ตื่นจากฝันครานี้นางจะไม่ยอมเป็นสตรีร้ายกาจแต่ไร้หัวคิดอีกต่อไป คิดใช้ข้าเป็นหินรองเท้าปีนป่ายขึ้นสูงงั้นรึ ฮึ! รอชาติหน้าเถอะ
Voir plusร่างผอมโซในชุดนักโทษสีซีดถูกกระชากอย่างไร้ความปราณีพร้อมกับเสียงตวาดจากผู้คุม
“คุกเข่า!”
ตลอดหนึ่งเดือนที่ถูกกักขังแล้วนำตัวมา ณ ที่แห่งนี้
ลานประหารที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนระหว่างแคว้นเยว่และแคว้นเว่ย
ผู้คนต่างสาบแช่งอดีตพระชายาขององค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นเว่ย ที่เป็นตัวต้นเหตุให้เกิดการนองเลือดขึ้นในทั้งสองแคว้น
เพราะองค์ชายเจ็ดที่มีตระกูลเสวียนหนุนหลังคิดการก่อกบฏโค่นล้มรัชทายาท จึงทำให้เกิดการนองเลือดล้างแผ่นดินขึ้นในแคว้นเว่ย
ขณะเดียวกัน กองทัพตระกูลเสวียนก็คิดการใหญ่ต้องการราชบัลลังก์แคว้นเยว่มาไว้ในมือ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะรวมแผ่นดินให้กลายเป็นแคว้นเดียวกัน
องค์ชายเจ็ดขึ้นเป็นฮ่องเต้ ส่วนพระชายาเสวียนก็ขึ้นเป็นฮองเฮา ปกครองแคว้นใหม่ร่วมกัน
กว่าที่ทั้งสองแคว้นจะสามารถปราบกบฏลงได้ ย่อมต้องสูญเสียเหล่าทหารกล้าไปไม่น้อย
หลายครอบครัวต้องสูญเสียบิดาและบุตรชายไป จึงทำให้พวกเขาโกรธแค้นองค์ชายเจ็ดกับพระชายา และตระกูลเสวียนเข้ากระดูก
องค์ชายเจ็ดถูกสำเร็จโทษที่แคว้นเว่ย
ตระกูลเสวียนก็ถูกประหารต่อหน้าชาวเมืองไปก่อนหน้า
เหลือเพียงพระชายาผู้นี้ที่ผู้คนทั้งสองแคว้นอยากเห็นการตายของนาง
แคว้นเว่ยจึงส่งตัวนางมายังแดนประหารที่เขตชายแดนระหว่างสองแคว้น
ในระหว่างการเดินทางส่งตัวนักโทษ นางได้รับเพียงน้ำข้าววันละหนึ่งถ้วยให้พอประทังเพื่อไม่ให้ตายก่อนถึงแดนประหาร
ตลอดเส้นทางที่ผ่าน นางถูกขว้างปาด้วยก้อนหินก้อนดินหรืออะไรก็ตามที่ชาวบ้านจะหยิบฉวยได้ เพื่อระบายความโกรธแค้นของตน ทำให้ร่างกายที่แสนจะบอบบางเต็มไปด้วยบาดแผล
ใบหน้าที่เคยงดงามมีรอยช้ำปูดบวมจนแทบจำไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งสตรีผู้นี้เคยเป็นยอดพธูแห่งแคว้นเยว่ ที่แม้แต่องค์หญิงบางพระองค์ยังไม่อาจเทียบได้
สายตาของอดีตพระชายาเหม่อมองไปข้างหน้า นางไม่ได้ใส่ใจต่อถ้อยคำก่นด่าของชาวเมือง เพราะตลอดเส้นทาง นางได้ยินมันจนรู้สึกชาไปหมด นางแทบอยากจะสำรอกมันออกมาเสียมากกว่า
หึหึ กบฏงั้นรึ
ช่างเป็นแผนที่แยบยลนัก
สวามีของนางร่างกายอ่อนแอขี้โรค ไม่มีแม้แต่แรงจะหยิบมีดขึ้นมาเชือดไก่ กลับถูกยัดข้อหาให้อย่างไม่เป็นธรรม
ท่านตาและคนในตระกูลเสวียนที่จงรักภักดีมาตั้งแต่ก่อตั้งตระกูล ก็ถูกรื้อสะพานทิ้งเมื่อฮ่องเต้โฉดมั่นคงในราชบัลลังก์
ส่วนตัวนางงั้นรึ ถูกตราหน้าว่ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากเป็นจักรพรรดินีครอบครองใต้หล้า
