ในสายตาของผู้คนทั่วแคว้นหาน...นางคือ 'นางร้าย' ที่แย่งชิงบุรุษของพี่สาว สตรีที่แสนงดงาม แต่เต็มไปด้วยเล่ห์กลจนทำลายโชคชะตาของผู้อื่น ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าภายใต้คำครหาเหล่านั้น กัวรั่วชิง เป็นเพียงสตรีผู้ถูกพันธนาการในกรงทองที่ปราศจากความรัก และต้องทนทุกข์อยู่ท่ามกลางความเย็นชาและแผนการอันชั่วร้าย แต่ในสายตาของ 'เขา' ...นางคือสตรีผู้ถูกเข้าใจผิดและรอวันปลดปล่อย หวงเชียนเล่อ แม่ทัพผู้ชาญฉลาดและมองคนออก เขาคือคนเดียวที่ไม่หลงกลภาพมายา และกลายเป็นแสงสว่างเดียวในชีวิตที่มืดมิดของนาง เมื่อชะตาที่ถูกตีกรอบกำลังจะเปลี่ยนไป ด้วยความกล้าหาญของหญิงสาวผู้ไม่ยอมจำนน และ 'ลิขิตรัก' ที่ถูกเขียนขึ้นใหม่ โดยชายหนุ่มผู้พร้อมจะปกป้องนางจนถึงที่สุด เรื่องราวของสตรีผู้ลุกขึ้นทวงคืนศักดิ์ศรีและตามหาความรักที่แท้จริง จะลงเอยด้วยความสุขที่นางสมควรได้รับหรือไม่ ติดตามได้ใน พลิกชะตานางร้ายลิขิตรัก
View Moreรถม้าประดับตราสัญลักษณ์จวงเซียงป๋อเคลื่อนเข้าจอดเทียบหน้าประตูใหญ่จวนเจิ้นหนิงโหว เด็กรับใช้ซึ่งประจำอยู่รีบนำบันไดเล็กมาวางตรงด้านข้าง เพื่อให้แขกคนสำคัญที่มาร่วมงานวันเกิดของท่านโหวได้ใช้สอยอย่างรู้งาน
ไม่นานนักบุรุษหน้าตาเกลี้ยงเกลาในชุดผ้าไหมชั้นดีสีฟ้าก็ออกมาจากหลังม่านประตู เขาก้าวลงจากรถแล้วยืนรอสตรีรูปโฉมงดงามซึ่งกำลังถูกสาวใช้ประคองตามลงมาทางด้านหลัง ใบหน้าเล็กต้องแสงตะวันยามสายส่งผลให้สตรีในชุดกระโปรงหรูฉวินสีเหลืองอ่อนปักลายดอกมู่ตานแลดูสูงส่งเปล่งประกาย ทว่าก็ให้ความรู้สึกละมุนละไมอ่อนหวานในขณะเดียวกัน
หากประเมินด้วยสายตา บุรุษและสตรีคู่นี้ช่างเหมาะสมคู่ควรกันอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแขกเหรื่อคนอื่นๆ กำลังมองทั้งสองด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
มีทั้งเห็นอกเห็นใจ และชิงชัง!
