ในวันที่นางสูญเสียดวงตา เขาก็พาสตรีอีกนางมาหยามหน้า ในเมื่อฟ้าไม่ยุติธรรมสวรรค์ไร้เมตตาเช่นนั้นนางจะขอคืนชีวิตด้วยการยอมเขียนหนังสือหย่า พร้อมดื่มสุราพิษจากไปกลายเป็นเถ้าธุลีเพื่อคืนอิสรภาพให้แก่เขา!
Lihat lebih banyakว่ากันว่าระฆังแห่งโชคชะตา คือระฆังศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้ผู้ขอพรสมหวังดั่งปรารถนา ทว่าบรรดาผู้คนกลับเล่าลือกันว่าสิ่งที่ต้องตอบแทนต่อคำอธิษฐานล้วนน่าพรั่นพรึงจนยากจะหยั่ง
ดังนั้นจึงมิเคยมีใครหาญกล้าเฉียดกรายขึ้นมาบนหุบเขาซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของหอระฆังเนิ่นนานนับหลายร้อยปี กระทั่งพื้นที่แห่งนี้ถูกลืมไปตามกาลเวลา จนเรียกได้ว่ารกร้างเสื่อมโทรม
บรรยากาศวิเวกวังเวงค่อย ๆ กลืนกินสรรพชีวิต มีเพียงสายลมเย็นยะเยือกที่ยังพัดเอื่อยจนไผ่ต้นสูงเอนไหวกระทบกัน พวกมันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียจนบาดหู ขณะเดียวกันความน่ากลัวที่จิตปรุงแต่งไหนเลยจะเทียมเทียบสิ่งต่ำช้าในใจผู้คน
ท่ามกลางบรรยากาศชวนผวากลับมีสตรีใจกล้ากำลังนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ตามลำพังบนหอคอยระฆังเปลี่ยวร้าง ใบหน้าซึ่งเคยงดงามเจือไปด้วยความโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง สายลมที่พัดโกรกตีกระทบกายหยาบเป็นเหตุให้หญิงสาวหนาวสะท้าน ไหล่แคบทั้งสองด้านกระเพื่อมสั่น ฟันสวยเรียงกันขบแน่นจนเกิดเสียงกึก ๆ กระโปรงผ้าป่านบนหน้าตักอันเปียกชุ่มถูกมือเรียวขย้ำจนเผยรอยยับย่น
บัดนี้ผิวหนังที่เคยขาวเนียนผุดผาดดั่งหยกพิสุทธิ์กลับถูกบดบังด้วยผดผื่นสีแดงก่ำมันลุกลามไปทั่ว กำลังทำร้ายเรือนกายอย่างสุดสาหัส หญิงสาวรู้สึกคันคะเยอไปทั่วทั้งร่าง กระนั้นแววตาของนางกลับไร้ประกายราวกับชินชาต่อความทรมานโดยสิ้นเชิง
มือที่กำแน่นอยู่บนตักคลายออกเนิบช้า พลางควานไปเบื้องหน้าเปะปะ ที่ตรงนี้คือโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยไรฝุ่นจับหนา ไม่นานก็สามารถสัมผัสต้องบางสิ่ง ปลายนิ้วเรียวลูบไล้แผ่วเบาจึงรู้ได้ว่าของสิ่งนี้คือพู่กันที่ทำจากไม้ทั้งยังมีสภาพเก่าคร่ำคร่า เคียงข้างกันเป็นแท่นฝนหมึกซึ่งแห้งกรังจนไม่อาจใช้งานได้แล้ว
กลีบปากซีดขาวเผยยิ้มขมขื่น นางถอนหายใจตัดพ้อต่อโชคชะตา เพียงต้องการสลักสิ่งที่ปรารถนาออกมาเป็นตัวอักษรไฉนจึงดูลำเข็ญนัก
นี่สินะถึงเรียกว่าฟ้าไม่ยุติธรรม สวรรค์ไร้เมตตาอย่างแท้จริง!