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก
และคนที่อยู่เบื้องหลังแผนการโค่นล้มตระกูลเสวียนก็หาใช่คนอื่นไกล
เป็นผู้ที่ให้กำเนิดนางอย่างไม่ตั้งใจนั่นเอง
บิดาของข้า
ท่านเกลียดข้า เกลียดตระกูลเสวียนถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“หลันเอ๋อร์ ลูกแม่ โฮ ฮือ ฮือ ปล่อยข้า” พระชายาเสวียนแห่งชินอ่องแคว้นเยว่สะบัดตัวออกจากการประคองของบ่าวรับใช้ทันทีที่เห็นบุตรสาวถูกผลักลงที่ลานประหาร นางถลาเข้าหาบุตรสาวด้วยหัวใจที่แหลกสลาย
แต่ก็ถูกทหารผู้คุมกันไว้เสียก่อน
“หลันเอ๋อร์ หลันเอ๋อร์ ลูกแม่ ฮือ ฮือ”
เสียงร่ำไห้ปานใจจะขาดของพระชายาชินอ๋องไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารหรือเห็นใจ กลับกัน พวกเขาต่างสมเพชและสาแก่ใจกับโทษทัณฑ์ที่คนตระกูลเสวียนได้รับมากกว่า หากไม่ติดว่านางเป็นพระชายาแห่งชินอ๋อง ไม่แน่ว่านางอาจจะถูกรุมกระทำเฉกเช่นบุตรสาวก็เป็นได้
“หลินเฉิงจวิน ท่านช่างอำมหิตยิ่งนัก นางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่านนะ ท่านมันคนไม่มีหัวใจ ฮึก เพื่อยกฐานะนังแพศยา ท่านทำลายเกียรติของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าไม่เคยเอามาใส่ใจ ต่อให้ต้องการยกฐานะสายเลือดชั้นต่ำนั่น ข้าก็ไม่ขัดขวาง แต่เพราะเหตุใด...เพราะอะไร ท่านถึงต้องทำลายชีวิตของบุตรทั้งสองของข้าด้วย เหตุใด...ต้องกวาดล้างตระกูลของข้า พวกข้าทำผิดอะไร ทำไม...ทำไม ฮือ ฮือ”
พระชายาเสวียนด่าทอสามีต่อหน้าผู้คนพร้อมกับร่ำไห้ด้วยหัวใจที่ร้าวราน
แม้จะไม่เคยมีความรักให้กันเฉกเช่นสามีภรรยาทั่วไป แต่นางก็นึกไม่ถึงว่า สามีผู้นี้จะมีจิตใจที่อำมหิตมากกว่าที่คิด
เขาสามารถนั่งมองดูบุตรชายของนางถูกตัดหัวโดยไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ
“พระชายา ตระกูลเสวียนก่อกบฏ หลักฐานชัดเจน ไม่มีใครใส่ร้ายทั้งนั้น ส่วนคุณชายน้อย หากไม่คบคิดกับแม่ทัพเสวียน ก็คงไม่ต้องจบชีวิตลงเช่นนั้น” หัวหน้าศาลต้าหลี่ทำทีอธิบาย หากว่าแต่ละคำพูดนั้นกลับกระตุ้นให้ผู้คนต้องรู้สึกโกรธแค้นขึ้นไปอีก
ทุกประโยคล้วนเข้าหูหลินเฟยหลัน หัวใจของนางกระตุกวาบ “เสด็จแม่ เกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย เกิดอะไรขึ้น บอกข้าที...บอกข้า”
เมื่อหันกลับไปมองบุตรสาว ทำให้พระชายาเสวียนจุกที่ลำคอ
หัวหน้าศาลต้าหลี่แสร้งถอนหายใจ แล้วตอบแทน “ก็หลิน อ้อ...ไม่ใช่ ต้องเรียกว่า เสวียนเฟยฉี จึงจะถูก เพราะเขาถูกถอดออกจากราชวงศ์แล้ว ทั้งยังถูกประหารไปพร้อมกับตระกูลเสวียน ในข้อหากบฏอย่างไรเล่า”
“มะ ไม่จริง ไม่ ไม่จริงงงงงง ฉีเอ๋อร์ น้อง น้องข้า ไม่จริงงงงงง ไม่” ได้ยินเช่นนั้นแล้ว อดีตพระชายาองค์ชายเจ็ดกรีดร้องขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
