หนี้ชีวิตที่มีชีวิตแม่เป็นเดิมพัน พันธนาการน้องเทียนเอาไว้กับความแค้นชีวิตด้วยชีวิต... บุญคุณ ความแค้น ความรัก ในเส้นทางสายรักที่รสรักล้ำเลอค่า สองชีวิต แม่ลูก ปรารถนา กับ เทียน รัฐยา จบสิ้นกันในคืนที่ฝนตกหนัก มีคนทำให้แม่ตาย ชีวิตหนุ่มน้อยพลิกผัน ต้องไปอยู่ในบ้านของคนอื่น มีพี่ชายคนใหม่ที่แสนดีอย่างภากร แม้คุณนายแสงเดือน แม่ของพี่ชายจะร้ายกาจนัก วันเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ที่เร้นรอยก่อตัวขึ้นเงียบๆ ของเทียนกับภากร ทว่าความลับในคืนฝนพรำเบื้องอดีตย้อนกลับมา ภากรคือฆาตกรฆ่าแม่...อย่างนั้นหรือ เขาขับรถชนแม่ ชนเธอ เหล็กที่ดามในขายังคงปวดแปลบทุกคราหน้าหนาวเยือน มีม่านมาบดบัง...เทียนเริ่มไล่ต้อนให้ภากรทั้งรักและหลง...ก่อนเทียนจะหนี! เทียนหนีจากเขา รสสวาท ความสัมพันธ์ที่ลงลึกทำให้ภากรเจียนคลั่ง การตามหาเทียนเพื่อพบว่าเธอเกลียดเขา เธอแค้นเขาและเธอจะเอาคืน เทียนจะฆ่าภากร ล้างแค้น ปิดบัญชีหนี้ได้หรือไร ใครคือฆาตกรตัวจริง พันธนาการทั้งกายและใจจะทำให้เทียนเอาชีวิตภากรเซ่นสังเวยให้ดวงวิญญาณแม่ได้หรือไม่ ติดตามชีวิตของเทียนใน “หนี้พันธนาการ”
Voir plus“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”
ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ
“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”
ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง
“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”
ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว
“ไปเต้นรำกันดีกว่า”
หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากที่สุด เป็นคู่ที่ถูกนินทามากที่สุดว่าจะลงเอยกันหรือไม่
“ภากรกับภคินีนี่จะแต่งงานกันไหม”
เสียงเปรย ๆ ถาม แต่ดวงตายังไม่ยอมมองคลาดไปจากสองร่างที่ออกไปซบกันนิ่งอยู่กลางเวที กับเพลงที่จังหวะไม่ได้ชวนให้ซบกัน
“ดูซิ ทำยังกะว่าอยู่กันสองคนเท่านั้นเอง”
“ก็สองคนมาแต่ไหน ๆ แล้ว นายกรมันเอาใจยายนีเหมือนเอาใจแม่”
กับความอ่อนโยนของภากร มีหลายคนมองไปว่าเขาอ่อนแอเกินไปแต่เขาไม่ใช่ผู้ชายอ่อนแอ เพียงแต่ได้รับการอบรมมาแบบนั้น ให้ปรารถนาพและอ่อนโยนกับเพศหญิงที่อ่อนโยนกว่า สำหรับคนที่ไม่เคยมองอย่างลึกซึ้งก็จะมองเป็นว่าเขาอ่อนแอเกินไปจนยอมให้ภคินีครอบงำเขาได้
แต่ภากรรู้ว่าเพราะเขารักภคินี เขาเชื่อมั่นเช่นนั้น เชื่อมั่นว่ามันเป็นความรัก
