนะเฉิงหาน เปิ่นหวางไม่เชื่อว่าพระดำรัสของเสด็จปู่เจ้า ที่มีให้กับพี่น้องตระกูลหยางเจ้าจะไม่รับรู้ ทั้ง ๆ ที่ผู้คนทั่ววังหลวงหรือแม้แต่นอกวัง ยังรู้ว่าสองคนนี้มีสิทธิ์เทียบเท่าเชื้อพระวงศ์
แต่เจ้ากับน้องสาวยังบังอาจไม่เชื่อฟัง กล้าหาเรื่องพวกเขาอยู่ร่ำไป เหตุใดไม่ยอมรับความจริงเสียบ้าง ว่าพวกเจ้าความสามารถไม่อาจเทียบพวกเขาได้ และควรปรับปรุงแก้ไขที่ตนเองมิใช่กล่าวโทษผู้อื่นเช่นนี้”
องค์ชายเจิ้งหลงไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต จึงขอให้ท่านอ๋องสี่อย่าโกรธเคืองการกระทำของพี่น้องต่างมารดา “เสด็จอาอย่าได้ทรงกริ้วกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เลย ถึงเฉิงหานกับเจิ้นอี้จะสั่งนางกำนัลหรือขันทีให้ลงมือ พวกเขาย่อมไม่กล้าทำตามอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ
พวกหลานเองก็มิได้ถือโทษอันใด ที่ทั้งสองคนมักจะแสดงท่าทีเช่นนี้อยู่แล้ว จึงเป็นการโต้เถียงด้วยคำพูดตามประสาเท่านั้น เสด็จอาอย่าทรงเป็นกังวลให้ไม่สบายพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องสี่ถึงกับถอนพระทัยหนัก ๆ กับสิ่งที่พระนัดดาทั้งสองได้กระทำ ไม่ว่าการทะเลาะจะเกิดขึ้นสักกี่ครั้งก็ไม่เคยหลาบจำ
“เฮ้อ ยังคงเป็นเจิ้งหลงสินะ ที่เข้าใจสถานการณ์และไม่เก็บมาใส่ใจ เอาล่ะนี่ก็ถึงเวลาที่ทั้งสี่คนต้องกลับจวนแล้ว ป่านนี้รถม้าคงมารออยู่ที่หน้าประตูวังหลวงอยู่นาน พวกเจ้ารีบไปเถิดเรื่องวันนี้ก็ให้แล้วกันไป”
“ขอบพระทัยเสด็จอาหลานทูลลาพ่ะย่ะค่ะ /เพคะ”
“กระหม่อมสองคนทูลลาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฟิ่งเซียนเดินออกไปด้วยท่าทางสง่างาม ส่วนพี่ชายทั้งสามก็มีท่าทางองอาจสมเป็นชายชาตรี แต่หยางเฟิ่งเซียนกลับหันมามองคู่อริอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ทั้งสองอีกครั้ง ซึ่งไม่ลืมกล่าวคำทิ้งท้ายโดยไม่มีเสียงอีกว่า ‘พวกเจ้าโดนทำโทษแน่’
เพราะท่านอ๋องสี่ยืนหันหลังให้กับพี่น้องฝาแฝด จึงไม่เห็นการกระทำนั้นของหยางเฟิ่งเซียน เมื่อสองพี่น้องคิดจะฟ้องสิ่งที่นางทำ ก็พบกับสายตาดุ ๆ และมีคำสั่งให้กลับตำหนักไปเสีย แต่ในที่นี้ยังมีอีกคนที่เห็นคำล้อเลียนของญาติผู้น้อง ก็คือองค์ชายเจิ้งหลงที่เชื่อว่าคำพูดของหยางเฟิ่งเซียนย่อมเป็นจริงแน่นอน
และแล้วคำพูดของหยางเฟิ่งเซียนก็เป็นจริง เมื่อเรื่องดังกล่าวไปถึงพระกรรณของรัชทายาท รวมถึงฮ่องเต้ที่มีรับสั่งให้รัชทายาทจัดการเรื่องโอรสและธิดาของตน