ก็ใครบ้างจะไม่รู้เล่าว่า สตรีหน้าตางดงามอ่อนหวาน ดูไร้พิษภัยอย่าง กัวรั่วชิง นั้นคว้าตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อจวงเซียงป๋อมาอย่างไร
ไร้ยางอาย! แม้แต่บุรุษของพี่น้องร่วมอุทรยังไม่ละเว้น
ให้สงสารก็แต่คู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1] อย่าง โจวจื่อหมิงกับกัวจิ้งอี คุณหนูใหญ่สกุลกัวที่ชาตินี้ต้องแคล้วคลาดไม่อาจต่อวาสนา เพราะอย่างไรชิงผิงโหวคงไม่มีทางยกบุตรสาวอีกคนมาเป็นอนุซื่อจื่อจวงเซียงป๋ออย่างเขาแน่นอน
คิดแล้วทุกคนก็ได้แต่ส่งสายตาเห็นอกเห็นใจไปยังบุรุษที่เดินนำสตรีไร้ยางอายผู้นั้นผ่านประตูใหญ่จวนเจิ้นหนิงโหวไป
กัวรั่วชิงเยื้องกรายตามโจวจื่อหมิงด้วยท่าทางสำรวม แม้จะถูกสายตาหลายคู่พุ่งเข้ามาทิ่มแทงราวห่าธนู แต่นางก็ได้หาหวั่นเกรง เพราะความจริงตนเองจะเป็นเยี่ยงไร ผู้อื่นหาได้มีสิทธิมาตัดสิน
คงมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถกระทำได้
ตั้งแต่กัวรั่วชิงแต่งเข้าสกุลโจว นางออกไปพบปะสังสรรค์หรือร่วมงานเลี้ยงตามจวนต่างๆ แทบจะนับครั้งได้ ยิ่งงานที่ต้องไปเป็นคู่กับสามีด้วยแล้วยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ สาเหตุมาจากคุณหนูและฮูหยินทั้งหลายมักมองมาด้วยแววตาเย้ยหยัน บ้างก็พูดจาเสียดสีว่านางเป็นสตรีร้ายกาจที่แย่งชิงบุรุษของพี่สาวตนเอง
เมื่อมองไปทางไหนก็เหมือนจะเจอแต่สายตาที่ส่งความหมายเป็นนัยว่า เจ้าอย่ามายุ่งกับข้า หรือ ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับนางจิ้งจอกเช่นเจ้า อยู่เป็นนิจ นางจึงตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงจวนจวงเซียงป๋อ รอให้พายุลูกนี้ผ่านพ้นไปเงียบๆ
แต่งานฉลองวันเกิดของเจิ้นหนิงโหวในครั้งนี้ กัวรั่วชิงไม่อาจไม่มาได้ เพราะนางอยากพบหน้าเพื่อนสมัยเด็กอย่างเหยาหลิงเจิน ซึ่งอาจเป็นเพียงคนเดียวในแคว้นหานยามนี้ที่ยังอยากจะเสวนากับตนเองอยู่
กัวรั่วชิงกับเหยาหลิงเจินเกิดปีเดียวกัน อีกทั้งชิงผิงโหวบิดานางกับเจิ้นหนิงโหวบิดาเหยาหลิงเจินเป็นทั้งสหายและศิษย์ร่วมสำนักศึกษา พวกนางจึงไปมาหาสู่กันตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทว่าเจ็ดปีก่อนเกิดเหตุไม่คาดฝัน เหยาหลิงเจินเกิดพลัดตกลงไปในสระน้ำกลางฤดูเหมันต์ แม้บ่าวจะลงไปช่วยไว้ได้ทัน แต่ดรุณีน้อยก็ถูกไอเย็นเล่นงานจนเป็นไข้สูง หมดสติสลบไสลอยู่บนเตียงกว่าสิบเอ็ดราตรี ครั้นพอตื่นขึ้นมา สติรับรู้ของนางกลับไม่เหมือนเดิม
กัวรั่วชิงจำได้ว่าตนเองนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียงเหยาหลิงเจินจนตาบวม เพราะไม่ว่าจะพูดกับเพื่อนรักเท่าไร อีกฝ่ายก็มองมาอย่างเหม่อลอยไม่ต่างจากตุ๊กตาไร้ชีวิต เพียงแต่ยังคงมีลมหายใจ กินได้ดื่มได้ก็เท่านั้น
หลังเกิดข่าวลือว่าบุตรตรีเพียงคนเดียวของเจิ้นหนิงโหวกลายเป็นคนเขลาแพร่สะพัดออกไป และต่อให้ท่านโหวพยายามอธิบายว่าร่างกายของบุตรสาวที่ป่วยหนักยังฟื้นฟูไม่เต็มที่เท่านั้น มิได้เสียสติวิปลาสตามเสียงเล่าอ้างทั้งหลาย แต่ผู้คนยังคงพูดปากต่อปากกันไม่หยุดหย่อนว่า คุณหนูจวนเจิ้นหนิงโหวสติไม่สมประกอบ
เมื่อต้องทนดูชื่อเสียงของบุตรสาวสุดที่รักค่อยๆ ถูกทำลาย ท่านโหวก็ตรอมใจอย่างหนักถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อในที่สุด
