ในวังวนแห่งอำนาจและการล้างแค้น ท่ามกลางความมืดมิดของเล่ห์เหลี่ยมกลโกง ดอกเหมยบริสุทธิ์จะบานสะพรั่ง พร้อมนำแสงแห่งความจริงกลับคืนมา และร้อยเรียงหัวใจสองดวงให้เป็นหนึ่งเดียว...
view more10 ปีก่อน รัชสมัยของฮ่องเต้เซียงเหวิน ซึ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียง 5 ปี ณ เมืองหลวงแคว้นต้าเซียง ในยุคที่ดูเหมือนจะสงบสุขร่มเย็น แต่แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ในราชสำนัก ไช่ไท่ฟู่ ราชครูผู้ทรงคุณธรรมและเปี่ยมด้วยปัญญา เป็นที่เคารพรักของราษฎรและขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ชีวิตของเขายึดมั่นหลักการแห่งคุณธรรมและความยุติธรรมมาตลอดตั้งแต่รัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ไช่ไท่ฟู่เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พร่ำสอนหลักการปกครองที่คำนึงถึงความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นหลัก คำพูดของเขามีน้ำหนักในราชสำนัก การตัดสินใจของเขามักนำมาซึ่งความรุ่งเรืองและสงบสุขแก่แคว้นต้าเซียง
บ่ายวันหนึ่งที่อากาศมืดครึ้มอย่างแปลกประหลาดทั้งที่ไม่ใช่ฤดูฝน ทหารจากกรมอาญาจำนวนมากเคลื่อนพลไปล้อมจวนไช่ไท่ฟู่เอาไว้อย่างแน่นหนา เจ้ากรมอาญาเรียกทุกคนในจวนตระกูลไช่มารับราชโองการ ชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์ต่างมามุงดูว่าเกิดอันใดขึ้นที่จวนไท่ฟู่ซึ่งพวกเขาเคารพรัก
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ไช่ไท่ฟู่ที่ได้รับพระเมตตามาตลอดกลับทำให้เราผิดหวังนัก มีหลักฐานมากมายส่งมาให้เราพิจารณา กระทั่งการสืบสวนจบลงทำให้ทราบว่า ไช่ไท่ฟู่แอบติดต่อกับแคว้นศัตรูเพื่อก่อกบฏ เราในฐานะฮ่องเต้ไม่อาจนิ่งดูดาย จึงมอบอำนาจให้เจ้ากรมอาญาประหารไช่ไท่ฟู่ในทันที ส่วนคนในตระกูลให้เนรเทศไปยังชายแดนตะวันตกและยึดทรัพย์ทั้งหมดของจวนไท่ฟู่เข้าคลังหลวง จบราชโองการ”
ไช่เจิ้งผิงผู้เป็นราชครูได้แต่แหงนหน้ามองฟ้าเพื่อกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอออกมาจนแทบจะไหลริน เขาได้แต่คิดในใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงกล่าวหาเขาที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์มาตลอดหลายปีได้ เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยเสียงดัง
“กระหม่อมไช่ไท่ฟู่ รับราชโองการ! ฮูหยิน ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ากับลูกต้องลำบาก”
“ฮือ… ท่านพี่… ข้าไม่โทษท่าน ฮึก..” หม่าซูร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเสียใจที่นางต้องมาทนเห็นผู้เป็นสามีกำลังจะถูกประหารไปต่อหน้าต่อตา
ทหารนายหนึ่งประหารไช่ไท่ฟู่ตามราชโองการ เสียงร้องไห้และหวีดร้องอย่างหวาดกลัวดังไปทั่วทั้งจวนตระกูลไช่ พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะกลัวถูกฆ่าจึงได้แต่ขอความเมตตาจากทหารไม่ให้ทำร้ายคนในตระกูล ถึงแม้จะเห็นว่าผู้นำตระกูลอย่างไช่ไท่ฟู่สิ้นลมไปต่อหน้าต่อตาแล้วก็ตามที ฮูหยินไช่อย่างหม่าซูจำต้องปลุกปลอบใจตนเองให้เข้มแข็งที่สุดทั้งที่น้ำตาอาบแก้ม ไช่เหมยฮวาในวัย 8 ขวบกำหมัดแน่นอย่างอดกลั้นความเสียใจที่ต้องสูญเสียบิดาอันเป็นที่รัก