จนผู้คุมต้องกดตัวนางลง ใบหน้าของนางกระแทกลงที่พื้นอย่างแรง ทำให้กรามที่ถูกกระแทกนั้นหักจนเจ้าตัวต้องร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด
เจ็บปวดงั้นรึ ไม่เลย ไม่เจ็บสักนิด หัวใจของข้าต่างหากที่เจ็บเจียนตาย
“หลันเอ๋อร์ พวกเจ้า ปล่อยลูกข้านะ ปล่อยนาง หลันเอ๋อร์ ลูกแม่ ฮือ ฮือ” เสียงของมารดาที่ร่ำไห้ทำให้หลินเฟยหลันฝืนลืมตาขึ้นมา
สายตาของนางทอดมองไปที่พลับพลา
“ทะ..ท่าน..ช่าง..อำ..มหิต..นัก” หลินเฟยหลันใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่เหลืออยู่แค่นเสียงออกมา
เพื่อราชบัลลังก์ของพี่ชาย เขาใช้ตระกูลเสวียนเป็นโล่คุ้มภัย เมื่ออำนาจมั่นคง เขาก็รื้อสะพานทิ้ง
เพื่อตำแหน่งผู้สืบทอดของบุตรชายคนโปรด เขาถึงกลับให้ร้ายน้องชายของนางจนต้องตกตาย
และเพื่อตำแหน่งพระชายาของบุตรสาวคนโปรด เขาใช้นางเป็นหินรองเท้าส่งให้น้องสาวผู้นั้นขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนั่นจนสำเร็จ
หึหึ ช่างเป็นบิดาที่เลวได้ใจยิ่งนัก
แต่ว่า...ต่อให้โกรธแค้นไปก็จะมีประโยชน์อันใดเล่า ในเมื่อทุกอย่างก็บรรลุตามที่คนพวกนั้นต้องการ จะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้
ห่วงก็แต่...
“สะ... เสด็จ.. แม่..ขอ ขะ..ข้า ขอ..”
หัวหน้าศาลต้าหลี่เหลือบตามองด้วยความรู้สึกสมเพช “อ้อ ได้สิ ไหนๆ ก็จะจากกันแล้ว ให้พวกนางได้บอกลากันหน่อยเถอะ”
เมื่อทหารผู้คุมเปิดทาง พระชายาเสวียนก็ถลาไปหาบุตรสาว มือที่สั่นเทาประคองบุตรสาวขึ้นมากอดอย่างทะนุถนอม “หลันเอ๋อร์ ลูกแม่”
หลินเฟยหลันพยายามเปล่งเสียงออกมา “สะ..เด็จ เสด็จแม่ อะ...อภัยให้...ลูกด้วย”
“หลันเอ๋อร์ ไม่เป็นไรลูกรัก แม่ไม่เคยโกรธเจ้า เป็นแม่ที่ไม่ดี ไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดีเท่าที่ควร ฮึก” ผู้เป็นมารดาสะอื้นไห้ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย
นางยิ้มบางให้มารดา มือผอมแห้งที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูกยกขึ้นมาลูบใบหน้ามารดา เพื่อเก็บเป็นความทรงจำในแสงสุดท้ายของชีวิต
ดวงตาเรียวค่อยๆ หลับลงช้าๆ หยดน้ำตาแห่งความอาลัยมารดาหยดลงมาเป็นหยดสุดท้าย
แม้แต่ถ้อยคำลาครั้งสุดท้าย นางก็ไม่มีโอกาสได้เอื้อนเอ่ย
ชาตินี้ลูกอกตัญญูยิ่งนัก ทำให้เสด็จแม่ทุกข์ใจ หากชาติหน้ามีจริง ขอให้ลูกได้เกิดมาเป็นลูกของเสด็จแม่อีกครั้งนะเพคะ
ลูกรัก แม่ขอโทษ ที่ทำให้เจ้าไม่มีโอกาสได้ออกมาใช้ชีวิตเฉกเช่นคนอื่น
เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ คุณหนูหลายคนก็ยังไม่อยากจะกลับ เพราะอยากจะอยู่คุยกับพี่สาวหลิน จนหลินเฟยหลันต้องรับปากว่า อีกครึ่งเดือนจะเชิญมาที่จวนอีก ดรุณีน้อยจึงยินยอมอย่างว่าง่ายเสวียนเยี่ยนฟางรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ครั้งนี้ชื่อเสียงของบุตรสาวเป็นไปในทางที่ดี ทั้งสิบตระกูลมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา แม้ไม่สามารถเกี่ยวดองกันได้ แต่หากสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี บุตรสาวของนางย่อมไม่เสียเปรียบ ส่วนบุตรชายก็พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วยเมื่อส่งทุกคนกลับไปหมดแล้ว นางจึงเอ่ยกับบุตรสาว “ดึกแล้วไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ลูกคงเหนื่อยมาก”หลินเฟยหลันจึงกอดเอวมารดาอยา่งออดอ้อน “เพคะ เชื่อฟังเสด็จแม่ รักเสด็จแม่ที่สุดเลย”หลินเฟยฉีก็ไม่ยอมหน่อยหน้าพี่สาว “ฉีเอ๋อร์ ก็รักเสด็จแม่ เชื่อฟังเสด็จแม่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”“แม่ก็รักลูกทั้งสองคนเช่นกัน” เสวียนเยี่ยนฟางไม่หวงที่จะบอกรักบุตรทั้งสองนางได้รับคำแนะนำจากพี่สะใภ้ไม่น้อย เมื่อทำตามก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกนั้นดีขึ้นมากหลังจากที่ส่งน้องชายเข้าเรือน หลินเฟยหลันก็กลับไปยังเรือนของตัวเองที่อยู่อีกฝั่ง โดยมีจูฉีเดินตามหลังแต่เมื่อเดินผ่านตรงบริเวณสระน้ำ
แล้วฮ่องเต้อนุญาตให้พระชายาเสวียนย้ายไปพำนักที่จวนแถวชานเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ชาวเมืองที่เห็นขบวนอันยาวเหยียด จึงสอบถามจากคนเฝ้าประตูก็ได้ความว่า ท่านหญิงหลินได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัว พระชายาเสวียนเกรงว่า ท่านหญิงหลินจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง จึงย้ายที่ประทับไปที่จวนชานเมืองเป็นการชั่วคราวแม้ว่าฮ่องเต้จะออกคำสั่งห้ามแพร่งพราย แต่ปากคนหรือจะห้ามได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่องค์ชายสี่ดูแคลนท่านหญิงหลิน หรือเรื่องที่ท่านหญิงหลินและท่านชายหลินถูกองค์หญิงเก้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ต่างแพร่สะพัดในเขตราชวังขุนนางที่มาร่วมประชุมในช่วงเช้าต่างก็พลอยได้ยินข่าวลือไปด้วยกำแพงล้วนมีหู ประตูย่อมมีช่องไม่นาน เรื่องราวก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงฮองเฮาต้องปิดตำหนัก เว้นการให้สนมเข้าคารวะเป็นเวลาหนึ่งเดือนส่วนพระสนมชุนต้องปิดตำหนักเงียบเช่นกันองค์ชายสี่และองค์หญิงเก้า ถูกลงโทษเพียงแค่กักบริเวณในตำหนักเท่านั้นทำให้ขุนนางหลายฝ่ายเคลื่อนไหว เพราะท่านหญิงหลินถือเป็นคนในราชวงศ์เช่นกัน การที่ถูกดูแคลนจากคนของราชวงศ์ ขุนนางฝ่ายของเสนาบดีเสวียนย่อมไม่พอใจ ส่วนขุนนางฝ่ายตรงข้ามกับฮองเฮาและพระสนมช
