LOGINเมื่อความรักในชาติก่อนจบลงด้วยความตาย ทั้งนางและเขากลับได้โอกาสหวนคืนสู่อดีตอีกครา...ความรักครั้งนี้ยังจะถูกพรากอีกหรือจะครองคู่อยู่จนผมขาวโพลน
View Moreหลินซิ่วหรงสะดุ้งขึ้นจากฝัน
นางหอบหายใจถี่จนหน้าอกกะนเพื่อมสั่นไหว ดวงตาคู่งามเพ่งมองเพดานขาวโพลนตรงหน้าด้วยสายตาที่พร่ามัว หัวคิ้วเรียวค่อยๆ ขมวดมุ่นเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งท่ามกลางบรรยากาศที่ครุกขุ่นภายในห้อง เหตุใดที่ไม่ได้ใช่ไม่ใช่กลางป่าหกร้างแตากลับเป็น…เป็นเรือนของนางแทน? หลินซิ่วหรงและมองสายตาขวาเห็นเหล่าสาวใช้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาทั้งยืนและนั่งยืนอยู่เต็มเรือนต่างก็มองนางกลับด้วยสีหน้างุนงงไมาแพ่กัน ไม่ใช่ว่านางตายไปแล้งหรอกหรือ!? ความรู้สึกเจ็บจากลมดาบที่ลำคอก็จะแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง นางยังคงจำได้ไม่ลืม…มือขาวเรียวพลางยกขึ้นรีบกอบกุมลำลอทันที นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองเหล่าสาวใช้ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่คสผู้หนึ่ง น้ำเสียงหวานแหบแห้งเอ่ยถาม “ข้า…ยังไม่หรอกหรือ” หลินซิ่วหรงมั่นใจว่า เหตุกานณ์ในตอนนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น…ราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ดังนั้น…นางได้หวนกลับมางั้นหรือ!? เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้มีอยู่จริงๆ หรือ!? ทันใดนั้น ความสงสัยและคำถามมากมายแล่นขึ้นกลางอก เช่นนั้นแล้ว วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว นางได้กลับมาตอนไหนกัน ระหว่างก่อนเกิดเรื่องวุ่นวาย หรือตั้งแต่ก่อนที่นางและบุรุษผู้นั้นจะได้มีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน!? อิงหลันสาวใช้ข้างกายคุณหนูใหญ่ นางลุกขึ้นพรวดพราดก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ เตียงยื่นมือไปประคองก่อนจะพูดด้วยน้ำเจือแผ่วเบา น้ำเสียงเจือด้วยความเป็นห่วง “คุณหนูนอนพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ” นางหาได้ขัดขืนไม่ ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย ทว่าสีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความงุนงงเต็มสิบส่วน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกระพริบปริบๆ หลินซิ่วหรงกำบังจะอ้าปากถามออกไปอีกครั้งแต่จู่ๆ กลับได้ยินน้ำเสียงใสแผ่วเบาของอีกคนดังขึ้นเสียก่อน หลินซิ่วอันเดินเข้ามาก่อนจะนั่งลงขอบเตียงที่ว่าง นางยื่นมือออกไปกอบกุมพี่สาว สายตาทอดมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งด้วยความห่วงใจก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งด้วยความหนักอึ้ง “ไม่แน่เจ้าค่ะ ยามนี้ท่านพ่อรู้แล้วว่าพี่หญิงกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าคงพ้นถูกลงโทษแน่” สีหน้าของหลินซิ่วอันเต็มไปด้วยหนักอึ้ง ราวกับแบกก้อนหินร้อยชั่งเอาไว้ในอก วันนี้นาง ท่านแม่และท่านพ่อกำลังนั่งรอพี่หญิงออกมาจากเรือนเพื่อรับมื้อเช้าด้วยกัน