ด้านนอกจวนตระกูลไช่ ชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์ต่างไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างไท่ฟู่ผู้ซื่อสัตย์จะมีแผนก่อกบฏ เสียงพูดคุยดังไปทั่วบริเวณ
“เจ้าว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไปหรือไม่” ชาวเมืองคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าก็คิดว่ามันแปลก คนอย่างท่านไท่ฟู่ที่รักราษฎรมีหรือจะกล้าทำเช่นนั้น”
“น่าสงสารฮูหยินกับลูก ๆ ของท่าน ไม่น่าต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้”
เจ้ากรมอาญาใช่ว่าจะไม่ได้ยินเสียงชาวเมือง เพียงแต่เขาเองก็จนใจที่ต้องทำตามหน้าที่ กว่าที่ฝ่าบาทจะออกราชโองการนี้ พวกเขาพยายามหาหลักฐานแก้ต่างให้กับไช่ไท่ฟู่อย่างเต็มกำลัง จนใจที่หลักฐานกลับมีแต่ชี้ความผิดของไช่ไท่ฟู่ ฮ่องเต้จึงได้ตัดสินใจเชื่อคำแนะนำของเสนาบดีฝ่ายซ้ายจูเค่อและออกราชโองการนี้มา
“ทหาร! เข้าไปตรวจยึดทรัพย์สินภายในจวนเข้าคลังหลวง ส่วนพวกเจ้าที่เหลืออยู่ให้รอจนกว่าทหารจะนำทรัพย์สินออกมาจนหมด จากนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปยังชายแดนตะวันตกตามราชโองการ ตอนนี้อย่าได้ส่งเสียงดังและสร้างความวุ่นวาย ไม่เช่นนั้นพวกข้าคงต้องสังหารพวกเจ้า” เจ้ากรมอาญาออกคำสั่งอย่างดุดัน
“ฮึก… ท่านแม่.. น้องชายอาการไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ” ไช่เหมยฮวากระซิบบอกมารดาทั้งที่น้ำตายังคงไหลรินอยู่
“ฮือ… ซิวเอ๋อ! เจ้าอย่าทำให้แม่ตกใจสิลูก ทำใจดี ๆ เอาไว้” หม่าซูลูบหัวลูบตัวบุตรชายวัยห้าขวบที่ตอนนี้อาการป่วยกำเริบขึ้นมาเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ท่านแม่ ข้าจะไปเอายาของน้องที่ห้องนะเจ้าคะ” ไช่เหมยฮวากำลังจะลุกขึ้นแต่กลับถูกมือของมารดาดึงให้นั่งลงเสียก่อน นางจึงได้แต่ขมวดคิ้วอย่างกังวล
“เจ้าอย่าเพิ่งไป แม่จะขออนุญาตเจ้าหน้าที่เสียก่อน ไม่เช่นนั้นเจ้าจะลำบาก”
“เช่นนั้นท่านแม่รีบหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าเกรงว่าน้องจะทนไม่ไหว”
“เจ้าดูน้องเอาไว้ แม่จะรีบไปรีบมา” หม่าซูส่งบุตรชายให้บุตรสาวดูแลต่อ
หม่าซูลุกขึ้นไปย่อกายคำนับเจ้ากรมอาญาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี นางรีบเอ่ยปากขออนุญาตให้บุตรสาวไปนำยาของบุตรชายมาให้เขากินและยังชี้บอกให้เจ้ากรมอาญามองดูว่าบุตรชายนางอาการป่วยกำเริบจริง ๆ
“ได้ ข้าอนุญาต แต่ให้นางนำเพียงยาของบุตรชายเจ้ามาได้เท่านั้น”
“ขอบคุณท่านเจ้ากรมมากเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ให้ลูกนำอย่างอื่นมานอกจากยา”
หม่าซูเมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็รีบไปบอกไช่เหมยฮวาและรับร่างของบุตรชายที่ยังไม่ได้สติกลับมากอดเอาไว้ บ่าวไพร่ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่นึกสงสารฮูหยินกับคุณหนูและคุณชายที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี จนใจที่พวกเขาเป็นเพียงบ่าวในเรือนจึงไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้