“เสด็จแม่ น้องเป็นอย่างไรบ้าง” หลินเฟยหลันเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงหลินเฟยฉีกุมมือพี่สาวเอาไว้ “พี่หญิง ฉีเอ๋อร์ปลอดภัย ฮึก”เสวียนเยี่ยนฟางลูบศีรษะของบุตรสาว พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักผ่อนเสียก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”แต่หลินเฟยหลันกลับร้องไห้สะอื้น นางเอ่ยกับมารดาด้วยน้ำเสียงสั่น “เสด็จแม่ ลูกเจ็บ ที่นี่น่ากลัวเหลือเกินเพคะ มีแต่คนเกลียดพวกเรา ฮึก...องค์ชายสี่ บอกว่าลูกร้ายกาจ บอกลูกว่าไม่คู่ควรเป็นเชื้อพระวงศ์ ลู่ฟางซินต่างหากที่สมควรอยู่ในตำแหน่งท่านหญิงแห่งชินอ๋อง ฮึก..หากเปลี่ยนเป็นลู่ฟางซินกับลู่เฟยเทียน คงจะมีแต่คนรัก ฮืออออ...เสด็จแม่ ลูกไม่เป็นแล้วท่านหญิง ไม่เป็นแล้ว..ลูกจะไปอยู่กับท่านตา ไปเป็นคุณหนูเสวียน พาลูกกลับ ลูกกลัว พาลูกไปอยู่กับท่านตานะเพคะ ฮือออออออ”เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายน้ำ ทำเอาเสวียนเยี่ยนฟางสะท้านในใจ จึงตอบ “ได้ๆ พวกเรา จะไปอยู่กับท่านตา”นางมิได้ล้อเล่น คนพวกนี้ทำร้ายร่างกายบุตรสาวนางยังไม่พอ ยังมาพูดจาทำร้ายจิตใจบุตรสาวของนางอีกคิดว่าข้าอยากเป็นเชื้อพระวงศ์นักรึ!องค์ชายสี่องค์หญิงเก้าอย่าหาว่าข้ารังแกเด็กก็แล้วกัน!หมอหลวงหญิงและ
“พี่หญิงเขาไปแล้ว แล้วเราจะไปดูปลาที่ไหน” หลินเฟยฉีสะกิดพี่สาว เขาไม่ได้สนใจการมากันไปของผู้ใดทั้งสิ้น เขามีเพียงพี่สาวเท่านั้น ในเมื่อองค์ชายสี่ไม่ใยดีต่อพี่สาว เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพแก่องค์ชายผู้นี้เช่นกันหลินเฟนหลันมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นนางกำนัลสองคนกำลังเดินมา นางจึงเอ่ยกับน้องชาย “เช่นนั้นเราลองถามนางกำนัลเถอะว่าสระที่มีปลาอยู่แถวไหน”ไม่ช้าสองพี่น้องก็ได้คำตอบนางกำนัลสองคนของตำหนักฮองเฮา รู้ว่าทั้งสองเป็นบุตรของพระชายาเสวียน จึงนำทางสองพี่น้องมายังบ่อปลาของฮ่องเต้ทั่วพระราชวังย่อมรับรู้ว่า พระชายาเสวียนและบุตร ต่างได้รับป้ายทองพระราชทาน พวกนางที่พาท่านหญิงและท่านชายมาที่นี่ ย่อมไร้ความผิดเห็นปลาตัวโตสีขาว แต่มีลวดลายหลากสี ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม สีแดง หรือบางตัวก็มีสีเหลืองแซม แหวกว่ายไปมา หลินเฟยฉีที่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นจึงรู้สึกตื่นเต้น เขาวิ่งทางที่ปลาแหวกว่ายไปอย่างร่าเริงในอุทยานหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ที่งดงาม ผีเสื้อหลากสีสันก็ต่างเข้ามาดอมดม หลินเฟยหลันเองก็รู้สึกว่าอยากจะวิ่งเล่นแบบนั้นบ้าง หลังจากที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องเพราะต้องพิษมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มารด