พร่ำโทษโชคชะตาด่าทอสวรรค์ก็ไม่ช่วยอันใด ดังนั้นนางจึงตัดสินใจใช้ฟันแหลมคมกัดลงตรงปลายนิ้วตน โลหิตสีแดงฉานผุดออกมาเป็นสายจนปลายนิ้วเรียวเปียกชุ่ม กลิ่นคาวคลุ้งพุ่งปะทะโพรงจมูก กระดาษเนื้อหยาบที่ถูกวางทิ้งไว้จนกลายเป็นสีเหลืองถูกหยิบมาวางตรงหน้า จากนั้นนางจึงใช้ปลายนิ้วของตนตวัดเขียนแทนพู่กัน
ดวงตาของนางมองไม่เห็นครบหนึ่งปีแล้ว หนึ่งปีเต็ม ๆ ที่นางต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมืดสนิท หญิงสาวเรียนรู้จะอยู่กับมันจนเกิดชินชา ดังนั้นแค่ละเลงขีดเขียนให้เป็นประโยคย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรง
‘ข้าปรารถนาเพียง…ชีวิตใหม่ที่รุ่งโรจน์’
หลังจบประโยค คิ้วสวยก็ขยับเข้าชิดกันเล็กน้อย
“นั่นใคร?”
ถึงแม้ตาบอดทว่าใบหูกลับใช้งานได้อย่างดียิ่ง เสียงสวบสาบมุ่งตรงเข้ามาไม่ช้าไม่เร็ว เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งหยุดลงเมื่ออีกฝ่ายยืนอยู่ตรงหน้านาง ลมหายใจอุ่นระอุเป่าปะทะใบหู ขนอ่อนบนกายพร้อมใจกันลุกเกรียว
“เจ้าปรารถนาชีวิตใหม่ที่รุ่งโรจน์มิใช่หรือ” เสียงเล็กกระซิบแผ่ว
คิ้วสวยขมวดแน่น “เจ้าเป็นปีศาจหรือ?”
“สุดแล้วแต่เจ้านั้นอยากให้ข้าเป็น” เสียงเล็กเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เช่นนั้นคงไม่มีใครอยากเป็นปีศาจ”
“ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”
หญิงสาวถามต่อ “เจ้าเป็นมนุษย์เช่นข้าใช่หรือไม่”
“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ เจ้าอยากให้ข้าเป็นอะไรข้าก็จะเป็นสิ่งนั้น”
ริมฝีปากซีดขาวขยับยกเป็นรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้เจ้าเป็นดวงชะตาของข้า ดวงชะตาที่จะพาชีวิตของข้ารุ่งโรจน์”
เสียงแหลมเล็กหัวเราะร่วนบาดหู “นอกจากไม่กลัวข้าแล้วยังกล้าร้องขอเรื่องแปลกประหลาด เห็นแก่ความมานะของเจ้าที่อุตส่าห์ปีนขึ้นเขาทั้งที่ตาบอด ขอเพียงเจ้ากล้าแลกกับการดื่มของสิ่งนี้ ข้าก็จะยอมเป็นดวงชะตาให้แก่เจ้า”
หญิงสาวกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงไปจนคอขยับ กลิ่นของมันรุนแรงและฉุนจนแสบจมูก “สุรางั้นหรือ?”