แต่ภคินีซิยังสงวนท่าทีนัก เขาไม่เคยเข้าใจภคินีเลย แม้ในยามที่เขาได้กอดรัดหล่อนเอาไว้ในอ้อมแขนตัวเอง เคลื่อนตัวไปมาบนเวทีชั่วคราวนี้ เขาก็เหมือนได้กอดหญิงแปลกหน้าหล่อนซบอยู่ตรงหัวไหล่เขา
“กรไปนอกคราวนี้ กะไว้ว่าจะไปกี่ปี”
หล่อนมีคำถามที่ทำให้เขาดึงความคิดกลับมา
“ผมว่าจะไม่เกินสองปีนะ จะรีบไปรีบมา”
“นีจะตามไปบ้าง เบื่อจะต้องทำงาน”
แต่ภาษาอังกฤษของหล่อนไม่สู้ดีนัก ภคินีเรียนจบมาอย่างหวุดหวิด หล่อนเบื่อหน่ายการเรียนและเมื่อเข้าทำงานได้ตามการฝากของครอบครัว หล่อนก็บ่นอยู่เสมอว่าไม่อยากทำงาน เข้าไม่เคยเข้าใจว่าภคินีชอบสิ่งใดบ้าง
ดูเหมือนเจ้าตัวความเบื่อนั่น จะไม่เคยไปไกลห่างจากหล่อนเอาเสียเลย
“ขอเรียนภาษาก่อน”
“ตามไปเร็ว ๆ ก็ดีนะ”
เขากระซิบเบา ๆ ข้างหูหล่อน ใบหูขาวสะอาดที่หล่อนไม่เคยใส่ตุ้มหู ไม่มีรอยเจาะเปล่าเปลือยและเล็กกะทัดรัด เป็นจุดที่เขาชอบที่จะเคล้าเคลียเล่นเสมอ
“บางทีเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
หล่อนเงยหน้าขึ้นยิ้ม ดวงตาแพรวพราว
“คุณแม่กรรู้เข้า คงจะขึ้นเครื่องไปฉีกอกเอาน่ะซิ”
ชื่อเสียงของคุณนายแสงเดือนนั้น ภคินีรู้มาเป็นอย่างดี
“ไม่อยากจะเจอ ธันกลัว”
“นี่ผมก็รับปากไว้กับแม่ว่าจะรีบกลับบ้าน กี่ทุ่มแล้วนี่”
เขามองดูเวลา แล้วก็บอกภคินี
“กลับบ้านก่อนดีกว่า” ฟ้าข้างบนดูขาวอย่างประหลาด “เหมือนฝนจะตก ลมแรงด้วย”
พูดยังไม่ทันขาดคำดีนัก ฝนเม็ดเล็ก ๆ หยาดเย็นก็หล่นมากระทบแขนที่พ้นจากเสื้อปกปิด
“ผมไม่ชอบขับรถตอนฝนตก”
“นีขับให้ก็ได้”
หล่อนบอก ยอมเดินตามเขากลับมาที่โต๊ะ และเมื่อภคินีคว้าแก้วเหล้าขึ้นดื่มต่อ เขาอยากจะห้ามแต่เขาช้าไปอีกตามเคย ภคินีดื่มจนหมดแก้ว แล้วถือแก้วเดินไปยังบาร์เล็ก ๆ มุมสนาม หล่อนดื่มจัดเหลือเกิน หลายหนที่ภากรอยากจะเชื่อว่าภคินีติดเหล้าแต่ก็ไม่ปักใจมากนัก เพราะยามดี ๆ ที่หล่อนไม่ดื่มก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง เขาเดินตามไปแตะบ่าหล่อนเบา ๆ
“อีกแก้วแล้วกลับนะ”
บ้านของภคินีอยู่ชานเมืองในสวนแถวฝั่งธน เขาจะต้องไปส่งหล่อนก่อนตามประสาสุภาพบุรุษแล้วค่อยตีรถกลับมาย่านลาดพร้าว ที่พำนักของเขาเอง เขาไม่ชอบถนนสายเปลี่ยวแถวนั้นสักเท่าใด แต่เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้ภคินีได้นั่งแท็กซี่กลับเอง เพราะยิ่งจะทำให้ความห่วงใยของเขาเพิ่มขึ้นอีกเป็นล้นพ้นอย่างแน่นอน
จะฝากหล่อนไปกับเพื่อนคนอื่น เขาก็รู้สึกว่าเขาทำหน้าที่ของตัวเองไม่ครบถ้วน
ฝนหนาเม็ดมากขึ้นเมื่อเขาลากภคินีจากบาร์นั่นได้สำเร็จ หล่อนใกล้จะเมากับน้ำเสียงที่เพี้ยน ๆ และเสียงหัวเราะที่ร่วนเกินไป เขาบอกลาเพื่อน ๆ รีบพาหล่อนมาขึ้นรถ
