LOGINมิ่นหมิ่นจิ้งจอกน้อยที่เกิดมาพร้อมพลังหยั่งรู้ ถูกกำหนดให้เป็นผู้ปกครองดินแดนจิ้งจอกคนต่อไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับต้องเปลี่ยนไปเมื่อมิ่นหมิ่นพบกับหยงเจี้ยน องค์ชายที่ตกต่ำจนเหลือแค่ความว่างเปล่าและชีวิตกับลมหายใจที่กำลังจะหลุดลอย ความเจ็บปวดและความอ้างว้างของเขาสั่นคลอนหัวใจของมิ่นหมิ่นจนไม่อาจนิ่งนอนใจ ท่ามกลางความทุกข์ทรมานของหยงเจี้ยนที่อยู่ในสุสานบรรพชนใกล้ตาย มิ่นหมิ่นเลือกที่จะใช้พลังหยั่งรู้ของตัวเองเพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย จิตใจและฐานะองค์ชายของเขา แต่สิ่งที่มิ่นหมิ่นไม่คาดคิดคือพอเขากำลังจะได้ทุกอย่างกลับคืนมา…เขากลับไม่เคยจดจำมิ่นหมิ่น สำหรับหยงเจี้ยน มิ่นหมิ่นเป็นคนเดียวที่ทำให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง หรือเป็นแค่ความฝันที่เลือนลางในจิตใจของเขา ฝันที่มีไว้ให้จดจำเท่านั้น ความรักเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ไม่อาจจับต้อง เพราะรักนั้นไม่เคยจางหาย แม้ไม่อาจครอบครองได้…. เพียงภาวนาให้เขาจดจำข้าได้… สักวันหนึ่ง…
View Moreหยงเจี้ยนก้าวเข้าไปข้างหน้า
“ไปลากตัวนางจิ้งจอกม่านม่านนั่นมาจากคุกหลวง ข้าจะไต่สวนนางเอง” คำพูดที่ทั้งโกรธและเจ็บแค้น
เพียงอึดใจเดียว องครักษ์ก็พาม่านม่านมาที่หน้าหยงเจี้ยน ม่านม่านหรือมิ่นหมิ่นถูกบังคับให้คุกเข่าตรงหน้าเขา ใบหน้าโศกเศร้าแม้มีเห็นน้ำตาที่รินไหลลงมาอย่างเงียบๆ แต่ยังคงอยู่เลยไม่ขัดขืน
หยงเจี้ยนมองม่านม่านอย่างไม่สบอารมณ์ เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวไหม นางจิ้งจอก”
มิ่นหมิ่นกัดฟันแน่น เงยหน้าขึ้นมองหยงเจี้ยนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ใจของไท่จือคิดแบบไหน ข้าไม่อาจคาดเดาหรือเปลี่ยนใจไท่จือได้...แต่ข้าแค่จะบอกว่า ข้าไม่ได้ทำ ทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นข้าที่ถูกใส่ความ”
เสียงของมิ่นหมิ่นสั่นเล็กน้อย อาภรณ์เปื้อนฝุ่นขะมุกขะมอม
ความจริงในใจของมิ่นหมิ่นนั้นหนักหน่วงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อคิดถึงเหตุผลที่ทำให้ยังคงไม่หนีจากที่นี่ทั้งที่สามารถออกจากวังไปได้ตั้งแต่ต้น แต่นางยังคงเชื่อว่า จะสามารถเปลี่ยนใจหยงเจี้ยนได้สักวันหนึ่ง
แม้จะเจ็บปวดสักเท่าไรก็ยังคงยึดมั่นในความรักที่มีให้เขา
หยงเจี้ยนได้แต่หัวเราะในลำคอ มือของเขาเลื่อนขึ้นจับที่ขมับก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งเย็นชา
“เจ้ามันร้ายกาจนัก ทุกสิ่งที่เจ้าทำก็เพื่อให้ได้ใจข้า...แล้วยังทำร้ายคนที่ข้ารัก น่าไม่อาย”