ครั้นความถึงพระกรรณฮ่องเต้ พระองค์ทรงเห็นพระทัยขุนนางภัคดีผู้นี้ยิ่งนัก ดังนั้นเพื่อให้บุตรสาวกับเจิ้นหนิงโหวได้พักฟื้นจากอาการป่วยในสถานที่ที่เหมาะสม และห่างไกลจากเสียงซุบซิบนินทาในเมืองหลวง พระองค์จึงมีราชโองการแต่งตั้งเจิ้นหนิงโหวไปเป็นเจ้าเมืองผิงเหยานับแต่นั้น
เวลาผ่านไปราวติดปีกบิน คนตระกูลเหยาจากเมืองหลวงไปถึงเจ็ดปี
หากหานอ๋องไม่ก่อเหตุความไม่สงบ จนต้องปลดและลดต่ำแหน่งขุนนางที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากมาย ก็ไม่รู้ว่าคนสกุลเหยาทั้งตระกูลจะได้กลับมาเมืองหลวงอีกเมื่อไร เพราะถึงแม้ราชสำนักจะมิได้ขาดแคลนคนมีความสามารถ ทว่ากลับมีผู้ที่ฮ่องเต้สามารถไว้ใจได้เพียงหยิบมือ พระองค์จึงมีราชโองการให้ขุนนางตงชินอย่างเจิ้นหนิงโหวกลับมารับตำแหน่งสำคัญที่เมืองหลวง
ถึงตอนที่จากกันเหยาหลิงเจินจะยังป่วยหนัก แต่กัวรั่วชิงได้ข่าวว่ายามนี้อาการของนางดีขึ้นจนสามารถตอบโต้กับผู้อื่นได้คล่องแล้ว ด้วยเหตุนี้ยังจะมีเหตุผลอะไรที่ตนเองจะไม่มาพบเพื่อนเก่าเล่า
“เชิญฮูหยินซื่อจื่อจวงเซียงป๋อตามบ่าวมาทางนี้เจ้าค่ะ” เสียงเรียกไม่หนักไม่เบาของคนนำทางปลุกกัวรั่วชิงจากภวังค์ความคิด
“ถ้างานเลี้ยงเลิกแล้วเจ้าก็อย่ามัวพิรี้พิไรอยู่เล่า จงรีบออกมาอย่าให้ข้าต้องยืนคอย” โจวจื่อหมิงย้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา นัยน์ตาไร้ซึ่งความอบอุ่นอ่อนโยนที่สามีควรจะมีให้ภรรยาอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าค่ะท่านพี่” กั่วรัวชิงตอบรับสั้นๆ
“หึ” โจวจื่อหมิงเค้นเสียงในลำคอ พลางเหลือบมองภรรยาของตนอย่างเย็นชา ในใจรู้สึกเพียงว่าท่าทางว่าง่ายอ่อนหวานเหล่านั้นเป็นเพียงการแสดงของนางจิ้งจอก เขาจะไม่มีทางหลงกลสตรีพรรค์นี้อีกเด็ดขาด
ใบหน้างามสะคราญยังคงสงบราบเรียบ คล้ายมิได้ใส่ใจ นางเพียงหันไปส่งสัญญานแก่หญิงนำทาง แล้วเดินตามไปยังบริเวณงานเลี้ยงรับรองสตรีซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งเท่านั้น
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง บุรุษและสตรีที่เติบโตมาด้วยกัน หรือคู่หมายตั้งแต่วัยเยาว์
หวงเชียนเล่ออ่านจบก็เก็บจดหมายเข้ากระเป๋าเสื้อ “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หวงเชียนเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านแม่แค่จะส่งจูเอ๋อร์มาทำธุระที่เมืองหลวง”“ฮูหยินคงส่งนางมาสอดส่องว่าท่านใช้ชีวิตเหลวไหลอย่างไรที่นี่มากกว่า”หวงเชียนเล่อหัวเราะอย่างขบขัน “เจ้าพูดถูกแล้ว ท่านแม่ของข้าคงจะคิดเช่นนั้น”“แล้วท่านไม่กังวลหรือ” หูจวี๋ถามอย่างเป็นห่วงหวงเชียนเล่อส่ายหน้า “ข้าไม่กังวลหรอก จูเอ๋อร์เป็นคนน่ารัก นางคงไม่ทำอะไรที่ไม่ดีต่อข้าหรอก”หวงเชียนเล่อเอ็นดูซูหมิ่นจูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ทั้งยังแอบคิดในใจว่า หากญาติผู้น้องได้พบกับกัวรั่วชิงและชื่นชอบในตัวนาง มารดาของเขาอาจจะยอมรับในตัวกัวรั่วชิงได้ง่ายขึ้น“เจ้าช่วยสั่งให้พ่อบ้านไปเตรียมเรือนพักรับรองให้ญาติผู้น้องของข้าที่กำลังจะมาเยี่ยม”“ขอรับ” หูจวี๋โค้งคำนับแล้วเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมา “ท่านแม่ทัพ แล้ว