“ให้นีขับ” หล่อนบอก ผลักเขาออกไปห่างหลังจากไขกุญแจแล้ว “อยากขับรถ”
“ผมขับเองดีกว่า”
“น่าขอขับหน่อย หรือว่าหวงรถใหม่”
หล่อนทำเสียงกระแนะกระแหนเขาเสียอีก
“แม่เพิ่งเปลี่ยนรถให้นี่ หวงนักซิ ถ้าหวงก็ไม่นั่งดีกว่า”
หล่อนสะบัดเสียงเข้าใส่เขา และนั่นทำให้ภากรต้องยินยอมแม้จะหวาด ๆ อยู่กับฝีมือการขับรถของภคินี หล่อนขับรถเร็ว และชอบการ ‘ซิ่ง’ เป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่หล่อนอยู่หลังพวงมาลัยดูเหมือนภคินีจะไม่นึกถึงอนาคตที่ยังหลงเหลืออยู่นอกจากความั่นในอารมณ์เพียงประการเดียวเท่านั้น
“ก็ได้”
พอเขาตกปากอนุญาต หล่อนก็ยิ้มได้หวานแฉล้มดุจดังเดิม และจูบแก้มเขาอย่างเอาใจอีกทีหนึ่ง ก่อนจะกระวีกระวาดไปนั่งหลังพวงมาลัย ปล่อยให้ภากรขึ้นนั่งอีกด้านด้วยท่าทีเซ็ง ๆ
“ขาเป็นไงมั่ง”“เทียนพอจะเดินได้มากแล้ว”“ก็ดีนี่เธอ ฉันอยากจะเตือนสักเรื่องหนึ่ง ภากรน่ะเป็นหนุ่มแล้ว เขาไม่เคยมีน้อง เขาอาจจะเอาใจใส่เธอมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไยดีเธอแบบสายเลือดแท้ๆ พี่น้องแท้ๆ เข้าใจไหม”รัฐยาร้อนไปทั่วกาย เขายังไม่เคยมีแฟน“เทียนสาบานได้ว่าไม่เคยคิดตีเสมอ”เขาละล่ำละลักบอกปากสั่นไปหมดแล้ว“เทียนนับถือคุณภากร”“ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปเถิดนะ…ฉันน่ะกลัว…เพราะเห็นมาเยอะแล้ว และก็ไม่อยากให้ลูกชายมีพี่มีน้องที่เป็นคนนอก”“เทียนไม่ได้คิด”เขาบอกย้ำ….ดวงหน้าเผือด“นี่นายเทียน….”คุณนายเข้ามาใกล้อีกนิด….มื้อเอื้อมมาข้างหน้าแล้วแตะคางมองเด็กหนุ่มขึ้นมา รัฐยาตัวแข็งทื่อ เขารับรู้จากสัมผัสนั่นว่าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์…และแววตาของคุณนายที่เขามองเห็นก็ดูน่ากลัว ปราศจากความเป็นมิตร และก็ยังแปลความไม่ได้ว่านอกจากรังเกียจไม่เป็นมิตร ยังมีอะไรที่แอบซ่อนอยู่ เพราะรัฐยายังเยาว์วัยเกินไปนั่นเอง“ฉันขออะไรเธอสักอย่างนะ”“ครับ”เขารับคำด้วยเสียงแผ่ว ๆ รู้สึกแรงดันจากมือนั่นจะผลักคางของหล่อนให้แหงนเชิดขึ้น ดวงตาของเขาสาดกระทบไฟ เหมือนหวาดกลัว ไม่แน่ใจแต่คุณนายก็ยังไม่ปร