มิ่นหมิ่นกัดฟันแน่น กลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดความสามารถ ทว่ากระนั้นก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกที่มันหลั่งไหลออกมาในใจได้ น้ำตาเริ่มรินไหลออกจากตาโดยที่ไม่อาจควบคุมมันได้ ความเจ็บปวดในหัวใจที่ถูกตัดทอนอย่างไม่ปรานีทำให้มิ่นหมิ่นไม่สามารถฝืนใจตัวเองได้
เสียดายเหลือเกิน…เสียดายเหลือเกินที่มอบหัวใจให้กับเขา เสียดายเหลือเกินที่มิ่นหมิ่นเคยหวังว่าหยงเจี้ยนจะหันกลับมารักมิ่นหมิ่นบ้าง
สำหรับมิ่นหมิ่นแล้ว ความรักที่เคยมีนั้นยังคงมีค่า
มิ่นหมิ่นไม่เคยล้มเลิกง่ายๆ ...แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปจากเขา ก็จะต้องจากไปอย่างไม่มีความลังเลอีกต่อไป…
“ไท่จือได้โปรด…” ลุกขึ้นยืนเดินมาตรงหน้า
“ไท่จือขอรับ ไท่จือเฟยตอนนี้กระอักเลือดสดๆ ออกมาแล้วขอรับ ร่างกายของไท่จือเฟยบอบช้ำไม่น้อยจากพลังเวทย์ของ….เอ่อ….เอ่อ..ม่านม่านคนนี้” ขันทีชี้มือไปที่มิ่นหมิ่นที่ยืนตรงหน้าหยงเจี้ยน
“นางมารเจ้าจะพรากคนที่ข้ารัก….จากข้าไปอีกแล้วหรือ”
มิ่นหมิ่นรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกจากอก เมื่อหยงเจี้ยนผลักร่างของหมิ่นมิ่นลงไปกองกับพื้น รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนราวกับไม่ได้สนใจความเจ็บปวดที่เขาก่อให้เกิดขึ้น
“เจ้ามันก็แค่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ นางมารเก้าหาง” หยงเจี้ยนพูดอย่างเย้ยหยัน
"คิดว่าจะมาหลอกลวงข้าได้ง่ายดายอย่างนั้นหรือ"
มิ่นหมิ่นหายใจถี่ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้เริ่มไหลรินลงมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แม้จะเจ็บปวดอย่างสุดใจแต่ก็ยืนยันคำพูดของตัวเองด้วยความแน่วแน่
“ข้าไม่ผิด…ไท่จือได้โปรด...” น้ำเสียงมิ่นหมิ่นสั่นจากความเจ็บปวด
หยงเจี้ยนยิ้มเหยียด ย่อตัวลงข้างๆ แล้วยกมือขึ้นเชยคางมนของมิ่นหมิ่นอย่างเย็นชา
“เจ้าทำร้ายไท่จือเฟยของข้าปางตาย สังหารคนใกล้ตัวข้าที่ดีกับข้ามาตลอดแล้วยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก”
หยงเจี้ยนพูดเสียงต่ำแต่น้ำเสียงนั้นดุจคลื่นแห่งความเกลียดชัง
มิ่นหมิ่นกลั้นใจกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองแตกสลาย พยายามสงบสติอารมณ์แต่กลับไม่อาจห้ามความเจ็บปวดที่กัดกินภายในได้
“องครักษ์!” หยงเจี้ยนตะโกน
"คุมตัวนางจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้ไปให้นักปราชญ์ทั้งเก้าสร้างม่านมนตรากักขังรอวันประหาร!"