“ไม่ผิด ทว่ามันคือสุราพิษ…”
มือเรียวกำหมัดแน่นจนเส้นโลหิตปูดโปน หลังใคร่ครวญอยู่นานอาการประหม่าก็คลายลงเนิบช้า ลมหายใจร้อนผ่าวถูกพ่นขึ้นจมูก “หากเป็นสุราพิษข้าดื่มเข้าไปก็ต้องตาย เจ้าอยากให้ข้าตายหรือ หากตายแล้วชีวิตของข้าก็ต้องดับสิ้น นับว่าเป็นเส้นทางอันรุ่งโรจน์ตรงไหนกัน”
“เช่นนั้นเจ้าชอบชีวิตในตอนนี้หรือ”
หญิงสาวเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าพร้อมตอบกลับ “ข้าเกลียดชีวิตตอนนี้ยิ่งนัก”
“เช่นนั้นเจ้าลังเลอะไร ตายเพื่อเกิดใหม่ ถอยเพื่อรุกเคยได้ยินหรือไม่”
“หากข้าตายไป เกิดใหม่ก็คงไร้ความทรงจำ เดิมทีนั่นควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ข้ายังมีเรื่องที่ต้องสะสาง ดังนั้นข้าไม่อาจปล่อยวางความเจ็บปวดที่หยั่งลงจิตใจข้าได้”
“นี่มิใช่น้ำแกงยายเมิ่ง [1] เสียหน่อย สะพานไน่เหอ [2] เจ้าก็ไม่ต้องข้าม หากเจ้าไม่เชื่อจะปฏิเสธก็ย่อมได้” เสียงปลายเท้าถอยห่างออกไปจนเริ่มเบาบาง
หญิงสาวพยายามทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ผสานกับคำพูดของสตรีแปลกหน้าสลับไปมา ถึงอย่างไรชีวิตยามนี้ก็ช่างต่ำต้อยด้อยค่า คนผู้นี้จะเป็นผีก็ดีหรือปีศาจก็ช่าง ขอเพียงสามารถทำให้นางสมปรารถนาก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ
“ช้าก่อน!”
เสียงฝีเท้าหยุดลงเดี๋ยวนั้น ไม่นานก็แปรผันเป็นลมสายหนึ่ง
“เปลี่ยนใจแล้วหรือ หากเจ้ากลัวข้าก็ไม่บังคับ”
หญิงสาวผงะเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายประชิดกายนางได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอให้ถูกถามซ้ำ มือเรียวพลันคว้าหมับแย่งสุราจอกนั้นมาไว้ที่ตน “ชะตาข้าชาตินี้แสนอาภัพ ต่อให้ตายไปแล้วอย่างไร มีชีวิตแล้วอย่างไร ก็คงไม่มีผู้ใดแยแสอยู่ดี เช่นนั้นสุราพิษจอกนี้ข้าขอคืนอิสรภาพให้แก่คนไม่รักษาสัจจะ นับจากนี้ข้าและเขาไม่ข้องเกี่ยวกันอีก!”
อึก!
สุราในมือถูกกระดกขึ้นกรอกปากทันควัน ราวกับว่าลมหายใจเมื่อครู่เลือนหายไปชั่วขณะ
“ใจกล้าไม่เบา ถือว่าข้าให้โอกาสคนไม่ผิด”
เพียงชั่วพริบตาร่างระหงก็ทรุดฮวบลงบนพื้น ลมหายใจของหญิงสาวค่อย ๆ แผ่วโหยรวยริน
ฝ่ามืออันเย็นเยียบยื่นลูบเส้นผมสีดำขลับอย่างทะนุถนอม ราวกับต้องการปลอบประโลม “ต่อไปนี้ใครก็มิอาจรังแกเจ้าได้ เจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บไม่รู้สึกปวด จงหลับตาลง แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเจ้าเสีย”
เปลือกตาบางปิดลงเนิบนาบ ประหนึ่งว่าจิตวิญญาณกำลังถูกยมบาลมาดึงออกไป ลมหายใจที่เคยมีอยู่ดับสิ้นลงพร้อมกับเรือนกายที่นิ่งสนิทดั่งไม่เคยมีชีวิตมาก่อน...