ทว่าพออีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงกลับมีสีหน้าซีดเซียวและอิดโรยออกมาอย่างชัดเจนคล้ายจะเป็นลมล้มพับไปจนอดเป็นห่วงไม่ได้แต่พี่หญิงกลับมองว่าเพื่อแค่เมื่อคืนนอนดึกพักผ่อนน้อยเท่านั้นหาได้เป็นอันใดหรือไม่ได้รู้สึกสบายอันใดทั้งสิ้น แม้นางและท่านแม่จะเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้รบเร้าและพูดให้มากความ เพราะเกรงว่าพี่หญิงคงกำลังกัลวงเรื่องงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ต่างแคว้นในวันข้างหน้า ที่แม้จะไม่อยากออกเรือนไป ทว่ากลับไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของท่านพ่อได้ และไม่สามารถปฏิเสธได้แม้แต่สักครึ่งคำ บรรยากาศภายในห้องโถงยามเช้าของจวนสกุลหลินเงียบสงบ มีเหล่าสาวใช้คอยปรนบัติตักและยกอาหารให้ไปพลางๆ ทว่า พี่หญิงของนางยังไม่ทันได้กินสักคำแต่กลับกล่าว่ารู้สึกเหม็นพะอืดพะอมจะจวน ในจังหวะที่รู้ขึ้นนั้น เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะหน้ามือจึงโงนเอนเป็นล้มไปต่อหน้าต่อตาของนาง ท่านแม่และท่านพ่อที่มองอยู่ทว่ายังโชคดีที่สาวใช้ที่อยูาเข้าไปประคองไว้ได้ทันก่อนจะล่วงลงพื้น ตั้งแต่หลินซิ่วอันเกิดมาและจำความได้ พี่หญิงของนางสุขภาพแข็งแรงมากหาได้เจ็บป่วยปวดๆ อ้อดๆ แอ้ดๆ ไม่ แต่จูๆ อรกฝ่ายกลับเป็นลมล้มไปต่หน้าทุกคนเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ตกใจทั้งสิ้น จวนสกุลหลินที่เคยเงียบสงบกลับวุ่นวายขึ้นทันที เหล่าสาวใช้ต่างวิ่งวุ่นตามหาท่านหมอมาตรวจดูอาการของพี่หญิง จนกระทั่ง แค่พี่หญิงเป็นลมล้มไปต่อหน้าทุกคนไป ท่านหมอชราผู้นั้นตรวจสุขภาพพี่หญิงนานสองนานด้วยสีหน้าเครียดไม่น้อยคล้ายกับกลืนไม่เช้าคล้ายไม่ออกจนกระทั่งถึงได้กล่าวแสดงความยินดีกลับนาง ท่านแม่และท่านพ่อ หลินซิ่วอันเล่าเหตุการณ์หลังจากที่อีกฝ่ายเป็นล้มไปให้พี่สาวฟังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากระซิบกระซาบคล้ายหวาดกลัวว่าจะมีคนได้ยิน “ท่านพ่อ…ทั้งโกรธและโมโหมากเจ้าค่ะ” ตอนที่บิดาได้ยินถ้อยคำจากท่านหมอชราตรงหน้าตรงหน้าถึงกละบถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าคล้ายไม่เชื่อถึงขั้นสั่งให้สาวใช้อีกคนไปตามหมอมาตรวจดูอาการอีกทีทว่าตำตอบกลับเช่นเดิม ทั้งที่พี่หญิงยังไม่เคยแต่งงานและกำลังจะแต่งงานออกไปเชื่อมสัมพันธ์ในเร็ววันทว่าจู่ๆ กลับตั้งครรภ์เช่นนี้ นับว่าไม่ใช่เรื่องดีนัก “เขา ยังอยู่หรือ” น้ำเสียงหวานแหบพร่าเอ่ยถามสั่นเครือ นางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องผ่านผ้าอาภรณ์สัมผัส นัยน์ตาเมล็ดซิ่งวูบไหวอดนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น… นางหาได้ตาย…บุรุษผู้นั้นปกป้องนางด้วยชีวิตจนกระทั่งล้มหายใจสุดท้ายเพื่อให้นางและลูกได้มีชีวิตรอดทั้งที่เข่โกรธและเกลียดนางปานนั้น ทว่าทั้งที่เขสละชีวิตให้นางและลูกได้มีลมหายใจต่อแตากละบเป็นนางที่ลงมือปลิดชีวิตลูกและตัวเองเอง หากไร้เขาแล้ว…นางและลูกจะมีชีวิตไปเพื่ออันใดกัน หลินซิ่วอันสังเหตเห็นดวงตาคู่งามของพี่หญิงสั่นไหงและสั่นระริกก็พลันเข้าใจได้ทันที