เมืองหลวงในยามนี้เต็มไปด้วยกระแสลมแห่งข่าวลือที่พัดพาเรื่องราวจากจวนหนึ่งไปสู่อีกจวนหนึ่งอย่างรวดเร็วกว่าสายลมใด ๆ เสียงกระซิบกระซาบในตลาดน้ำชา ร้านอาหาร หรือแม้แต่ในงานเลี้ยงชั้นสูง ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเรื่องซุบซิบนินทาที่น่าสนใจจนผู้คนในเมืองต่างหูผึ่ง“เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าท่านหญิงกุ้ยอินสะใภ้ใหญ่ของไคกั๋วกงกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้ว” ชายผู้หนึ่งเริ่มบทสนทนากลางวงเหล้า“ใครว่านางเป็นแม่ไก่ออกไข่ไม่ได้ เพิ่งจะคลอดคนโตได้ไม่เท่าไร ก็มีอีกคนแล้ว ฮูหยินไคกั๋วกงคงชอบลูกสะใภ้มากขึ้นแล้วกระมัง” ชายอีกคนพูดพลางหัวเราะ“เจ้าคงไม่รู้ข่าวสำคัญอีกเรื่องกระมัง อ๋องเสเพลอย่างเว่ยอ๋องไปมาหาสู่ที่จวนเจิ้นหนิงโหวบ่อยอย่างกับเป็นจวนของตนเอง” ชายคนแรกรินสุราแล้วเล่าข่าวต่อ“เจิ้นหนิงโหวมีบุตรสาวสามคนคน แล้วท่านอ๋องไปหาผู้ใดล่ะ” ชายคนที่สามที่เงียบอยู่นานเกิดสนใจถามขึ้นมาชายผคนที่เปิดประเด็นลดเสียงให้ต่ำลง “บุตรสาวที่เป็นคนเขลาของเจิ้นหนิงโหวน่ะสิ”“จริงหรือ? ไอ้หย๋า...ท่
ครั้นเห็นว่าเด็กหญิงได้พบกับครอบครัวแล้ว หวงเชียนเล่อก็ได้เข้าไปชี้แจงเล็กน้อย “นางหลงไปทางโน้น บังเอิญข้าพบเขาจึงนำมาส่ง”“ขอบใจเจ้ามาก” ชิงผิงโหวรีบควักก้อนเงินเล็กๆ ออกมาหมายจะให้เด็กหนุ่ม“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าแค่ช่วยเหลือตามคุณธรรม”ชิงผิงโหวยิ้มบางๆ แล้วเก็บเงินกลับไป เพราะพอมองดูดีๆ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เด็กหนุ่มผู้นี้สวมใส่เขาคงไม่ใช่แค่เด็กเหลือขอทั่วไปแน่ๆ“พี่ชาย” หลังมารดาคลายอ้อมกอด กัวรั่วชิงก็เดินมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม แล้วชื่นชมอย่างจริงใจ “ท่านเก่งมากจริงๆ ท่านเป็นคนดี และกล้าหาญมากๆ”หวงเชียนเล่อรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงขึ้น เมื่อได้ยินคำชมที่เขาโหยหามาตลอดชีวิตจากเด็กสาวตัวเล็กๆ “เจ้ากล่าวหนักเกินไปแล้ว”กัวรั่วชิงยิ้มอย่างน่ารัก “ข้าพูดเรื่องจริงทั้งนั้น ท่านช่วยข้าเอาไว้ ภายภาคหน้าท่านจะต้องเป็นวีรบุรุษอย่างแน่นอน”การกระทำเล็กน้อยเพียงเท่านี้ กลับดูยิ่งใหญ่ในสายตานางปานนั้น มันทำให้หวงเชียนเล่ออดยิ้มออกมาไม่ได้“
สายลมยามบ่ายพัดผ่านผืนน้ำในทะเลสาบจนเกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงอาทิตย์ ห่างไกลจากความวุ่นวายของชุมชนและจวนขุนนาง หวงเชียนเล่อได้พากัวรั่วชิงมายังสถานที่ที่สงบเงียบราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ เขากลับมีสีหน้าที่ลึกซึ้งและแววตาที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนได้เขาเช่าเรือส่วนตัวลำเล็กที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สะอาดตา มีเพียงเบาะรองนั่งสีขาวสะอาดและโต๊ะไม้เล็กๆ ที่ตั้งถ้วยชาหอมกรุ่นกับถาดผลไม้สด“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่” หวงเชียนเล่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น ก่อนจะยื่นมือมาประคองกัวรั่วชิงเพื่อช่วยนางลงเรือ“ที่นี่งดงามยิ่งนัก” กัวรั่วชิงรับมือของเขาไว้ ก่อนจะก้าวลงเรือด้วยความระมัดระวัง นางสัมผัสได้ว่าวันนี้เขามีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากทุกวัน ซึ่งปกติจะมีกำแพงบางๆ ที่สร้างขึ้นมา แต่วันนี้เขากลับเปิดมันเพื่อให้นางก้าวเข้าไปเขานั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วหยิบถ้วยชาขึ้นรินให้นางก่อน “จู๋ฮวาชา เจ้าชอบหรือไม่”“ชอบเจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ คิดว