มิใช่เพียงองค์ชายเฉิงหานกับองค์หญิงเจิ้นอี้เท่านั้นที่ถูกเรียกพบ แต่ยังมีมารดาของทั้งสองคนหนึ่งมีตำแหน่งพระชายารอง อีกคนก็เป็นอนุชายาจากตระกูลขุนนาง ซึ่งเคยคิดว่าเป็นสตรีที่เข้าใจง่าย แต่ยามนี้องค์รัชทายาทกำลังทรงคิดทบทวนอย่างหนัก
“พวกเจ้าคงรู้ตัวแล้วกระมัง ว่าข้าเรียกมาพบด้วยเรื่องอันใด ต้องให้พูดย้ำให้ฟังอีกครั้งหรือไม่”
พระชายารองเยียนแสร้งทำไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น จึงถามกลับองค์รัชทายาทอย่างมีจริตมารยา “หม่อมฉันกับน้องหญิงหลีไม่ทราบจริง ๆ เพคะ ไท่จื่อมีเรื่องอันใดอยากให้หม่อมฉันสองคนช่วยหรือไม่เพคะ”
“นั่นสิเพคะไท่จื่อ หม่อมฉันกับพระชายารองไปเข้าเฝ้าไทเฮา ไม่ทราบว่าที่นี่เกิดเรื่องร้ายแรงอันใดเช่นนั้นหรือเพคะ” อนุชายาหลีมักจะลื่นไหลตามพระชายารองยามที่ต้องเอาตัวรอด
แต่คนที่เป็นถึงองค์รัชทายาทจะไม่รู้เท่าทันได้อย่างไร ในเมื่อที่ผ่านมาไม่เคยไว้วางใจสตรีจากสองตระกูลเลยสักนิด “หึ ต่อหน้าข้าพวกเจ้าสองคนยังใจกล้าเสแสร้งอีกหรือ มารยาร้อยเล่มเกวียนของสตรีช่างน่ากลัวไม่น้อย เช่นนั้นเจ้าเฉิงหานบอกข้ามาสิว่า วันนี้เจ้ากับเจิ้นอี้ไปก่อเรื่องอันใดไว้
พวกเจ้าสองคนมิใช่เด็กอายุสามหนาวแล้ว ควรจะรู้จักว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ คิดว่าตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วจะอวดเบ่งอำนาจไปทั่วก็ได้รึ ข้าเคยเตือนพวกเจ้าหลายครั้ง ว่าอย่าไปวุ่นวายกับพี่น้องฝาแฝดสองตระกูลนั่น”
องค์ชายเฉิงหานเห็นว่าบิดาไม่เข้าข้างตนก็ยิ่งโกรธเคือง “ก็เจ้าพวกฝาแฝดนั่นไม่ให้ความเคารพลูก เหตุใดเสด็จพ่อถึงไม่เข้าข้างลูก แต่กลับไปเข้าข้างพวกนั้นเสียทุกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่เพคะเสด็จพ่อ พวกมันก็แค่สามัญชนที่โชคดีมีย่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ถึงอย่างไรก็ควรเคารพข้ากับพี่รอง แต่พวกมันกลับเหิมเกริมต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัวเลยนะเพคะ” องค์หญิงเจิ้นอี้ที่ถูกอนุชายาหลีสั่งสอนให้ใช้บารมีพระบิดา กล่าวเข้าข้างพี่ชายคนรองอย่างเอาแต่ใจ
พระชายารองเยียนและอนุชายาหลี ได้ยินบุตรธิดาของตนโต้เถียงกับพระบิดาเช่นนั้น ถึงกับเล่นงิ้วตบตาทำเป็นดุด่าเด็กทั้งสอง “เฉิงหาน เจิ้นอี้ พวกเจ้าสองคนขออภัยพระบิดาเดี๋ยวนี้ เหตุใดถึงไม่เชื่อฟังที่พระบิดาสอน แม่บอกพวกเจ้าไปหลายครั้งแล้วมิใช่หรือ”