^น้ำแกงยายเมิ่ง เป็นความเชื่อของชาวจีน หากดื่มแล้วจะลบความทรงจำในชาติก่อน
^สะพานไน่เหอในความเชื่อจีนคือ สะพานข้ามแม่น้ำแห่งความลืมเลือน ( แม่น้ำวั่งชวน) ที่ดวงวิญญาณต้องข้ามก่อนไปสู่การเกิดใหม่ โดยมี ยายเมิ่ง (Meng Po) คอยแจกน้ำลืมอดีต
ทางด้านของหลิวอี้และหม่าเซียวจัดการว่าจ้างคนบันทึกรายงานเรียบร้อยก็รีบกลับมา แม้เกิดเรื่องกะทันหันทว่าหลี่เสวี่ยซินกลับไม่ละความตั้งใจที่จะขึ้นเขาไปยังวัดหมิงหลัน ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บจนเดินไม่ได้ ศีรษะที่แตกก็แผลเล็กน้อย ใส่ยาเสร็จแล้วย่อมไร้ปัญหาหม่าเซียวและหลิวอี้ไม่วางใจ พวกนางคะยั้นคะยอให้หลี่เสวี่ยซินพบหมอ หลี่เสวี่ยซินไม่อยากทำให้ผู้อื่นลำบากใจไปมากกว่านี้ จึงยอมตกลงไปหาหมอและกลับจวนในที่สุด ขณะที่นางหมุนร่างเตรียมตัวกลับ ก็ถูกใครบางคนวิ่งมากระแทกไหล่เสียจนตัวปลิว“โอ๊ย”โชคดีที่หลิวอี้รับร่างของหลี่เสวี่ยซินไว้ทัน ไม่เช่นนั้นคงได้ล้มไปนั่งก้นจ้ำเบ้าเสียงแหลมแผดขึ้นหัวเสีย “ไม่มีตารึ!”หม่าเซียวเดือดดาลเลือดขึ้นหน้า นางปรี่เข้ามายืนบังทั้งยังเท้าสะเอวกล่าวเสียงกระด้าง “เจ้าน่ะสิไม่มีตา รู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังล่วงเกินผู้ใด!”“เพ้ย! ยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน ข้าไม่สนใจหรอก ทำข้าวของข้าเสียหายเช่นนั้นก็รับผิดชอบมา” หญิงคนนั้นกวักมือหย็อย ๆ เพื่อร้องเรียกค่าเสียหายหลี่เสวี่ยซินขมวดคิ้ว มือเรียวคว้าไหล่แคบของหม่าเซียวให้หลบไปยืนหลังตน
กระทั่งเหตุการณ์สงบ หลิวอี้และหม่าเซียวจึงปรี่เข้ามาช่วยประคองหลี่เสวี่ยซิน หลิวอี้ใช้แพรพกเช็ดคราบโลหิตออกจากใบหน้าและดวงตาให้หญิงสาวหลิวอี้เสียงสั่น “ท่านหญิงเจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ”หลี่เสวี่ยซินรับแพรพกมาไว้ในมือ “บาดเจ็บเล็กน้อย ข้าไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ แผลแค่นี้ไกลหัวใจ”เจ็บปวดทรมานกว่านี้หลี่เสวี่ยซินก็ผ่านมาแล้ว แผลแมวข่วนย่อมมิอาจส่งผลสั่นสะท้านต่อจิตใจนางหลี่เสวี่ยซินย้ายสายตากลับมายังชายวัยกลางคนที่ตรงหน้าตน เขายื่นขวดโอสถให้กับนาง“นี่เป็นยาห้ามเลือดขอรับ”หม่าเซียวรับ “ขอบคุณเจ้าค่ะ”หลี่เสวี่ยซินยิ้มอ่อนโยน “ขอบคุณท่านมาก หากไม่ได้ท่านพวกเราคงตายไปแล้ว”“แม่นางน้อยผู้นี้ก็คือ...”หลิวอี้โพล่ง “นี่คือท่านหญิงเสวี่ยซิน บุตรสาวเพียงคนเดียวของหนิงโหวเจ้าค่ะ”“ที่แท้ก็เป็นท่านหญิง ข้าน้อยทำไปล้วนเห็นแก่มนุษยธรรม ไม่ว่าใครเดือดร้อนก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยทั้งสิ้น”“ท่านช่างน้ำใจงามนัก” หลี่เสวี่ยซินเอื้อมมือให้สองสาวใช้ช่วยพยุงตนให้ลุกขึ้น นางยังไม่ละสายตาจากชายตรงหน้า