หลังจากที่หวงห้าวหยางเดินจากไป ซูจือเยว่ก็กลับเข้ามาในเรือนใหญ่ของตนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง นางไม่ได้ฟังคำปลอบโยนใดๆ จากข้ารับใช้ เพียงแต่สั่งให้ทุกคนออกไปให้หมด ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้จันทน์หอมด้วยความรู้สึกที่รุ่มร้อนในอกตั้งแต่แต่งงานกับจิ้งกั๋วกง ซูจือเยว่ไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับเรื่องน่าอับอายเช่นนี้มาก่อน ลูกชายของนางเป็นถึงหนึ่งในแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นในเพลานี้ มีเกียรติยศและชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน แต่บัดนี้กลับทำเรื่องที่เสื่อมเสีย เพียงเพราะสตรีชั้นต่ำผู้หนึ่งที่หย่าร้างจากสามีนางยิ่งคิดก็ยิ่งคับข้องใจ ดวงตาที่เคยมองโลกอย่างสง่างามบัดนี้เต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง“ไม่ได้การแล้ว ข้าจะปล่อยให้เชียนเล่อทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ต่อไปอีกมิได้” นางพึมพำกับตัวเอง มือที่ถือถ้วยชากำแน่นจนแทบจะบีบให้แตกละเอียด “หากบิดาของเขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ข้าก็จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวของข้าเอง”ซูจือเยว่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่เด็ดขาด ก่อนจะหันไปสั่งสาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่นอกเรือนด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “ไปเรียกคุณหนูซูหมิ่นจูมาพบข้
แคว้นเว่ยตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้นหาน เป็นดินแดนที่เปรียบเสมือนปราการเหล็กที่ไม่มีวันสั่นคลอน ท่ามกลางความสงบสุขที่ถูกสร้างขึ้นด้วยกำลังทหารที่แข็งแกร่ง เมืองฉางหยาง เมืองหลวงของแคว้นเว่ยกลับไม่ได้ถูกสร้างด้วยความโอ่อ่าหรูหราเหมือนเมืองหลวงของแคว้นหาน แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยความมั่นคงและแข็งแรง ถนนสายหลักที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าและตลาดที่คึกคัก แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของความเป็นเมืองชายแดนที่พร้อมจะรับมือกับภัยสงครามได้ตลอดเวลาท่ามกลางบรรยากาศแสนสงบที่คุ้นเคย จวนที่โอ่อ่าที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองฉางหยางกลับมีบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจวนจิ้งกั๋วกงของตระกูลหวงที่เคยเต็มไปด้วยความสง่างามตามแบบฉบับตระกูลแม่ทัพ บัดนี้กลับมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล หวงห้าวหยางผู้เป็นจิ้งกั๋วกงและซูจือเยว่ผู้เป็นฮูหยิน กำลังนั่งจิบชาอยู่ในเรือนหลักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“ท่านพี่... การไปเมืองหลวงของเชียนเล่อกับเว่ยอ๋องในครั้งนี้นานผิดปกติไปหน่อยหรือไม่เจ้าคะ” ซูจือเยว่เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ “ปกติแล้วหลังจากส่งบรรณาการเสร็จ เว่
Comments