“หยุดเสแสร้งได้แล้ว! คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าสั่งสอนบุตรอย่างไร ในเมื่อไม่ยอมแก้ไขเช่นนั้นครั้งนี้ จะต้องถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเป็นเวลาสามเดือน และคัดกฎมารยาทของวังหลวงคนละยี่สิบจบ
ส่วนมารดาของพวกเจ้าสองคนหลังจากนี้ยังสอนบุตรผิด ๆ อีก ไม่ยอมแก้ไขให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง จงระวังตัวเอาไว้ให้ดีวันไหนที่ข้าหมดความอดทน สิ่งที่พวกเจ้าจะได้รับคือการส่งกลับจวน” รัชทายาทมีรับสั่งลงโทษโอรสธิดาทั้งสองเสร็จ ก็เสด็จกลับตำหนักของตนทันที
และข่าวการลงโทษโอรสธิดาของรัชทายาทก็พระกรรณฮ่องเต้เช่นกัน เพราะพระนัดดาคนโปรดมีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่เคยหาเรื่องรังแกผู้ใดตั้งแต่เด็ก บางครายังแสดงท่าทีเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมเสียมากกว่า
เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบจึงไม่เก็บมาใส่พระทัยอีก และยังทรงหวังว่าพระนัดดาทั้งสองจากตำหนักบูรพา จะรู้จักคิดและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ ทางด้านสี่พี่น้องฝาแฝดกำลังนั่งจับเข่าพูดคุยเรื่องของคู่อริเช่นกัน
“เฮ้อ ข้าล่ะเบื่อกับสองพี่น้องคู่นี้เสียจริง ตั้งแต่สี่หนาวจนถึงยามนี้ผ่านมาหกปีก็ยังเป็นเช่นเดิม คอยหาเรื่องกับพวกเจ้าสองคนไม่เปลี่ยน” ฟงเสวี่ยหลินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายจริง
ฟงเหยาเหวินก็เห็นด้วยกับพี่ชายของตน แต่ก็พูดอย่างคนที่ชอบอ่านตำรา “ทำอย่างไรได้มีมารดาขี้อิจฉาและมักใหญ่ใฝ่สูง ย่อมสั่งสอนบุตรให้เป็นเช่นตนเองลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นของจริง”
หยางเฟิ่งเซียนมิใช่ไม่เบื่อกับเรื่องเดิม ๆ จากญาติทั้งสอง “ครั้งนี้คงถูกเสด็จอารัชทายาทลงโทษหนักกว่าทุกครั้ง ข้าเองก็ไม่อยากจะทะเลาะกับพวกเขานักหรอก ถึงจะหลีกเลี่ยงแค่ไหนแต่ก็ต้องมีวันได้พบเจออยู่ดีเจ้าค่ะ”
หยางซิวหรงก็ไม่ต่างกันนักแต่เขานึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงบอกกับน้องสาวและญาติผู้พี่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ข้าว่าเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ครั้งหน้าหากได้พบเจอสองคนนั่นโดยบังเอิญอีก พวกเราหลบเลี่ยงด้วยการใช้วรยุทธ์ที่ท่านแม่สอน อย่างไรเสียสองพี่น้องนั่นย่อมวิ่งตามพวกเราไม่ทันอยู่แล้ว ทุกคนเห็นด้วยกับข้าหรือไม่”
“ข้าเห็นด้วย! /เป็นวิธีที่ดีมาก! /พี่ชายของข้าเก่งที่สุด!”