คำพูดนั้นเป็นเหมือนอาวุธร้ายที่มิ่นหมิ่นไม่สามารถหลีกหนีได้ เกิดบาดแผลใหญ่ในใจ มิ่นหมิ่นกลั้นเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ น้ำตารินไหลไม่หยุด หยงเจี้ยนเข่นฆ่ามิ่นหมิ่นจากภายในอย่างรุนแรง
“พอกันที... จบสิ้นกันเพียงเท่านี้...ข้าเกลียดท่าน…ลาก่อน” มิ่นหมิ่นลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
หยงเจี้ยนถอยหลังกรูดในท่าทีระมัดระวัง
“เจ้าจะทำร้ายข้าอีกแล้วใช่ไหม” หยงเจี้ยนพูดเสียงแข็งกร้าว
“พวกเจ้าจับนางไว้อย่าให้นางทำร้ายไท่จือ!” หัวหน้าองครักษ์กวานหยงที่ยืนอยู่ข้างๆ ตวาดออกมาอย่างดุเดือด
องค์รักษ์ทุกคนกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็วมือของพวกเขาถืออาวุธ หญิงสาวตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงกลางนั้นถูกล้อมรอบด้วยบุรุษองอาจหลายสิบคนพร้อมอาวุธในมือกำลังจะพุ่งเข้ามาทำร้าย
มิ่นหมิ่นรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีในตัว เริ่มร่ายมนตร์อย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเอง ม่านอาคมแสงสีทองก็ถูกสร้างขึ้นรอบตัว เวทมนตร์กระจายออกมาอย่างมหาศาล
“นางจิ้งจอก! เจ้ากำลังจะทำอะไร! ตั้งใจจะทำร้ายไท่จือหรือ?!” หัวหน้าองครักษ์กวานหยงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว พลังของมิ่นหมิ่นนั้นช่างยิ่งใหญ่จนอดจะเกรงกลัวไม่ได้
องครักษ์ที่มีอาวุธในมือโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องแต่กลับต้องสะท้อนกับม่านอาคมที่มิ่นหมิ่นสร้างขึ้น หัวหน้าองครักษ์กวานหยงเห็นสถานการณ์ไม่ดีแต่ยังคงตะโกนเสียงดัง
“องครักษ์ จับนางมารนี่ไว้เร็วเข้า!” เสียงคำสั่งดังก้องไปทั่ว
มิ่นหมิ่นรู้ดีว่าไม่อาจใช้ม่านอาคมไปได้ตลอด มือขยับไปในอากาศและร่ายมนตร์อีกครั้ง พลังเวทย์มนต์ที่รุนแรงเริ่มค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในรอบทิศทาง
มิ่นหมิ่นมองไปยังหยงเจี้ยนที่ยืนมองมาอย่างเย็นชา
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายข้าหรือใครได้อีก...”
หยงเจี้ยนกัดฟันแน่นดึงกระบี่เงินออกจากฝักอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะจัดการนางเอง”
กระบี่เงินในมือของเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในพริบตาเดียวม่านอาคมที่มิ่นหมิ่นสร้างขึ้นก็แตกละเอียด มิ่นหมิ่นยืนตะลึง ยังไม่ทันที่จะตั้งตัวหยงเจี้ยนก็โจมตีอย่างรวดเร็ว
กระบี่ในมือหยงเจี้ยนพุ่งตรงไปที่ร่างเล็กของมิ่นหมิ่นเสียบกระบี่ทะลุยอดอก