วันนี้หลี่เสวี่ยซินให้คนไปแจ้งหนิงถงไท่และหนิงเข่อเหรินแล้ว นางไม่รอคำอนุญาตแต่อย่างใด ถือว่าบอกแล้วเป็นพอ เพราะหากมัวแต่อิดออด หนิงเข่อเหรินจะต้องให้นางรอไปพร้อมกับฮั่วเหวินหลงแน่“บรรยากาศสดใสเป็นเช่นนี้นี่เอง” หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นพลางสูดกลิ่นอายธรรมชาติเข้าเต็มปอดหม่าเซียวและหลิวอี้ยิ้มตาม พวกนางคิดว่าเพราะเจ้านายหลับใหลไปนานเลยดูตื่นตาตื่นใจกับต้นไม้ใบหญ้าเป็นธรรมดาหลิวอี้ “ท่านหญิงอยากแวะตลาดเช้าก่อนหรือไม่เจ้าคะ”หลี่เสวี่ยซินครุ่นคิด ก่อนตาบอดนางเคยออกมาจับจ่ายที่ตลาดเช้าอยู่บ่อย ๆ หลังจากตาบอดนานเป็นปีหลี่เสวี่ยซินก็ไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้อีกเลย“เอาสิ เหลือเวลาอีกหน่อย ข้าจะได้ซื้อผลไม้ไปสักการะด้วย”“เจ้าค่ะ”หลิวอี้จึงออกไปแจ้งสารถีให้แวะเข้าที่ตลาดเช้าก่อน พูดคุยไม่นานก็กลับเข้ามา รถม้าเคลื่อนตัวไปตามรายทางเรียบเรื่อย อีกไม่กี่ลี้ [1] ก็จะถึงปลายทาง แต่แล้วอยู่ ๆ เจ้าม้าตัวสูงก็ตะกุยเท้าหน้าด้วยท่าทีตื่นตระหนก รถม้าถูกเทกระจาดไร้การทรงตัว ทำให้หลี่เส
น้ำค้างสีใสบนใบไม้เขียวขจีสาดประกายดุจอัญมณีเปล่งประกายท่ามกลางแสงแห่งอรุณรุ่งส่องสะท้อนลอดบานหน้าต่างทรงกลม พลางตกกระทบลงบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาดุจบุปผาริมฝีปากสีกุหลาบยกโค้งเล็กน้อยเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กจากรอยยิ้มซุกซนซึ่งสลักอยู่บนคันฉ่องสีอำพัน“ท่านหญิงตื่นหรือยังเจ้าคะ” หลิวอี้เคาะประตูเบา ๆ พลางเอ่ยถาม“เรียบร้อยแล้ว”เสียงบานประตูแง้มออกแช่มช้า ร่างระหงในชุดชมพูเปล่งประกายขับผิวให้ดูโดดเด่นสะท้อนเข้าม่านตา สองสาวใช้ตาเบิกค้างตกตะลึง จดจ้องหญิงสาวตรงหน้าตาไม่กะพริบหลี่เสวี่ยซินเอียงคอถาม “เป็นอะไรกัน ใบหน้าของข้าหน้ามีสิ่งใดเปื้อนอยู่หรือ”หม่าเซียวส่ายหน้าระรัว “เปล่าเจ้าค่ะ วันนี้ท่านหญิงดูแปลกตาไปนะเจ้าคะ ปกติท่านหญิงจะแต่งกายงดงามสูงส่งประหนึ่งหงส์ อีกอย่างนี่ท่านลุกผัดหน้าแต่งตัวเองเลยหรือเจ้าคะ”หลี่เสวี่ยซินพยักหน้า “อือ จะได้ไปตรงเวลากันข้าแต่งตัวเองได้ แล้วข้าสวมเสื้อผ้าผัดหน้าเช่นนี้ไม่งามหรอกหรือ”“งามสิเจ้าคะ งามมากทีเดียวเจ้าค่ะ สวมอาภรณ์และเครื่องแต่งกายแบบนี้แล้วดูสดใสสมวัยทีเดียวเจ้าค่ะ” หม่าเซียว