“ฮ่า ๆ ๆ”
เสียงของพี่น้องทั้งสี่ภายในรถม้า ที่หารือทางออกร่วมกันมีหรือที่ผู้ติดตามจะไม่ได้ยิน แต่พวกเขามิได้คิดว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเจ้านายตัวน้อยทั้งสี่ล้วนมีความคิดเป็นของตน มิหนำซ้ำยังฉลาดหลักแหลมมีความจำเป็นเลิศเหนือเด็กทั่วไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสี่พี่น้องที่ผ่านการฝึกฝนจากซูอันมาหลายปี คนนอกมิเคยรู้เลยว่าพวกเขายามนี้นั้น ถือว่ามีความสามารถด้านวรยุทธ์ ไม่ด้อยไปกว่าหัวหน้านายกองในกองทัพแม้แต่น้อย
สี่พี่น้องพร้อมผู้ติดตามที่นั่งพักยังไม่ทันขยับตัว พวกเขากลับได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังขี่ม้ามาทางลำธารเพื่อหยุดพักการเดินทาง แต่บทสนทนาที่ทุกคนได้ยินกลับสร้างความขุ่นเคือง และเกิดความอาฆาตในใจของทุกคนทันที“นี่หวนเจิงเจ้าแน่ใจนะว่าข่าวที่ได้รับจากเมืองผู่เถียน เรื่องที่ว่าผู้ที่คิดค้นลวดลายอันวิจิตรงดงามบนผืนผ้าไหม นางย้ายมาอยู่จวนของสามีในเมืองหลวงน่ะ”หวนเจิงมิได้มองสหายเพียงแค่ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “กัวเฉินเจ้าคิดว่าการสืบข่าวของกัวไห่เป็นเรื่องโกหกหรือ เจ้าทำงานร่วมกันมานานหลายปีถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่เชื่อว่าข่าวที่กัวไห่ได้มาเป็นเรื่องจริง”“เพราะครั้งนี้เจ้ามิได้ไปสืบข่าวด้วยตนเอง จึงคิดว่าข่าวจากสหายเป็นเรื่องโกหกกระมัง กัวเฉินหากเจ้าอยากทำหน้าที่สืบข่าว เหตุใดไม่บอกหัวหน้าตั้งแต่แรกล่ะ” ฉายเกาผู้หมั่นไส้กัวเฉินที่มักจะอวดเก่งอยู่บ่อยครั้ง ถึงกับประชดประชันให้กับท่าที่ของกัวเฉินในเรื่องนี้“ฉายเกาเจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ข้าพูดเช่นนั้นก็แค่เป็นห่วงกัวไห่ เกรงจะถูกข่าวลวงจากชาวบ้านมิได้มีเจตนาอื่น”หวนเจิงไม่อยากให้เกิดการทะเลาะกันเอง เขาจำเป็นต้องหยุดการถกเถียงโด
เมื่อฝาแฝดทั้งสี่คนได้อยู่กันตามลำพัง จึงเดินออกจากเรือนใหญ่ไปยังศาลากลางสวนดอกไม้ เพื่อพูดคุยเรื่องแหวนหยกที่พวกเขามีเหมือนกัน เนื่องจากญาติผู้พี่ทั้งสองยังไม่รู้ว่ามันเป็นแหวนมิติเป็นฟงเหยาเหวินที่เอ่ยถามกับหยางเฟิ่งเซียน เพราะตนอยากรู้จนทนแทบไม่ไหวแล้ว “เซียนเอ๋อร์เจ้ารีบบอกพวกพี่มาเร็วเข้า ว่าเจ้าแหวนหยกนี่มีความพิเศษอย่างไร ท่านน้าซูอันถึงได้กล่าวว่าให้เจ้าเป็นคนอธิบายกับพวกพี่”หยางเฟิ่งเซียนนั่งลงด้วยท่าทางสบาย ๆ คล้ายกับว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด “ถ้าข้าบอกพวกท่านไปแล้ว จงปิดปากให้สนิทอย่าได้บอกกับผู้ใดเป็นอันขาดนะเจ้าคะ”“อื้อ /แน่นอน”“หากพวกท่านสองคนยังจำได้ ถึงอาวุธบางอย่างที่ท่านแม่ได้สอนยามฝึกวรยุทธ์ ย่อมเข้าใจว่าพวกมันมิใช่สิ่งจะสร้างออกมาได้ในโลกนี้ ดังนั้นแหวนหยกที่ท่านแม่มอบให้พวกเราสี่คน จึงมีความพิเศษมากกว่าแหวนทั่วไปอย่างมาก เพราะมันคือแหวนหยกมิติที่สามารถเก็บสิ่งของได้ และด้านในท่านแม่ยังมอบอาวุธให้พวกเราหลายอย่างเชียวล่ะ”“หา! แหวนมิติ /มันคือแหวนวิเศษรึ!”หยางซิวหรงกล่าวยืนยันคำพูดของน้องสาวอีกคน ว่าสิ่งที่นางพูดล้วนเป็นความจริงมิได้ล้อเล่นแต่อย่างใด