ไช่เหมยฮวารีบวิ่งไปที่ห้องนอนน้องชายและนำยาในขวดกลับมาป้อนให้น้องชายอย่างทุลักทุเล ด้วยว่าตอนนี้ไช่ซิวนั้นสลบไปเสียแล้ว นางได้แต่บีบนวดตัวให้น้องชายได้สติขึ้นมาหลังได้รับยา
หนึ่งชั่วยามต่อมา ทหารที่ค้นหาทรัพย์สินในจวนไท่ฟู่แปลกใจไม่น้อยที่ในจวนนี้แทบจะไม่มีของมีค่าใดอยู่เลย เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าเอ่ยออกมาให้ตนเองเดือดร้อนจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
“รองหัวหน้ากุ่ย เจ้านำทหารสิบนายพาคนทั้งหมดออกเดินทางไปยังชายแดนตะวันตกทันที นี่เป็นเงินค่าใช้จ่ายระหว่างทาง รีบไปเสีย” เจ้ากรมอาญามอบตั๋วแลกเงินให้กับรองหัวหน้ากุ่ยหนึ่งร้อยตำลึงเป็นค่าเดินทางไปกลับ
“ขอรับท่านเจ้ากรม พวกข้าจะรีบไปรีบกลับขอรับ” กุ่ยเฟิงรับตั๋วแลกเงินมาเก็บไว้แล้วเลือกทหารคนสนิทอีกสิบคนให้ไปคุมตัวคนในตระกูลไช่ออกเดินทางทันที
เจ้ากรมอาญามองส่งกลุ่มคนจำนวนมากเดินออกจากจวนตระกูลไช่ไปอย่างกังวลไม่น้อย ใช่ว่าเขาไม่เห็นว่าภายในจวนแทบไม่มีของมีค่าเลยสักชิ้น นี่จะใช่ตระกูลที่คิดก่อกบฏจริงหรือ? ตอนนี้เขาได้แต่ต้องกลับไปรายงานฝ่าบาทตามจริง
ข่าวเรื่องไช่ไท่ฟู่แพร่ไปทั่วเมืองหลวงในเวลาไม่นาน องค์ชายรองอย่างเซียงเซียวซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของไช่ไท่ฟู่ไม่อยากจะเชื่อแม้แต่น้อย พระองค์คิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้พระองค์มีพระชนมายุเพียง 10 พรรษาเท่านั้นจึงไม่อาจก้าวก่ายราชกิจของเสด็จพ่อได้ องค์ชายรองคิดถึงเด็กหญิงผู้ร่าเริงและเฉลียวฉลาดซึ่งเป็นบุตรสาวไช่ไท่ฟู่ พระองค์ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นเช่นไรบ้าง
การเดินทางไปยังชายแดนตะวันตกเป็นไปอย่างยากลำบาก มีใครไม่รู้บ้างเล่าว่าที่นั่นเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้น อีกทั้งชายแดนตะวันตกยังแห้งแล้งมากมาตลอดหลายปี แม้แต่ขุนนางที่นั่นยังต้องไปหาซื้อเสบียงยังต่างเมืองเพื่อเลี้ยงดูชาวเมืองมาหลายปี เงินจากราชสำนักยังถูกยักยอกระหว่างทางอยู่ทุกปี ทำให้ราษฎรในพื้นที่แถบนั้นต่างอดอยากปากแห้งและล้มตายจากความอดอยากเป็นจำนวนมากแทบทุกปี
สามเดือนต่อมา
กุ่ยเฟิงมาถึงเมืองชายแดนตะวันตกและส่งมอบนักโทษให้เจ้าเมืองพาพวกเขาไปหาที่อยู่ตามราชโองการ เขายังกำชับไม่ให้ทำร้ายคนเหล่านี้ด้วยเพราะตนเองก็นับถือไช่ไท่ฟู่มาตลอดหลายปี ยิ่งลูก ๆ ของไท่ฟู่ซึ่งยังเด็กนัก เขาเกรงว่าหากมีคนมารังแกฮูหยินกับลูก ๆ จะทำให้เหล่าขุนนางและบัณฑิตที่นับถืออดีตไท่ฟู่ไม่พอใจได้
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเตียหย่งรายงานเรื่องที่ให้คนของเขาไปสอบถามค่ายในภูเขา แต่กลับต้องได้รับข่าวร้ายว่าคนที่อยู่ในค่ายเกือบ 500 คนถูกจับและถูกฆ่าตายไปจนไม่มีใครเหลืออยู่ในค่ายแม้แต่คนเดียว คนของเตียหย่งยังต้องเร่งรีบหลบหนีการตามล่าของทางการที่ซุ่มดูจนได้รับบาดเจ็บสาหัส กว่าที่เขาจะกลับมาถึงเมืองเฉิงกุยได้ปัง!!!“บัดซบ! เรื่องค่ายลับของเราเหตุใดจึงรั่วไหลได้” จูเค่ออี้หมิงโกรธมากจนแทบทุบโต๊ะหนังสือพังลงกับมือ“บ่าวไม่ทราบขอรับ ตอนที่บ่าวกลับเมืองหลวงคราก่อนก็ไม่เห็นว่าจะมีใครติดตามบ่าวไปที่ค่ายบนภูเขานะขอรับ” เตียหย่งไม่เห็นจริง ๆ ว่าคนขององค์ชายรองตามเขาไปและลอบกลับไปแจ้งข่าวเสียก่อน จึงทำให้เตียหย่งไม่มีร่องรอยเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งการทลายค่ายลับยังไม่มีข่าวจากทางการ“เรื่องนี้ไม่ต้องแจ้งให้ท่านพ่อทราบ ข้าจะติดต่อกับแม่ทัพแคว้นอู่ให้นำทหารประชิดชายแดนเสียก่อน ระหว่