เธอเอื้อมมือมาแตะบ่าเขา จากสัมผัสบอกเธอว่าเขาทำตัวแข็งมากกว่าระดับปกติไปสักนิดหนึ่ง“เพราะลูกชายคนนี้ของแม่เป็นหนุ่มหน้าตาดี เรียนดี ฐานะก็ดีจะเอาอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า จริงไหมจ๊ะ”เขาเดินขึ้นมาข้างบนได้อย่างไร ภากรก็ไม่อยากจะแน่ใจเหมือนกัน เขารู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดที่คุณนายแสงเดือนบอกว่าตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาเคยเลิกคิดเรื่องนี้มาแล้ว ภคินีก็เคยทำให้เขาคิดมาก หล่อนดูแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องนี้ บางครั้งหล่อนก็หวานฉ่ำกับเขา แต่บางครั้งหล่อนก็เฉยเมยเหมือนคนแปลกหน้าไม่ใช่คนรักชายหนุ่มสลัดศีรษะแรง ๆ เขาไม่อยากจะเก็บเอามาคิดมาก แม่ไม่ชอบภคินีต่างหากเล่า แม่ถึงพูดออกไปแบบนั้นแม่กำลังเฉไฉแต่เขาจะไม่เฉไฉตามแม่เป็นอันขาดกำลังเดินไปตามทางที่จะไปห้องของเขา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงไม้กุกกักดังเป็นจังหวะ เขาชะงักก่อนจะเห็นรัฐยากำลังเดินมา ดึกแล้วน่าจะอยู่บนเตียงมากกว่ารัฐยายังไม่เห็นเขา ได้ยินแต่เสียงแต่เสียงถามอยู่ใสๆ“พี่ส้ม อย่างนี้เรียกว่าเทียนเดินได้ดีหรือยัง”“ไปวิ่งแข่งได้เลยละค่ะ”“กีฬาคนพิการน่ะซิ”เขาเดินเข้าไป และรัฐยาก็เบือนหน้ามามองเห็น ยิ้มหวานให้กับเขา ลักยิ้
รายงานจากคนติดตามภากรมาถึงเธอแล้ว คุณนายแสงเดือนเม้มปากแน่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรกับภากรเลยจนนิดเดียวมองด้านใดก็ไม่เห็น เธอไม่ปรารถนาจะรับภคินีมาเป็นลูกสะใภ้ ภคินีสอบไม่ผ่าน“เอาล่ะ” เธอบอกออกมาในที่สุด “ยังไม่ต้องเลิกติดตามเขานะ โดยเฉพาะเวลาที่เขามีแม่คนนั้นไปด้วย” แต่เธอก็บอกว่าเธอจะต้องไปพบภคินีอีกหนหนึ่ง โดยที่ภากรไม่รู้เรื่อง เธอไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามายุ่งกับลูกชายของเธอ อนาคตของภากรยังอีกยาวไกลนัก แต่เธอจะทำออกนอกหน้าไม่ได้ด้วยเธอไม่อยากจะเสียความเข้าใจอันดี ระหว่างตัวเองกับภากรไปเพราะเขาเป็นลูกคนเดียวที่เธอมีและภากรก็กลับมาถึงเกือบจะสี่ทุ่ม คุณนายยังไม่ได้ขึ้นนอนภากรโผล่เข้ามาเห็น สีหน้าของชายหนุ่มแสงเดือนนัก “แม่ยังไม่นอนอีกรึนั่น” เขาเดินเข้ามา นับแต่เติบโตแล้วเขาไม่ค่อยจะใกล้ชิดกับเธอนัก หากมีเวลาภากรมักจะขลุกกับพ่อมากกว่า “หน้าตาแม่เหมือนคิดอะไรอยู่”“มีเรื่องที่แม่คิดไม่ตก นั่งก่อนซิ แม่อยากคุยด้วย เรื่องจะไปเรียนน่ะรีบไปไม่ดีหรือ ไปทำตัวให้คุ้นเคยเสียก่อน”“ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรให้ปรับตัว ภาษาก็ไม่มีปัญหาอีกด้วย”“แม่เองคิดว่า