ภายหลังทั้งใต้เท้าเซิ่งและใต้เท้าหลีกลับไปถึงจวน ก็ได้รับรู้สาเหตุที่ฮูหยินของพวกตนให้คนไปตามกลับมา บุตรสาวที่ตนอุตส่าห์คาดหวังเอาไว้ว่า จะส่งพวกนางเข้าตำหนักของเหล่าองค์ชาย ยามนี้กลับเกิดเรื่องเสื่อมเสียมิใช่หญิงสาวบริสุทธิ์อีกแล้วเพียะ! “เจ้าบอกมาเดี๋ยวนี้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ที่นั่นคือจวนท่านแม่ทัพใหญ่ที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นงานสำคัญแต่เจ้ากลับกล้าสร้างปัญหาให้ข้าเสียได้”เซิ่งฟางเอินที่ได้สติกลับคืนมาแล้ว หลังจากเห็นว่าตนเองตกอยู่ในสภาพใด ก็ยิ่งทำให้ความโกรธเกลียดที่มีต่อหยางเฟิ่งเซียนระอุขึ้นอีกครั้ง “กรี๊ดดด!! ทำไม ๆ เรื่องนี้ต้องเกิดกับข้า ในห้องนั้นควรเป็นนางจิ้งจอกหยางเฟิ่งเซียนสิ ข้าอยากให้มันอับอายผู้คนไปทั่วเมืองหลวง”สองสามีภรรยาเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกมาจากปากของบุตรสาว ก็ยิ่งกว่าตกใจเพราะที่พวกเขากำลังรู้สึกในยามนี้ คือความกลัวขึ้นมาจับใจหากตระกูลหยางคิดเอาคืนมาถึงตนลู่ฮูหยินแทบอยากกัดลิ้นตายเสียตรงนี้ มีใครไม่รู้บ้างว่าบุตรหลานตระกูลหยาง เป็นที่โปรดปราณทั้งฮ่องเต้และรัชทายาทเพียงใด “เอินเอ๋อร์เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป แย่แล้วคราวนี้พวกเ
หยางเฟิ่งเซียนเดินไปยืนกับมารดาด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนเสี่ยวฮัวรีบวิ่งไปตามบ่าวไพร่อย่างรวดเร็ว และประตูเรือนรับรองก็ถูกเปิดโดยแม่นมฟาง หลังจากบานประตูเปิดกว้างสิ่งที่พบเห็น ยิ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับเหอฮูหยินอย่างมากแต่ว่าภาพตรงหน้าทำเอาสองฮูหยิน ที่ติดตามมาถึงกับตกตะลึงจนอยากหยุดหายใจ เนื่องจากสตรีสองในสี่ที่อยู่ด้านในนั้น กลับกลายเป็นบุตรสาวของพวกนางเสียเอง พวกนางไม่คิดมาก่อนว่าบุตรสาวของตน จะคิดวางแผนกลั่นแกล้งคนในในจวนตระกูลฟง จนต้องรับผลจากแผนสกปรกเสียเอง หากสามีของพวกนางรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่เหอฮูหยินยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ก็มีเสียงจากด้านหลังกรีดร้องและวิ่งเข้าไป เพื่อแยกคนด้านในออกจากบุรุษ ที่พวกนางดูอย่างไรก็มิใช่คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ ที่สำคัญคนภายในห้องนี้ล้วนเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ของบุตรสาวพวกนางปัง! “กรี๊ดดด! เอินเอ๋อร์ /หรานเอ๋อร์!”“เจ้าคนต่ำช้าออกไปให้ห่างลูกของข้านะ ออกไป๊ เอินเอ๋อร์ ๆ เจ้าอย่าทำเช่นนี้บอกแม่มาเถิดว่าใครที่ทำร้ายเจ้า แม่จะให้คนไปตามจับตัวพวกมามาลงโทษ”“หรานเอ๋อร์ ๆ ลูกแม่” เพียะ! เพียะ! “ออกไปให้พ้นพวกสกปรกอย่ามาแตะลูกสาวของข