องค์ชายใหญ่ที่ไม่สนใจราชกิจ พระองค์กลับได้รับการต้อนรับจากบุตรีเจ้าเมืองที่คิดอยากเป็นพระชายาองค์ชาย ด้วยนิสัยขององค์ชายใหญ่มีหรือจะไม่รู้ว่านางเข้าหาพระองค์เพราะสิ่งใด แต่ในเมื่อมีสตรีให้เล่นสนุกฆ่าเวลาระหว่างที่คนของพระองค์แก้ไขปัญหาเขื่อน องค์ชายใหญ่ก็ไม่รังเกียจที่จะรับนางมาเป็นอนุกว่าที่จูเค่ออี้หมิงจะรู้ว่าองค์ชายใหญ่รับอนุคนใหม่ก็เป็นตอนที่เขาเข้าไปรายงานสถานการณ์การขุดลอกเขื่อนในอีก 7 วันหลังจากมาถึงเมืองเฉิงกุย จูเค่ออี้หมิงยิ่งนึกโกรธเคืององค์ชายใหญ่ที่ไม่รู้กาลเทศะ หากฝ่าบาททราบว่าพระองค์รับอนุทั้งที่มาทำภารกิจสำคัญ เขาไม่รู้ว่าตำแหน่งรัชทายาทยังจะตกมาอยู่ในมือขององค์ชายใหญ่ได้หรือไม่ ไม่ว่าการแก้ไขปัญหาเขื่อนจะทำได้ดีเพียงใด แต่เรื่องไม่เหมาะสมที่องค์ชายใหญ่กระทำก็คงจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้เป็นแน่จูเค่ออี้หมิงเรียกเตียหย่งมาสั่งงานในคืนนั้นทันที เขามัวแต่ยุ่งกับการดูแลปัญหาเขื่อนจึงหลงลืมไปว่าตนเองไม่ทราบข่าวขององค์ชายรองกับพระชายาเลย“เรียนนายน้อย ข้า
หลังตั้งค่ายเสร็จ องค์ชายรองพาพระชายาและหมอหลวงเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมองครักษ์หลวงอีกจำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านที่ติดเชื้อเข้าใกล้มากนักจนคนอื่น ๆ ติดโรคไปด้วย ก่อนที่ทุกคนจะเข้าไป อิงฮวาสั่งให้ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกเพื่อป้องกันเชื้อโรคระบาดที่ยังไม่รู้ว่าเป็นโรคใดกันแน่ชาวบ้านที่ได้รับเสบียงก่อนหน้านี้ต่างรอคอยความช่วยเหลือจากหมอซึ่งมาจากเมืองหลวงตามที่ทหารป้องกันเมืองบอกเอาไว้ พวกเขามีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้งหลังจากมองดูชาวบ้านหลายคนตายไปต่อหน้าต่อตา“ทุกคนเข้าแถวให้เป็นระเบียบ 10 แถวตอน เราจะให้หมอหลวงแยกกันตรวจพวกเจ้าทีละคน คนที่อาการหนัก พระชายาจะเป็นคนเข้าไปตรวจอาการด้วยพระองค์เอง” องค์ชายรองตรัสสั่งเสียงดัง พระองค์จะติดตามพระชายาเข้าไปด้านในซึ่งมีผู้ป่วยหนักกำลังรอการรักษาอยู่ ส่วนด้านนอกพระองค์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอหลวงที่ติดตามมา“ขอบพระทัยองค์ชายและพระชายาที่เมตตาพวกเราพะย่ะค่ะ/เพคะ” ชาวบ้านคุกเข่ากราบอย่างซาบซึ้งใจ พวกเขาไม่คิดว่า