น่าเสียดายที่ยามนั้นดวงตาของหลี่เสวี่ยซินมองไม่เห็น จึงไม่อาจอ่านจดหมายฉบับนั้นด้วยตาตนเอง หญิงตรงหน้ายอบกายลงแช่มช้า เสียงแหลมกระซิบเบาทว่ากลับเจือไปด้วยความคำพูดเสียดแทงใจ “เขาให้เจ้าเขียนหนังสือหย่าซะ”จากรอยยิ้มดีใจก็เลือนหายในพริบตา ความเสียใจระคนผิดหวังถาโถมเข้าใส่ดุจดั่งคลื่นลูกใหญ่ซัดสาด “มะ…ไม่มีทาง ท่านพี่ไม่มีทางทำเช่นนั้น”“จะไม่มีทางได้อย่างไร ท่านพี่เทียนเฉินมีข้าแล้ว ส่วนเจ้าแม้แต่ฐานะสาวใช้ก็ไม่คู่ควร ลงนามในหนังสือหย่าแล้วไสหัวกลับบ้านเดิมของเจ้าไปเสีย อย่ามาเป็นตัวถ่วงของตระกูลลั่ว” หวางเหยาโยนหนังสือหย่าลงตรงหน้าหลี่เสวี่ยซินมือเรียวสั่นระริกคว้ากระดาษเนื้อหยาบสะเปะสะปะ “โอ๊ย”หลี่เสวี่ยซินร้องเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ หลังมือของนางก็ถูกพื้นแข็งกระด้างจากรองเท้าบดขยี้ลงมา หวางเหยาหัวเราะเสียงเย็น “นังตาบอด เจ้าไร้ความสามารถเพียงนี้คิดว่าท่านพี่เทียนเฉินจะยังเก็บเจ้าเอาไว้รึ ฝันลม ๆ แล้ง ๆ”หลี่เสวี่ยซินสับสนจนพูดไม่ออก นางไม่ร้องโวยวายทว่าภายในใจร้าวระบมดุจถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มค่อย ๆ ทิ่มแทงลงไป เท้าที่เหยียบลงเมื่อครู่ขยับออก แต่ยัง
หลี่เสวี่ยซินหลุดจากภวังค์ “เจ้าบอกว่าชื่อของข้ากับนางคล้ายกัน ข้าตาย เอ่อ...ไม่สิ ข้าหลับไปวันเดียวกับที่นางสิ้นใจอย่างนั้นหรือ”หลิวอี้พยักหน้าหงึกหงัก หม่าเซียวจึงลดมือของตนลงแช่มช้าครั้นหลิวอี้เป็นอิสระนางก็เร่งเอ่ยปาก “ท่านหญิงอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ บ่าวปากไม่ดีเอง”เพียะ!หลิวอี้ยกมือตบปากของตนเสียงดังสนั่น หลี่เสวี่ยซินเบิกตาโพลง “ทำอะไรของเจ้า!?”“ยามปกติหากบ่าวปากไม่ดี ท่านหญิงจะให้ตบปากมิใช่หรือเจ้าคะ”“หา...พอเลย พอเลย ต่อไปพวกเจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” หลี่เสวี่ยซินคลึงขมับ นึกไม่ถึงว่าหนิงเสวี่ยซินจะเข้มงวดเอาแต่ใจเพียงนี้ทั้งหลิวอี้และหม่าเซียวก้มหน้างุด ประสานเสียงตอบรับ “เจ้าค่ะ”“ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าข้าตกฟากเมื่อใด”สองสาวใช้แหงนหน้าขึ้น ครุ่นคิดเสียจนหัวคิ้วเคลื่อนชนกันหม่าเซียวเอ่ย “ท่านหญิงจำวันตกฟากของตนไม่ได้หรือเจ้าคะ”“ข้าหลับไปนาน บางเรื่องก็ลืมไปแล้ว”“เช่นนี้เอง เห็นท่านโหวและฮูหยินเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ ท่านหญิงตกฟากฤกษ์ดาวหงส์เชี
Komen