นางถอนหายใจอออกมา มือที่กอบกุมไว้กระชับแน่นไม่ยอมปล่อย “พี่หญิงก็คงรู้นิสัยท่านพ่อดีกระมัง” นางกลัวเหลือเกืนว่าบิดาจะสั่งให้พี่สาวของนางกินยาขับเลือด ฆ่าหลานของตนเองทิ้ง หลิ่วซิ่วหรงเหลือบสายตามองน้องสาว นางพลันรู้สึกจุกในอกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ในชาติที่แล้ว หากเหตุการณ์ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แม้ว่าบิดาของนางจะโกรธเกรี้ยวโมโหมากเพียงใด ถึงขั้นให้นางไปยืนสำนึกผิดและสารภาพที่หน้าป้ายบรรพชลของบรรพบุรุษสกุลหลินต่อความผิดที่ได้ทำลงไปทว่านางกลับไม่อาจเผยปาอกบอกได้จริงๆ หลินซิ่วหรงยืนอยู่แบบนั้นหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ โดยไม่นั่งพักเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งท่านพ่อยกเลิสั่งลงโทษเพราะเห็นแก่หน้าท่านแม่ที่ถึงขั้นคุกเข่าขอร้องออกวอนว่าให้เก็บเด็กในครรภ์ที่ไม่ได้ทำผิดเอาไว้ อย่างไรครรภ์นี้ยังมองไม่ออก ซ้ำหากไม่มีผู้ใดเอ่ยก็ไม่มีผู้ใดรู้ นางถอนหายใจออกมา ไม่รู้ควรควรจะเริ่มต้นหรือแก้ไขเหตุการณ์ในครั้งนี่ยังไง นางเหลือสายตามองน้องสาว “วางใจเถอะ ซิ่วอัน…เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อ แม้ว่าจะดูเป็นคนเจ้าระเบียบอยู่กฏเกรณ์อย่างไร ทว่าย่อมนึกถึงลูกและภรรยาเหนือกว่าสิ่งใดเสมอ” หัวคิ้วของหลินซิ่วอันขมวดมุ่นรู้สึกย้อนแย้งในใจ “ที่หญิงถูกบังคับให้แต่งงานออกไปเชื่อมสัมผัสก็เป็นเพราะท่านพ่อมิใช่หรอกหรือไร ที่เห็นแก่อำนาจในมือก่อนค่อยคำนึงนึกถึงภรรยาและบุตรที่สาว” น้ำเสียงของนางเจือด้วยความประชดประชันปนไม่พอใจ จู่ๆ วันนั้น ท่านพ่อก็กลับมาตวนพร้อมทั้งบอกว่าจะส่งพี่หญิงขึ้นเกี้ยวไปแต่งงานกับองค์ชายต่างแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ทั้งที่ไม่เคยถามความสมัครใจของพี่หญิงสักคำ! หลินซิ่วหรงได้ยินแบ้วกลับอดที่จะหลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นางเลิกคิ้วถามกลับ “ยามนี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าข้ากำลังท้ง หรือว่าเจ้าจะแต่งออกไปแทนข้าดี” “พี่หญิง!” หลินซิ่วอันถึงกลับร้องตกใจทันที “มิใช่ว่าข้าไม่อยากจะเสียสละเพื่อท่าน ทว่าท่านก็รู้ว่า ข้ามีบุรุษในดวงใจ” พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าคนงามพลันขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเคอะเขินทันที นางเข้าใจพี่สาวที่ไม่อยากแต่งออกไป หากนางไม่มีบุรุษมนดวงใจแล้วสถาการณ์กบืนไม่เช้าคล้ายไม่ออกเช่นนี้ หลินซิ่วอีนย่อมสละไปแทนได้ ใบหน้าของหลินซิ่วหรงปรากฏรอยยิ้มจางๆ หาได้ฉายแววน้องใจแต่อย่างใด “ช่างเถอะ เรื่องเช่นนี้ข้าจัดการได้ เจ้าก็ใช้ชีวิตของเจ้าไปเถอะ” จู่ๆ ในขณะนั้น เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังใกล้ขึ้น เดินดุ่มๆ เข้ามาข้างในเรือน ใบหน้าของแม่บ้านวัยชราเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดใสและความเหนื่อยหอบฉายออกมาอย่างชัดเจน นางยอบกายลงเล็กน้อยก่อนจะเหลือบสายตาไปมองคุณหนูใหญ่บนเตียงด้วยความโล่งเมื่อเห็นว่าฟื้นแล้ว