เขาอาทรต่อหล่อน ถามไถ่อย่างอ่อนโยน แตะหลังมือที่หน้าผากและซอกคอของหล่อน สัมผัสแบบนั้นน่าจะทำให้หล่อนวูบวาบได้บ้างแต่ไม่มีเลย….มันไม่มีจะวูบวาบสักนิดมันเย็นชืดสนิท…ก็ช่างเหลือเชื่อที่หล่อนกับภากรคบหากันมานานเหลือเกิน ทุกอย่างก็ไม่เคยมีรุกล้ำไปถึงความสัมพันธ์ทางเพศ มันไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนหนุ่มสาวยุคไฮเทคอีกหลายคู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหรือหล่อนกันแน่….เขาอาจจะปรารถนาเกินไปจนไม่ล่วงละเมิดต่อวัยสาวของหล่อนและภคินีเองก็ไม่เคยแน่ใจว่าชายคนนี้หล่อนรักเขาหรือเปล่า….หรือเพียงแต่หลงใหลกับความมีเงินของเขา หล่อนบูชาเงิน…ภคินีเชื่อว่าเงินคือพระเจ้าของชีวิต เงินจะซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วที่หล่อนเห็นมาล่าสุดก็คือเงินซื้อได้กระทั่งชีวิตคนตาย…อย่างเรื่องแม่คนนั้นที่ตายกลางถนนและเด็กหนุ่มที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นอย่างไร คืนนั้นหากไม่ใช่เพราะครอบครัวภากรมีเงินมีอิทธิพลแล้ว หล่อนอาจจะเข้าคุก แม้ภากรจะรับสมอ้างว่าเขาขับรถ แต่คนอย่างคุณนายแสงเดือนหรือจะยอมเชื่อง่าย ๆ เธอจะต้องขุดและคุ้ยจนหล่อนต้องรับสารภาพนึกถึงแล้วภคินีก็ขนลุกซู่ หล่อนกลัวคุก…หล่อนกลัวการถูกจองจำให้หมด
ปรารถนาไม่โกหกลูก หล่อนได้เอาความผิดพลาดในชีวิตไว้เตือนใจตัวเองและเตือนใจลูกชายด้วยปรารถนาไม่เคยดุด่าถึงชายคนที่ทำให้ได้กำเนิดรัฐยา ไม่มีการพูดถึงเขา แม้รัฐยาจะเคยอยากรู้จักชายคนนั้นสักเพียงใด ปรารถนาก็ปิดปากสนิท หล่อนเคยบอกกล่าวแก่รัฐยามากที่สุดก็แค่ชื่อและนามสกุลของชายคนนั้น ชายคนที่รัฐยาเชื่อมั่นว่าเขาได้หายสาปสูญไปแล้ว เหมือนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยเห็นนามสกุลนั้น ไม่เคยได้ยินอีกเลยและมันก็จบลงแค่นั้นด้วย เขานมีแม่ที่ให้หล่อนทุกอย่างโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดแคลนนักจะยากจนรัฐยาก็ชินกับมันเสียแล้ว ชินจนไม่รู้สึกรู้สมว่าจะต้องเคืองแค้นในชีวิตของตัวเองแต่อย่างใดและนี่เขาจะมีพ่อเขายังสงสัย“คุณจะหาพ่อให้เทียนหรือฮะ”เขาถามออกไป เป็นคำถามตลกหรือไร เพราะเห็นเขาหัวเราะ ชายวัยสี่สิบกว่าแต่ยังเป็นชายที่คงความสง่างาม เส้นผมที่ไม่ได้ย้อมมีสีขาวแทรกประปรายข้างหูกลับทำให้เขาดูดี….และรัฐยาก็นึกออกแล้วว่าภากรเหมือนใคร….เขามีความอ่อนโยนเหมือนชายคนนี้นี่เอง“คุณจะไปหาเจอที่ไหน”เขาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงหัวเราะที่ว่านั่นเลย” แม่บอกว่าเขาหายไปแล้ว หายไปจากชีวิตแม่ เขาไม่สนใจแม่ ไม่สนใจเทียนอีก