"ท่านไม่ต้องเกรงใจใครทั้งนั้น มีข้า มีอี้จือและมีชีวิตของท่านที่ข้าจะไม่ยอมให้ท่านเป็นอะไรไปง่ายๆ ถ้าข้าตะบะแก่กล้ากว่านี้นะข้าจะเสกให้ท่านหายป่วยทันทีเลยและจะสาปคนที่ทำร้ายท่านให้กลายเป็นหินดีไหมฮ่าาาา" มิ่นหมิ่นเงยหน้ามองเพดานแล้วกระซิบ“อี้จือเจ้าพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ” มิ่นหมิ่นกุมมือหยงเจี้ยนไว้ เ้มื่อเห็นว่าเขาเริ่มเพ้อด้วยพิษไข้"ข้าจะทำให้ท่านมีวันที่ดีกว่าวันนี้ท่านจะต้องกลับมายืนหยัดให้ได้ เชื่อข้าเถอะ"เงาเทียนไหว ร่างสูงของท่านหมอหลงถานคารวะก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องบรรทมของฮ่องเต้หยงฉีเงียบๆ ฮ่องเต้นั่งพิงพนัก ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาเฉยชาจนเห็นได้ชัด"น่าแปลกนะ เฉินอี้หยูที่ภักดีมาตลอดกลับกล้ารับเจ้าสี่ไว้ในจวน" เสียงเย็น แต่ชื่นชมเล็กๆ หลงถานประสานมือคารวะ ยืนนิ่ง"ขอรับ นัยว่าไท่จือเฟยขอรัองเรื่องนี้ ข้าน้อยได้จัดเทียบยาสามัญไว้แล้ว ทั้งยาบรรเทาแก้ปวดและยาสามัญแต่คาดว่าคงต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนานขอรับ"“หยงซินรู้เรื่องนี้ไหมเรื่องที่ไท่จือเฟยมีใจฝักใฝ่หยงเจี้ยน”“ได้ยินว่าสองวันก่อน ไท่จือระแคะระคายเรื่องนี้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หยงฉีถอนหายใจยาว นั้นไม่ใช่เสียงเหนื่อยล้าเ
"ถ้าจะให้ตายตอนนี้ มันก็ยังไม่ใช่เวลา...และข้าก็ไใม่จำเป้นจต้องอธิบายอะไร กับเจ้าไท่จืออย่างคิดว่าตำแหน่งไท่จือจะคงอยู่ตลอดไปถึงข้าจะมีองค์ชายแค่สองคนคือเจ้ากับเจ้าสี่ก็ตาม"หยงซินหันไปมองบิดาด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย พูดเสียงตัดพ้อ“ลูกไม่เข้าใจทำไมไม่บัญชาให้เขาตายไปเสีย เสด็จพ่อเขาถูดเนารเทศตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ ทำไมยังรับเขากลับมาหรือว่าตอนนี้เสด็จพ่อพระทัยอ่อนลงแล้วไม่กล้ากับพี่สี่ หากเสด็จพ่อไม่กล้าลุกจะจัดการเขาเอง”ฮ่องเต้หยงฉีหันกลับมามองด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้าน"เจ้าจะทำอะไรได้ ข้าไม่ได้ทำเพื่ออำนาจหรือเพราะว่ายังรักยังห่วงใยเขาอยู่แต่เพื่อความอยู่รอดของทั้งแผ่นดินนี้"หยงซินอยากจะพูดอะไรออกไป แต่กลับกลืนลงไปในลำคอ มองไปที่บิดาที่ไม่มีความรู้สึกอะไรกับการตัดสินใจที่ทำ แต่ก็เข้าใจได้ว่าทุกการกระทำนั้นมีเหตุผลที่ไม่สามารถเข้าใจได้จากคนทั่วไป“เช่นนั้นลูกก็วางใจแต่ไม่เข้าใจว่าหากไม่มีเขาแล้วเกี่ยวอะไรกับการอยู่รอดของแคว้นเหว่ย”เสียงฮ่องเต้หยงฉีเย็นชา"ข้าจะให้เขาตายหรือไม่นั่นคือข้าคนเดียวที่ตัดสินใจ ข้าจะให้ใครอยู่หรือใครตายนั่นเป็นข้า โอรสสวรรค์เท่านั้นที่ตัดสินใจ พวกเจ้าก