ทว่าเพียงชั่วอึดใจกลับถํกแทนที่ด้วยความหนักอึ้งแทน “นายท่านมีคำสั่งว่า หากคุณหนูใหญ่ฟื้นแล้วก็ให้ไปหาที่เรือนเจ้าค่ะ” ยามนี้นายท่านโกรธกระฟัดกระเฟียดไม่น้อยมนางเองก็รู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ ไม่รู้ว่าคุณหนูจะถูกลงโทษอย่างไรกัน หลินซิ่วอันได้ยินแล้วบ่นพึมพำออกมาทันที “ท่านพี่หญิงพึ่งจะฟื้นยังไม่ทันหายดี ท่านพ่อใจดำเกินไปแล้วกระมัง” ใบหน้าของหลินซิ่วหรงปรากฏรอยยิ้มจางๆ นางเหลือบไปมองยังแม่บ้านชราก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยราวกับบอกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นจึงจะสายตาหันปลับไปมองน้องสาวทันที “คำพูดของท่านพ่อต่อต้านได้ที่ไหนกัน เอาเถิด…ข้าเองก็หาได้เป็นอะไรมาก สมคสรจะจัดการเรื่องนี้เสียที” หลินซิ่วหรงรู้แล้วว่านางได้หวนกลับมา แม้ว่าทุกอย่างจะเริ่มต้นไปแล้วทว่าก็ยังไม่สายเกินแก้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งที่นางยืนอยู่ตรงหน้าเพียงแค่เอื้อมแต่ซ่งเจิ้งอี้กลับรู้สึกว่าห่างออกไปไกลนัก คล้ายกับว่ายิ่งเขาเร่งฝีเท้าเดินกลับยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ จนไม่อาจจะคว้านางได้อีกแล้วสายตาคมกริบของซ่งเจิ้งอี้ยังคงจับจ้องมองศาลาริมสระบัวตรงหน้าอย่างไม่ละลดราวกับว่า หากเขากะพริบเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว หลินซิ่วหรงจะหายไป จนกระทั่ง จู่ๆ ร่างสูงใหญ่ของนายท่านหลินกลับยืนถมึงทึงอยู่ตรงหน้าซ่งเจิ้งอี้พลันหยุดชะงักฝีเท้ายืนนิ่งทันที ก่อนจะละสายตากลับมามองตรงหน้าแทน ใบหน้าหล่อเหลาเรียบไร้อารมณ์ไม่สะทกสะท้าน “นายท่า…”“เจ้ากล้ามาเหยียบสกุลหลินได้อย่างไร!” ยังไม่ทันสิ้นความ น้ำเสียงทุ้มของนายท่านหลินก็ดังกึกก้อง สะท้อนไปทั่วทั้งจวนแฝงด้วยความกดดันหนักอึ้งกดทับอยู่ในอากาศซ่งเจิ้งอี้ไม่หลบสายตา ใบหน้าหล่อเหลายังคงสงบนิ่งเขาแค่นเสียงฮึดฮัด น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ชัดเจน “ทั้งเมียและลูกของข้าต่างอยู่ที่นี่ นายท่านหลินคิดว่าข้าจะไปอยู่ที่หอคณิกาหรืออย่างไรกัน”“เจ้า!” นายท่านหลินกัดฟันกรอดกดเสียงต่ำใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ลมหายใจกระฟัดกระเฟียดฉายความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน “อย่าได้คิดอวดดีมายั่
ซ่งเจิ้งอี้ไม่สนใจว่าบุรุษผู้นั้นจะมาจากแคว้นอวิ๋นหรือมีฐานะสูงส่งเพียงใด ทว่ารอยยิ้มที่ควรเป็นของเขาเพียงผู้เดียวกลับถูกมอบให้บุรุษอื่น!หนังตาของเขาพลันกระตุกริกๆ อย่างห้ามอารมณ์ เรื่องนี้ไม่มีวันปล่อยผ่านไปแน่นอนใบหน้าหล่อเหล่าถมึงทึงย่ำแย่ไม่สู้ดี ภายในใจพลุ่งพล่านเต็มไปด้วยความหึงหวงภรรยาอย่างควบคุมไม่อยู่ ซ่งเจิ้งอี้ไม่รอช้า ก้าวเท้าออกจากเรือนทันทีแม้ว่านางจะสั่งห้ามเอาไว้ก่อนหน้านี้เหล่าสาวใช้ที่เดินผ่านต่างเบิกตากว้างราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ไม่รู้ว่าควรตกใจกับสิ่งใดก่อนดีระหว่างมีบุรุษก้าวออกมาจากเรือนของคุณหนูใหญ่หรือเพราะบุรุษผู้นี้คือคุณชายซ่งผู้เป็นบิดาของเด็กในครรภ์คุณหนูใหญ่ แถมยังเป็นคนที่นายท่านรังเกียจรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยที่สุด!!!!