วิถีชีวิตของเขาแตกต่างออกไป เมื่อทอดสายตามองดูรอบ ๆ ตัวมันคือสิ่งที่รัฐยาไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิตนี้ มันเหมือนฝัน….แล้วเขาก็จะตื่นในเร็ว ๆ นี้ ตื่นลืมตายอมรับความจริงว่าทั้งหมดที่เห็นและครอบครองเป็นเจ้าของอยู่มันไม่ได้เป็นของเขา แต่ส้มก็ปลุกภวังค์นึกคิดของเขากลับคืนมา เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ ๆ กับตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงของส้ม“คุณหิวไหม?”สรรพนามที่ส้มเรียกเขาทำให้รัฐยาขนลุก เขาได้รับการยกย่องมากเกินไป“พี่ไม่ต้องเรียกเทียนว่าคุณหรอก”เขาบอกความจริงใจออกมา ส้มมองอย่างฉงน เด็กหนุ่มที่ส้มเห็นรูปงามนักแม้จะดูเศร้าสร้อย ส้มได้รับการบอกเล่ามาว่าเพราะเด็กนี่เป็นกำพร้า ไม่มีพ่อและแม่ก็ถูกรถชนตาย ท่านไปเจอเข้าเลยรับมาอุปการะส่งส้มมาเป็นคนใช้ส่วนตัวท่าทางของเขาดูอ่อนโยน จริงใจนัก“ไม่เป็นไรค่ะ”ส้มได้รับการอบรมมาแล้วอย่างดี คุณนายแสงเดือนไม่ชอบให้สาวใช้กระด้างกระเดื่องกับเธอ และส้มก็อยู่บ้านนี้ได้นานปีด้วยความอดทนของตัวเอง ส้มเป็นคนเรียนรู้ไวและค่อนข้างจะเงียบขรึมไม่พูดไม่จามากนัก“ให้เทียนเรียกพี่ส้มก็แล้วกันนะ….”เมื่อส้มไม่ยอม รัฐยาก็สรุปในที่สุด อาหารของเขาถูกจัดขึ้นมาบนห้อง….จานชุดสวย แล
ภากรอึ้งไป และก่อนที่จะได้ขยับตัว เสียงฝีเท้าก็ซอยออกมาจากข้างในกระทบถูกพื้นหินอ่อน…กลิ่นหอมฉุยโชยผ่านมา เขารู้ได้ทันทีว่าเป็นแม่ของเขา การปรากฏตัวของคุณนายแสงเดือนด้วยกลิ่นหอมกระจายกรุ่น และเธอก็สวยสดออกมาในชุดที่เตรียมพร้อมจะออกไปนอกบ้านได้ ดวงหน้าเนียนผ่องเต่งตึง….ไม่มีรอยเหี่ยวย่นตีนกาไม่เคยขึ้นตรงปลายตาของเธอ“นั่นอะไรกัน” เสียงเธอแหลมเมื่อมองไปเห็นลูกชายคุกเข่าอยู่กับพื้นหินอ่อน และบนเก้าอี้คือร่างบอบบางของรัฐยาที่นั่งอยู่…ขาอยู่ในเฝือกทั้งสองข้าง“กร...”เธอเรียกเขาด้วยเสียงหนัก ๆ คิดปราดไปไกล…กลัวนักว่าลูกชายจะมาหลงใหลได้ปลื้มกับเด็กคนนี้มิใช่ญาติ จะสนิทสนมทำไม“ลงไปนั่งแบบนั้นทำไม”เธอมองดูรัฐยา ดวงตาคมที่ระบายสีเอาไว้สดและเขียนรอบขอบตาด้วยสีดำเข้มจัดไปทั้งหมด เมื่อแสงจากกึ่งกลางดวงตาของเธอจ้าออกปานนั้นรัฐยาเมินหลบ ใจเต้นแรง เขากลัวผู้หญิงคนนี้….กลัวจนใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ และมื่อก็สั่นไปหมดแล้วภากรลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วถอยไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง“มาแล้วหรือ…จะมาอยู่ในบ้านนี้ใช่ไหม…” เธอถามรัฐยาโดยตรง “ขาเธอนั่นน่ะอีกนานไหมกว่าจะหาย”“หมอว่าอีกสองเดือนก็ถอดเฝือกได้ฮะ”เข