ห้องทำงานของท่านราชครูเฉินอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรและควันธูปอ่อนๆ แสงเทียนส่องเงารำไรบนผ้าปูเตียงที่ปูไว้สำหรับผู้ป่วยหยงเจี้ยนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ผิวซีดบางจนเห็นเส้นเลือด บาดแผลเก่าๆ ที่หน้าท้อง เสียงหายใจของเขาขาดๆ หายๆท่านราชครูเฉินก้มมองด้วยสายตาที่เยือกเย็นก่อนจะหันไปถามหมอหนุ่มที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างเตียงด้วยน้ำเสียงเรียบ"เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ อาการของคนผู้นั้น"หมอหนุ่มผู้อ่อนกว่าเอียงหน้าไปสักครู่"ขอรับท่านราชครู ข้าน้อยได้ให้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดแล้ว เพราะในช่องท้องของคนผู้นี้มีบาดแผลจากการอดอาหาร จึงเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อถึงเวลาอาหาร ข้าจึงให้ยาพวกฝิ่นเพื่อทำให้รู้สึกเหมือนฝันไปชั่วคราว จะได้ไม่ทรมานมาก"ราชครูเฉินพยักหน้า คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยแต่ท่าทางยังคงนุ่มนวล"ดีแล้ว ระหว่างนี้ข้าจะสั่งให้สาวใช้ป้อนยาให้เขาเมื่อถึงเวลา"หมอหนุ่มเหลือบมองออกไปทางประตู รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง"ท่านราชครูคิดถูกแล้วขอรับ คนผู้นี้ถือกำเนิดมาพร้อมกับความโชคร้าย บางทีปล่อยไปตามลิขิตสวรรค์คงเป็นทางที่สบายกว่าสำหรับทุกฝ่าย"คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในห้องเย็นลง ท่านราชครูเฉินถอนหายใจย
ฮ่องเต้หยงฉียืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะ มือหนึ่งเลื่อนรูปวาดรูปของตนเองไปช้าๆข้างหนึ่งของภาพถูกไฟแผดเผาจนดำเป็นเถ้าถ่าน แต่ริมฝีปากในตอนนี้ยังคงเหยียดยิ้มอย่างเยือกเย็นฮ่องเต้หยงฉีหันมามองผู้ที่ยืนถวายบังคมอยู่ต่อหน้า ดวงตาเย็นดั่งน้ำแข็ง คำพูดเหมือนมีมีดแหลมคม"เจ้าสี่…ข้าอยากให้เจ้าตาย…ก็ไม่ตายสักที" หยงฉีมีรอยยิ้มคลายเล็กน้อยแต่กลับเต็มไปด้วยความเหี้ยม"ถึงเวลานี้ตายไม่ได้… เพราะยังเหลือประโยชน์ให้ข้าใช้อีกมากนักเสียด้วยสิ"บรรดาขันทีข้าราชบริพารและขุนศึกในที่นั้นต่างเปลี่ยนสีหน้าไป คำว่าประโยชน์ที่หลุดจากปากฮ่องเต้ไม่ใช่การหยอกเล่น หยงฉีหันไปสั่งเสียงเข้ม"กงกง ส่งคนไปรับตัวหยงเจี้ยนที่สุสานบรรพชน กลับมาที่วังหลวงเดี๋ยวนี้!"ผู้รับสั่ง กงกงลู่กัง ขันทีใหญ่ประสานมือแน่นตอบรับคำสั่งด้วยความเคารพ"น้อมรับพระบัญชาฝ่าบาท ข้าน้อยจะจัดเกี้ยวและส่งกำลังไปรับองค์ชายสี่กลับวังหลวงโดยเร็วที่สุด" แม้ปากจะรับแต่สายตากลับฉายความไม่สบายใจเท่าใด ผู้ใดจะกล้าปฏิเสธคำสั่งเช่นนี้หยงฉีพยักหน้าเบาๆแล้วกล่าวต่อ "อย่าให้ข้าต้องผิดหวัง…นำตัวเขากลับมาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่…หากผู้ใดทำให้ข้าพลาดประโยชน์ในเรื่องน