ว่าแล้ว...ลางสังหรณ์ของอิงหลันก็ไม่ผิดนางหันขวับกลับไปมองเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าตรงไปหาบุรุษหนุ่มทันที“คุณชายรีบไปหลบก่อนเถอะเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของนางเบาราวกับกระซิบกระซาบแฝงความร้อนรนฉายออกมาชัดเจน เกรงเหลือเกินว่าผู้คนในห้องโถงจะมองเห็นแล้วเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาซ่งเจิ้งอี้ได้ยินแล้ว เพียงหันไปมองสาวใช้คุ้นหน้าผู้นั้น
หลินซิ่วหรงนั่งเหยียดหลังตรง มือเรียวทั้งสองประสานกันบนตัก ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเมล็ดซิ่งแข็งกร้าวประสานกับบุรุษตรงหน้าโดยไม่คิดจะหลบเลี่ยงนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบบุรุษจาก แคว้นอวิ๋น…ชาติก่อน ตามธรรมเนียมแล้ว บุรุษผู้นี้สมควรควบม้ามารับนางไปด้วยตนเอง ทว่าส่งสามหนังสือและหกพิธีจนกระทั่ง วันที่เขาสมควรมารับนางด้วยตนเองแต่หลินซิ่วหรงกลับไม่เคยเห็นแม้แต่เงาเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ ระหว่างนางขบวนเกี้ยวเจ้าสาวของนางยังถูกดักลอบทำร้ายระหว่างทางอีกเลยไม่มีโอกาสได้พบพานแต่ไฉนเลยพอมาชาตินี้ หลินซิ่วหรงจะได้พบหน้ากับบุรุษจากแคว้นอวิ๋นเสียทีหัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ทั้งหวาดหวั่น ทั้งตึงเครียด ทั้งประหม่าผสมปนเปกันจนแทบควบคุมไม่อยู่ ยิ่งเห็นสีหน้าของบิดาที่ยามนี้มืดครึ้มถมึงทึงคล้ายท้องฟ้าก่อนพายุ เคร่งขรึมเสียจนเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ แววตาคมดุดันกวาดมองไปยังบุรุษจากแดนไกลนั้นด้วยสายตาเย็นเฉียบ บรรยากาศทั่วทั้งจวนจึงหนาวเหน็บราวถูกโอบล้อมด้วยหมอกเย็นเหล่าสาวใช้ที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านข้างต่างพากันก้มหน้าไม่กล้าสบตา บ้างถึงกลับใบหน้าซีดเผือด บางคนถึงกับยกชายแขนเสื้อขึ้นเ
บุรุษกับสตรีหรือจะสามารถเป็นสหายกันได้อย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่คิดอื่นใด เกรงว่าประโยคเช่นนี้คงเป็นเพียงแค่คำลวงเท่านั้นหากมิใช่เพราะว่าบุรุษชื่นชอบในตัวสตรีผู้หนึ่งก็คงไม่คิดที่จะข้องเกี่ยวให้เกิดความรำคาญใจ แล้วหากสตรีไม่สนใจบุรุษผู้หนึ่งก็คงไม่ตามต้อยราวกับเป็นสุนัขตามเจ้าของแน่แม้ว่าจ้าวเหม่ยฮวาจะไม่เคยมีประสบการณ์มาโดยตรงทว่าเรื่องเช่นนี้ นางกลับได้ยินมารดาพูดกรอกหูซ้ำๆ คอยชี้แนะว่าบุรุษประเภทใดและสตรีนิสัยอย่างไรที่สมควรจะข้องเกี่ยวหรือหนีห่างออกไปให้ไกลถ้อยคำพูดของบุรุษผู้นั้นยังคงติดอยู่ในวันของนางวนเวียนซ้ำๆ ราวกับว่ากำลังย้ำ มองดูภายนอกแล้ว นางไม่อยากจะคิดเข้า ข้างตนเองจริงๆ ว่าเขากำลังชมชอบนางอย่างงั้นหรือ!?ไม่ว่าจะสายตาที่จ้องมอง ท่าทางและน้ำเสียงเช่นนั้นอีกจ้าวเหม่ยฮวาเอาแต่คิดไปมาถอนหายใจซ้ำๆ และคนข้าวในชามไม่ยอมกินเสียที จนจ้าวฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามสังเกตเห็นจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “มีเรื่องอะไรอย่างงั้นหรือ…เหตุใดท่าทางถึงได้ดูเหม่อลอยคล้ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”นางหรี่สายตาลงคล้ายกำลังจับผิดบุตรสาวอยู่ก่อนไม่ปาน จากนั้นจึงพูดต่อ “ลืมไว้กับบุรุษสักคนอย่างงั้นห