“หมอบอกว่าเธอจะออกไปได้วันจันทร์นี้”นายดำรงออกมาจากที่นั่งของเขา ไกลออกไปตรงเก้าอี้ยาวชิดผนัง ท่านั่งของเขาดูสบาย ๆ แต่เหมือนมีบารมีบางอย่างแผ่กระจายรอบตัวเขา เป็นชายที่ไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่เขาก็มีสิ่งหนึ่งที่บอกว่าเขาเป็นคนมีอำนาจชวนให้ยำเกรง รัฐยารู้สึกได้เหมือนเห็นเขา แล้วยำเกรงต่อเขารัฐยาเรียนรู้อีกด้วยว่าเขาจะเป็นที่พึ่งที่ใหม่ของเขาต่อจากแม่….แววตาของเขาที่แสดงออกจึงเปล่งแสงวิงวอนโดยที่เขาไม่รู้ตัวเหมือนกัน“เธอจะต้องไปเรียนหนังสือ….ต้องใช้ไม้ค้ำรักแร้ไปก่อน…เธอหัดเดินไปบ้างหรือยัง”“ยังเลยฮะ”“หมอคงจะหัดให้เธอเร็ว ๆ นี้ ฉันไปโรงเรียนของเธอ ทางโน้นบอกว่าเธอจะขาดเรียนได้แต่ไม่มากจนเกินไป เดี๋ยวจะเรียนไม่ทัน”“เทียนก็ไม่อยากขาดเรียน”รัฐยาบอก แม่เคยสอนเสมอว่าแม่ยากจน แม่ให้ได้แค่ส่งเสียให้เขาเรียนมาก ๆ ให้มีความรู้เป็นสิ่งพาตัวเองให้ทระนงองอาจ และหาเลี้ยงตัวเองสืบไปในวันข้างหน้า รัฐยาตั้งใจเรียนเสมอ ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับดีมาก แม้จะเป็นโรงเรียนย่านชานเมืองไม่ใช่โรงเรียนที่โด่งดังมากนักก็เถิดนายดำรงไปสอบถามเรื่องเกี่ยวกับเขามาแล้ว หากเขาจะต้องอุปการะเด็กส
รัฐยาไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้น เขายังไม่อยากจะคิดอะไรอีก เขาอยากจะไปพบแม่อีกสักหนหนึ่ง“เทียนอยากเจอแม่ฮะ…อยากไปงานของแม่…”คุณนายแสงเดือนทำท่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินรัฐยาสวนออกมาแบบนั้น“แหม…เธอนี่” เธอทำเสียงรำคาญอย่างเปิดเผย “ก็เดินไม่ได้ ขาเป็นอย่างนี้แล้ว ยังมีแก่ใจจะเดินไปงานแม่ตัวอีกหรือ…ฉันน่ะไม่บริการเธอถึงกับไปหารถเข็นมาพาเธอไปหรอกจ้ะ…นอนรักษาตัวก่อนเถิด นอนคิดสำนึกว่ามีคนใจดีขนาดนี้ ก็เป็นบุญคุณท่วมหัวแล้ว เรื่องแม่เธอก็ไม่ถึงกับเป็นศพไม่มีญาติ…ฉันถึงว่าบุญของเธอมันยังดี แถวนั้นออกจะเป็นบ้านนอก ยังมีคนไปพบเจอที่ใจบุญ”คุณนายไปแล้ว ทิ้งรัฐยาโศกเศร้าอย่างรุนแรง แล้วเธอก็ลากภากรกลับไปด้วยของอย่างนี้เธอคิดว่าต้องแยกลูกชายออกไปให้รวดเร็ว เธอไม่แน่ใจเพราะภากรของเธอเป็นคนใจอ่อนและแสนดีเกินไป“กลับบ้านกับแม่จ้ะ”////////////////////////////////////////////////////////ภากรไปหาภคินีที่บ้าน เมื่อหล่อนหายหน้าไปเลย พอเห็นเขา ภคินีก็ทำท่าเหมือนสะดุ้ง ก่อนจะยอมเข้ามาหา…ท่าทางของหล่อนยังขวัญเสียเมื่อดึงมือของเขาหลบออกไปจากสายตาของแม่ที่มองอย่างสนใจ“เป็นไงบ้าง…”เรื่องนั้นยังรบกวนหล
Commentaires