ร่างผอมแห้งของหยงเจี้ยนถูกห่มผ้าบางๆ วางไว้บนเกี้ยวหลังใหญ่ที่เคลื่อนไหวช้าๆ เลาะผ่านถนนโรยด้วยกรวดหินของวังหลวง เสียงล้อเกวียนดังกังวานระยับในยามร่องรอยบาดแผลยังคงปรากฏบนผิว ขณะที่หน้าอกที่เคยผายผอมยังหายใจพร้อมกับความรู้สึกยากบรรยายมิ่นหมิ่น เจ้าจิ้งจอกน้อยผู้วิ่งตามเกี้ยวผ่านป่าเขาจนเท้าระบม ตั้งใจจะให้แน่ชัดว่าหยงเจี้ยนถูกพาไปที่ใดกันแน่ ดวงตาเล็กๆ ของมิ่นหมิ่นส่องประกายไม่ต่างจากดวงไฟอ่อนในคืนที่มืดมิด ความกลัวกับความหวังผสมกันเป็นหนึ่งเมื่อเกี้ยวค่อย ๆ หายลับเข้าไปในจวนของท่านราชครูเฉิน“จวนราชครู หวังว่าท่านจะปลอดภัยที่นี่นะ” เงาร่มไม้และกำแพงสูงกั้นทัศนวิสัยไว้ มิ่นหมิ่นหยุดยืนอยู่ข้างทาง หัวใจของมิ่นหมิ่นเต้นแรง สูดดมกลิ่นแปลกพลางส่ายหยน้าไปมาภายในจวน ท่านราชครูเฉินยืนอยู่หน้าประตูรับรอง ท่าทางสง่างามยังคงอยู่ แต่สายตาบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า เขาหันไปมองอี้จือลูกสาวคนเดรียวที่นรั่งตำแหน่งไท่จือเฟยได้ไม่นาน สีหน้าโศกสลด เพราะความกังวล"จะไม่เป็นไรใช่ไหม หากว่าฝ่าบาทจะรู้เรื่องนี้" ราชครูเฉินพูดขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงไม่ดังแต่ดึงความเงียบในห้องให้กลายเป็นความตึงเครียดอี้จือก้มศ
"ไท่จือเฟยอี้จือขอรับพบแล้วขอรับ...องค์ชายสี่หยงเจี้ยนอยู่ในสุสานขอรับ ท่าทางอ่อนแรงและเนื้อตัวเจ็บปวดไปด้วยบาดแผลและยังป่วยไข้..." เสียงของทหารองครักษ์ที่มากับอี้จือดังขึ้นในห้องใหญ่คำรายงานที่ออกจากปากองครักษ์ทำให้ใจของอี้จือสะท้านเล็กน้อย นางค่อยๆ ขยับตัวแม้ภายนอกจะไม่แสดงท่าทีใด แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวล"ข้าจะเข้าไปพบเขา" อี้จือพูดเสียงเย็น"เอ่อ... ไท่จือเฟย หากไท่จือรู้เรื่องนี้เข้าจะไม่ดีกับไท่จือเฟยนะเจ้าค่ะ" นางกำนัลข้างกายของอี้จือเอ่ยปากเตือนด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าอี้จืออาจจะตกอยู่ในอันตรายแต่ก็รู้ว่าไม่อาจขัดขวางได้คำเตือนของนางกำนัลไม่ได้ทำให้ใจของอี้จือสั่นคลอนแม้แต่น้อย หันไปมองอย่างเด็ดขาด"พวกเจ้าเมตตาข้าแค่ไหน พวกเจ้าไม่สงสารข้าหรือ ในเมื่อพวกเจ้าเองก็รู้ว่าข้าจำใจแต่งเข้ามาในฐานะไท่จือเฟย...และพวกเจ้าคือคนที่ข้าวางใจว่าจะเมตตาข้า...ข้าจะเข้าไปหาท่านสี่หยงเจี้ยนเดี๋ยวนี้!" ดวงตาแสดงความรู้สึกเจ็บปวดนางกำนัลและองครักษ์ที่อยู่ข้างกายรีบย่อกายลงและถอยห่างไปตามคำสั่งแม้จะอยากขัดขวางแต่ก็รู้ดีว่าอี้จือคือผู้ที่ยึดมั่นในความตั้งใจของตนเองเสมออี้จือยิ้มก่อ






Comments