ภายในเรือนนอนเงียบสงัด หลินซิ่วหรงย่างเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบาด้วยความระมัดระวัง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองจนสะดุดที่ร่างของหลินซิ่วอันนั่งชันเข่าอยู่บนเตียงสงบนิ่งราวกับรูปปั้น ดวงตาคู่งามเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คล้ายไม่ทันสังเกตว่านางเข้ามา“ซิ่วอัน” เสียงหวานเอื้อนเอ่ยเบาๆ ก่อนที่ร่างอรชรจะก้าวไปนั่งลงข้างเตียง มือเรียวยื่นออกไปแตะไหล่น้องสาวอย่างแผ่วเบาหลินซิ่วอันสะดุ้งเล็กน้อย หลุดจากภวังค์ก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาหม่นหมอง นางพยายามยกยิ้มออกมาฝืนๆ อย่างเห็นได้ชัด “พี่หญิงหรือ…” น้ำเสียงหวานพึมพำพูด ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ทว่ากลับไร้อารมณ์ใดๆ เจือปนหลินซิ่วหรงเห็นท่าทีเช่นนี้แล้ว ก็พลันรู้สึกปวดหนึบในอก ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมา “เป็นเพราะข้า…”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ พี่หญิง” หลินซิ่วอันแทรกเสียงเรียบ ดวงตาคู่งามหม่นหมองพลันสบกับสายตาพี่สาวตรงๆ ทั้งใบหน้าและแววตาต่างฉายความเจ็บปวดลึกสะท้อนออกมาชัดเจน “เป็นเช่นนี้ ก็ดีแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้”นางเอ่ยขึ้นคล้ายปลอบใจให้ยอมรับความจริงเสียทีนางเคยโง่งมหลงคิดว่า รักแรกพบที่ครั้งหนึ่งทำให้หัวใจสั่นไหวจะกลายเป็นวาสนาที่ผูกนางกับเซ
ชะงัก หัวคิ้วขมวดมุ่นทันทีน้ำเสียงทุ้มดังขึ้นจากภายในรถม้า ใบหน้าของซ่งเจิ้งอี้เผยรอยยิ้มจางๆ ทักทายอย่างสนิทสนม “ไม่ได้พบกันหลายวัน...ท่านพ่อตาสบายดีหรือไม่”ดวงตาคมกริบประสานเข้ากับนายท่านหลินพอดี ซ่งเจิ้งอี้เพียงแค่ยกมือประสานคารวะตามมารยาท หาได้ลุกขึ้นยืนนายท่านหลินชะงักทันที เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งนั่งในรถม้า ด้วยความแปลกใจเขาอดที่จะมองหาสัญญาลักษณ์ข้างรถม้าไม่ได้ ทว่ากลับยิ่งตอกย้ำว่าเป็นคนตรงหน้าต่างหากที่เสียมารยาท สายตาหรี่ลงฉายประกายเย็นเยียบปรายมองบุรุษหนุ่มทั้งสอง “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ แฝงไปด้วยความกดดันกู้เหยียนนั่งอยู่ตรงอีกฝั่ง มุมปากหนาโค้งยกยิ้มขึ้นเป็นรอยจางๆ คล้ายยิ้มแต่ไม่ถึงกลับยิ้ม เขาแค่นเสียงหัวเราะฮึดฮัดในลำคอ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วยกมือประสานนายท่านหลิน “ขออภัยด้วย หากพวกข้าเสียมารยาทขึ้นมานั่งรอบนรถม้าของนายท่านหลินโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบนายท่านหลินแค่นเสียงฮึดฮัดดูแคลนในลำคอ เขายังคงยืนอยู่ด้านหน้า หาได้เดินเข้าไปนั่ง “หึ! ลงจากรถม้าของข้าไปซะ”ซ่งเจิ้งอี้ได้ยินแล้วพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางตบล












Comments