สองเค่อต่อมา องค์ชายใหญ่พร้อมขบวนสิ่งของจำเป็นและขุนนางจำนวนหนึ่งจากกรมโยธาที่มีราชโองการให้ติดตามไปต่างมาพร้อมกันที่หน้าพระราชวัง ฮ่องเต้ไม่สนใจว่าองค์ชายใหญ่จะนำสิ่งใดไปด้วย ส่วนเงินช่วยเหลือที่ขอมานั้น พระองค์ก็ไม่ได้มอบให้เช่นเดียวกัน สร้างความไม่พอพระทัยให้องค์ชายใหญ่เป็นอย่างมาก แม้ว่ามหาเสนาบดีจะอธิบายถึงความจำเป็นในการใช้เงินเหล่านั้นมากเพียงใดก็ตาม ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงใจอ่อนอีก และไล่ให้องค์ชายใหญ่รีบออกเดินทางจูเค่ออี้หมิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจไม่ต่างจากองค์ชายใหญ่ ขบวนที่เขาคิดว่าจะมีทหารองครักษ์กลับไม่มีแม้สักคนเดียว ขุนนางคนอื่นที่ติดตามมาก็มีคนของตนเองเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ทำให้ขบวนขององค์ชายใหญ่มีผู้คนรวมทั้งหมดไม่ถึง 200 คนด้วยซ้ำไป แผนการสังหารองค์ชายรองของจูเค่ออี้หมิงที่วางเอาไว้จึงต้องรอคอยให้คนของเขาจัดการองค์ชายรองระหว่างทางได้เท่านั้นฮ่องเต้ไม่สนใจขบวนขององค์ชายใหญ่ที่กำลังเดินทางออกไป พระองค์กลับเข้าไปในพระราชวังเพื่อสะสางราชกิจต่อ มหาเสนาบดีและขุนนางส่วนหนึ่งต่างถวายพระพรลา จากนั้น
“เฮ้อ! หากพวกท่านต้องการติดตามไปจริง ๆ ทุกคนต้องระวังตัวให้มาก แต่พวกท่านบางส่วนจะต้องอยู่เมืองหลวงเพื่อคอยส่งข่าวให้เราที่เมืองเฉิงกุยด้วย ไม่จำเป็นต้องติดตามเราไปทั้งหมด” องค์ชายรองถอนหายใจอย่างปลดปลง พระองค์ไม่อาจขัดความหวังดีของพวกเขาได้จึงต้องอนุญาต“ขอบพระทัยองค์ชายพะย่ะค่ะ พวกเราจะแบ่งกันทำงานและจะไม่ทำให้องค์ชายต้องลำบากพระทัย” ซูต้าเหรินยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าครานี้เขาจะได้เดินทางไปช่วยเหลืองานขององค์ชายรองก่อนเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า“รบกวนซูต้าเหรินจัดการเรื่องแทนเราด้วย พวกท่านแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเถอะ”“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมทูลลา” ซูจินค้อมกายคำนับองค์ชายรองและออกไปจากตำหนักพร้อมขุนนางทั้งหมด เขายังต้องคัดเลือกคนที่จะติดตามไปยังเมืองเฉิงกุยแทนองค์ชายรองด้วยไป๋จิ่นหลินที่ได้รับรายงานจากคนขององค์ชายรอง เขาสั่งฮูต้าให้ไปรวบรวมยาทั้งหมดในร้านค้าทันที ส่วนสิ่งของจำเป็นสำหร
หนึ่งเดือนต่อมาท้องพระโรงวันนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เนื่องจากฝ่าบาทได้รับข่าวจากเมืองเฉิงกุยว่าเกิดน้ำท่วมและโรคระบาดครั้งใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้ราษฎรจำนวนมากโดยรอบเมืองเฉิงกุย“พวกเจ้ามีใครต้องการจะเดินทางไปแก้ไขปัญหาที่เมืองเฉิงกุยหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามขุนนางทั้งหลายที่อยู่ในท้องพระโรง“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้เจ้าเมืองเฉิงกุยน่าจะจัดการได้พะย่ะค่ะ เราเพียงส่งเงินช่วยเหลือไปให้พวกเขาก็น่าจะเพียงพอแล้ว” มหาเสนาบดีกล่าวอย่างรู้ดีว่าเจ้าเมืองเฉิงกุยเป็นคนของเขา หากนำเงินจากท้องพระคลังส่งไปยังเมืองนั้น เขาเองก็จะได้รับส่วนแบ่งเงินบรรเทาทุกข์ครานี้ด้วย“กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกคิดว่าการมอบเงินให้อย่างเดียวไม่น่าจะเพียงพอพะย่ะค่ะ หากหมอที่เมืองเฉิงกุยไม่สามารถควบคุมโรคระบาดได้ แล้วมีคนหนีออกจากเมืองจนแพร่โรคไปทั่วแคว้น พอถึงตอนนั้นจะแก้ไขปัญหาก็คงยากราวกับขึ้นสวรรค์” องค์ชายรองรู้ดีว่ามหาเสนา
Mga Comments