ขณะที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างออกรส ภายหลังจากองค์หญิงใหญ่ได้เสด็จกลับจวนไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซึ่งยามนี้ในวงสนทนามีเหล่าฮูหยินหลายตระกูล ต่างกล่าวชื่นชมบุตรสาวของตนไปมาตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยง เพื่อเป็นการมองหาบุรุษให้กับบุตรสาวของตนหนึ่งในนั้นยังมีซูอันที่นั่งอยู่ข้างกายพี่สาวโดยไม่พูดสิ่งใด พวกนางมิได้ตอบรับหรือถามอันใดเพิ่มเติม ทำเพียงแค่ยิ้มบางให้กับบางคำถามเท่านั้น เนื่องจากสองพี่น้องตระกูลจิน ไม่เคยคิดบังคับบุตรของตนในเรื่องของการเลือกคู่ครองส่วนเสี่ยวฮัวที่ตั้งหน้าตั้งหน้าวิ่งมาจากเรือนรับรอง นางย่อมรู้ว่าควรวิ่งไปหาผู้ใดเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น แฮ่ก ๆ ๆ “ฮูหยินเจ้าคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ทะ ทะ ที่เรือนรับรองมีคนทำเรื่องบัดสีอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”พรึบ! “เจ้าว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในจวนของข้านะ พูดมาให้ชัดว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!” เหอฮูหยินมารดาของฟงเฉิงฮ่าวแทบนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินสาวใช้ของจวนวิ่งหน้าตาตื่น เข้ามารายงานเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น“เมื่อครู่บ่าวพาคุณหนูหยางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนรับรอง แต่บ่าวกับคุณหนูหยางกลับได้ยินเสียงบุรุษกับสตรี กำลังทำเรื่องบัดสีอย
ส่วนเสี่ยวขุยที่เดินตามหาเสี่ยวฮัวในที่สุดก็เจอตัว จึงพากลับมาพบเมิ่งฟางเอินเพื่อรับภารกิจตามที่รับปากไว้ โดยที่แขกในงานคิดว่าเป็นการตามสาวใช้ มาช่วยเหลือเรื่องอาหารหรือน้ำชาที่พร่องไป มิได้คิดว่าจะมีแผนการสร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด“คารวะคุณหนูทั้งสอง ท่านต้องการให้บ่าวทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”เมิ่งฟางเอินไม่รอช้ารีบสั่งการกับเสี่ยวฮัว ตามแผนการที่นางได้เตรียมเอาไว้ เพื่อสร้างเหตุการณ์ให้แขกเหรื่อในงานทั้งหลาย ได้รับรู้ว่าหยางเฟิ่งเซียนมิใช่สตรีที่ดีงามอันใด“เจ้านำกำยานไร้กลิ่นนี้ไปจุดไว้ในเรือนรับรองหลังใดก็ได้ แล้วไปตามบ่าวที่ดูแลม้าของจวนให้เข้าไปอยู่รอด้านใน จากนั้นเจ้าจงกลับมาในงานถือถาดกาน้ำชา แสร้งสะดุดไปทางหยางเฟิ่งเซียน เมื่อชุดของนางเปียกชื้นเจ้ารีบอาสาพานางไปเปลี่ยนชุดยังห้องรับรอง พอผ่านไปสักหนึ่งเค่อก็ส่งเสียงร้องดัง ๆ ข้ากับสหายจะรีบตามไปที่นั่น”เมื่อรู้ว่าเป็นภารกิจที่ไม่ยากเกินความสามารถ เสี่ยวฮัวยกยิ้มอย่างมั่นใจว่าตนเองทำสำเร็จได้แน่ จึงลองเอ่ยถึงเรื่องค่าจ้างที่เหลือกับเซิ่งฟางเอิน “คุณหนูรอฟังสัญญาณจากบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ ว่าแต่ค่าจ้างที่เหลือของบ่าว...”“พรุ่งนี้เช้ามื
Mga Comments