เมื่อจับร่างอันบอบบางขอบบุตรสาวหันซ้ายหันขวาขวาอยู่หลายครั้งจนพอใจ เสวียนเยี่ยนฟางก็พยักหน้า ทำให้หลินเฟยหลันต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกฮองเฮามีประสงค์ให้ทั้งสามเข้าเฝ้า นางก็ถูกมารดาจับแต่งตัวมาเกือบหนึ่งชั่วยาม เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกก็ยังไม่ถูกใจมารดาของนางเสียที หลินเฟยฉีที่นั่งกินขนมรอจนอิ่ม เขาแทบจะหลับไปอีกรอบรถม้าของพระชายาเสวียนมาถึงประตูพระราชวัง หลังจากได้รับการตรวจตราพอเป็นพิธี ทหารองครักษ์ก็นำทางทั้งสามไปยังทางเข้าพระราชวังฝ่ายในเส้นทางที่แคบ กำแพงสูงที่ขนาบตลอดทางเดินสร้างความกดดันให้หลินเฟยฉีไม่น้อย คิ้วของเขาขมวดยุ่งราวกับปมเชือกพอมาถึงประตูทางเข้าพระราชวังฝ่ายใน ทหารองครักษ์ที่นำทางก็ขอตัวกลับ พวกเขาไม่สามาถเข้าไปภายในเขตของฝ่ายในได้สามแม่ลูกเดินต่อไปจนถึงตำหนักของมารดาแผ่นดิน โดยที่ไม่มีแม้แต่นางกำนัลจะนำทางสีหน้าของพระชายาเสวียนยังคงเรียบเฉย นางไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ หากแต่ทดความโมโหนี้ไว้ในใจ โดยเฉพาะเจ้าของตำหนัก ที่ทำให้บุตรทั้งสองคนของนางต้องพลอยลำบากไปด้วยสองพี่น้องเหงื่อผุดเต็มใบหน้า พระชายาเสวียนมองภาพผู้เป็นพี่สาวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเห
หลังจากที่รับสำรับมื้อเที่ยง ผู้ใหญ่จึงปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่น ได้พูดคุยกัน เพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น ส่วนพวกเขาก็นั่งอยู่ที่ศาลาแปดเหลี่ยมไม่ไกลจากสวนที่เด็กๆ เล่นอยู่เสวียนไห่จึงเอ่ย “เรื่องราวร้ายๆ ก็ผ่านไปแล้ว พี่ใหญ่ น้องเล็ก อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย ท่านพ่อเองก็ไม่สบายใจที่ทั้งสองยังโทษตัวเองอยู่จนถึงทุกวันนี้”เสวียนเกาจึงหันไปสบตากับเสวียนเยี่ยนฟาง แล้วทั้งสองก็พยักหน้าเป็นเชิงรับปากเสียนหมิ่นจึงถามขึ้น “เอาล่ะเรื่องร้ายก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไรน้องเล็ก ในเมื่อไม่สามารถหย่าขาดจากหลินเฉิงจวินได้”เสวียนเยี่ยนฟางถอนหายใจ “ข้ามาลองคิดดูแล้ว ตอนนี้อาจจะยังเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมที่จะหย่าขาดกับหลินเฉิงจวิน เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็อยากให้หลันเอ๋อร์ได้ออกเรือนในฐานะบุตรสาวของชินอ๋อง”เสวียนเกาพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยเสริม “พี่เห็นด้วย อย่างน้อยหากพี่และท่านพ่อถอนตัวจากราชสำนัก ฐานะบุตรีของชินอ๋องยังสามารถทำให้หลันเอ๋อร์ได้แต่งเข้าในตระกูลที่ดีได้”“แต่สิ่งที่ต้องระวังคือสมรสพระราชทานกับองค์ชาย”แค่เพียงเห็นใบหน้าของหลานสาว อีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นโฉมสะคราญเช่นเดียวกับมารดา ก็ทำให้ท
Commentaires