จริงหรือไม่ว่านานไปความรักย่อมจืดจาง แต่ชีวิตคู่ยังอยู่ต่อไปได้เพราะยังคงเหลือความผูกพัน แต่ถ้าไม่เหลือทั้งรักและผูกพันชีวิตคู่ของเขาและเธอจะเป็นเช่นไร สกนธี สถาปนิกหนุ่มวัย 35 ผู้รักชีวิตสนุกสนานถึงแม้ว่าจะแต่งงานแล้ว อิสริยา เจ้าของร้านมินิมาร์ทผู้เป็นภรรยา หญิงสาววัย 30 ปีที่ถึงแม้จะแต่งงานแล้วแต่เธอและเขาก็ใช้เงินคนละกระเป๋า ต่างคนต่างมีงานตัวเอง ทั้งสองใช้ชีวิตแต่งงานมาจนถึงปีที่เจ็ด ด้วยความที่ต้องดิ้นรนกับสภาวะเศรษฐกิจจนทำให้ความหวือหวาหมดไป สองสามีภรรยาที่ดูเหมือนว่าจะมีชีวิตที่สวนทางกัน วันหยุดของเขาคือวันที่ขายดีของเธอเป็นแบบนี้มาหลายปีดีดักจนสองคนห่างกันไปเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าจิตใจก็จะห่างไปด้วยเช่นกัน เมื่อเธอเห็นว่าในปกเสื้อเขามีรอยลิปสติกและกลิ่นน้ำหอมที่แปลกไป ปีที่เจ็ด จะเป็นปีที่เจ็บหรือเปล่า ลองติดตามดูค่ะ
Voir plus“น้องเพียงรีบกินข้าวลูก วันนี้แม่ต้องไปซื้อของเข้าร้านค่ะ”
เสียงนั้นทำให้เด็กหญิงวัยห้าขวบรีบทานเร็วขึ้น วันนี้เป็นวันหยุดเด็กหญิงสุพิชชาจะไปที่ร้านกับมารดา
ร้านที่ว่าคือมินิมาร์ทที่แม่ของเธอเป็นเจ้าของ อิสริยาเปิดร้านนี้ตั้งแต่แต่งงานปีแรก เดิมทีก่อนหน้านั้นหญิงสาวทำงานประจำ แต่เมื่อแต่งงานแล้วสกนธีขอให้เธอออกจากงานมาเป็นแม่บ้าน แต่เมื่อเธอยอมทำตามที่เขาขอกลับพบว่าสกนธีไม่สามารถซัปพอร์ตเธอได้เท่าที่ควร และอิสริยาเองก็ไม่อยากขอเงินสามีใช้ เธอจึงตัดสินใจเอาเงินเก็บที่มีมาเปิดร้านมินิมาร์ทที่ตึกเก่าของครอบครัวซึ่งอยู่ในย่านการค้า
“คุณพ่อล่ะคะแม่” เด็กหญิงถามเมื่อนึกขึ้นได้
“คุณพ่อนอนดึกลูกเลยยังไม่ตื่น เราออกไปกันก่อนก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบเด็กน้อยที่ฉลาดขึ้นทุกวัน
“คุณพ่อทำงานดึกหาเงินมาเลี้ยงหนูกับคุณแม่ใช่ไหมคะ”
เด็กหญิงพูดต่อ คนเป็นแม่เงียบกริบเธอไม่อยากทำลายภาพพ่อที่ดีในสายตาของลูก จึงไม่ได้แย้งว่าความจริงแล้วสกนธีมีหน้าที่ในบ้านเพียงแค่จ่ายค่าเทอมลูกเท่านั้น นอกนั้นกินอยู่ ค่าเสื้อผ้าค่าน้ำไฟ ค่าของใช้ แม้แต่ค่ากับข้าวเธอก็ต้องออกเองหมด
สกนธีเดินลงมาจากชั้นบน ชายหนุ่มมีนัดตอนเช้ากับหุ้นส่วนเรื่องโพรเจกต์ใหม่
“วันนี้พี่ต้องไปคุยงานกับนนท์อาจจะกลับดึก เอ๋ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อนะ” เขาหยิบเอกสารที่โต๊ะทำงานเตรียมออกไปข้างนอก
“คุณพ่อขา หนูอยากไปเที่ยวค่ะ”
เด็กหญิงรีบลงจากเก้าอี้ไปหาบิดา สกนธีก้มลงหอมแก้มลูกสาวหนึ่งฟอดก่อนจะตอบว่า
“วันนี้คุณพ่อไม่ว่างเลยค่ะ น้องเพียงไปกับคุณแม่ก่อนได้ไหมคะ”
เด็กหญิงหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมเข้าใจ “งั้นคราวหน้าคุณพ่อต้องไปกับหนูนะ”
“จ้ะ พ่อไปนะคะ” สกนธีอุ้มลูกสาวพากลับมาส่งที่โต๊ะทานอาหารและหยิบกุญแจรถออกไป สักพักเสียงรถยนต์ของเขาออกจากบ้านไปอิสริยาจึงขยับตัว
“ไปกันรึยังคะลูก”
เช้าวันต่อมาอิสริยาเก็บเสื้อผ้าของสกนธีเตรียมแยกใส่เครื่องซักผ้า ปกติวันอาทิตย์เธอจะอยู่บ้านครึ่งวันเช้าทำงานบ้านและเข้าร้านในช่วงบ่าย เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยลิปสติกบนปกเสื้อและกลิ่นน้ำหอมที่ไม่ใช่ของเขา
เธอตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาชานนท์ เพื่อนรุ่นน้องของสามีและเป็นหุ้นส่วนทำบริษัทเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมด้วยกัน
“พี่นนท์เหรอ เอ๋เองนะคะ” เธอบอกเมื่อปลายทางรับสาย
“สวัสดีครับเอ๋” ชานนท์ตอบกลับมา
“เอ๋อยากถามว่าเมื่อคืนพี่เก่งเขาไปคุยงานกับพี่นนท์ใช่ไหมคะ”
“ครับ เมื่อคืนไปคุยกันที่ร้านเฮียหมิง แต่ไม่ดึกนะครับแค่สามทุ่มก็แยกย้าย” ชานนท์ตอบตามตรง
“ขอบคุณค่ะพี่นนท์ ไม่รบกวนแล้วสวัสดีค่ะ”
อิสริยาวางสายเธอรู้สึกหมดแรง ชานนท์บอกว่าแค่สามทุ่มก็แยกย้าย แต่สกนธีกลับมาถึงบ้านตอนตีสอง ที่ผ่านมาเธอปิดหูปิดตามาตลอดจนถึงวันนี้ที่รู้สึกว่าไม่อยากอดทนอีกแล้ว
วันนั้นสกนธีตื่นในตอนเกือบสิบนาฬิกา ตอนนั้นอิสริยากำลังเก็บผ้าที่เริ่มแห้งส่งร้านซักรีด
“อ้าวทำไมเสื้อตัวนี้ไม่เอาไปซักด้วยล่ะเอ๋” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นเสื้อเชิ้ตเมื่อคืนยังอยู่ในถังผ้า
“เมื่อคืนพี่เก่งไปไหนมาคะ” อิสริยาถามโดยไม่หันมามองเขา
“อ้าวพี่บอกแล้วไงว่าไปคุยงานกับไอ้นนท์” สกนธีตอบ เขาขมวดคิ้วเมื่ออิสริยาเดินมาหยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมาแล้วคลี่ให้เห็นปกเสื้อ
“แล้วนี่อะไรคะ”
สกนธีอึ้งเขาไม่รู้ตัวว่าเด็กเมื่อคืนจะทิ้งหลักฐานไว้
“ในร้านแบบนี้ก็มีเด็กดริงก์นั่งคุยเป็นปกติ มันจะอะไรนักหนาล่ะ พี่ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีสักหน่อย”
“อ้อ แล้วเลิกคุยสามทุ่มพี่ไปไหนต่อถึงกลับบ้านตีสอง”
หญิงสาวตัดสินใจถามตรงๆ
“นี่เธอโทรไปถามเพื่อนพี่เหรอ ไอ้นนท์มันจะคิดว่าพี่เป็นยังไงเมียถึงโทรเช็กแบบนี้ ก่อนจะโทษคนอื่นดูตัวเองก่อนนะว่าหน้าตาดูได้ไหมโทรมขนาดนี้ใครจะไปอยากอยู่ใกล้ ไม่ขอเลิกก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
สกนธีเอาเสียงดังเข้าข่ม เขารู้ว่าจุดอ่อนเธอคือเรื่องที่อิสริยาจะไม่ยอมให้ลูกขาดพ่อเด็ดขาด ไม่ว่าจะทะเลาะกันกี่ครั้งที่ผ่านมาพอเขาพูดเรื่องเลิกเธอจะเงียบและเป็นฝ่ายยอมเขามาตลอด
แต่วันนี้เธอเองก็ไม่อยากทนแล้ว ที่โทรมที่ไม่สวยเหมือนเดิมก็ไม่ใช่เพราะเขาก็มีส่วนหรอกหรือ
“ถ้ามันแย่ขนาดนั้นก็ไม่ต้องอยู่ค่ะ เราเลิกกันเลยก็ได้” อิสริยาพูดเสียงเรียบ เธอทนข่มความรู้สึกจนกลายเป็นความเก็บกดมาหลายปี
สกนธีโมโหขึ้นมาทั้งที่เขาเป็นฝ่ายผิด “งั้นก็ออกไปเลยเก็บของออกไปทั้งแม่ทั้งลูกบ้านนี้เป็นของพี่เพราะพี่เป็นคนซื้อ ถ้าคิดว่าที่อื่นอยู่ได้ก็ออกไปพาลูกเธอไปด้วย มีปัญญาเลี้ยงลูกเองก็ไปเลย”
เสียงเด็กหญิงสุพิชชาร้องไห้จ้าเมื่อได้ยินพ่อไล่เธอและแม่ อิสริยาตรงไปกอดลูกส่วนสกนธีเดินกระแทกเท้าปังๆ ออกไปจากบ้าน
อิสริยากอดปลอบลูกสักพักจนเด็กหญิงเงียบ และร้องไห้จนหลับไปเอง หญิงสาวปล่อยลูกให้นอนหลับและเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงหลับสนิทดีแล้วหลังจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มาโทรหาน้องสาว
“แบมเหรอมาช่วยพี่เก็บของหน่อย เอารถที่บ้านมาด้วย” เมื่ออีกฝ่ายรับสายเธอก็แจ้งถึงสิ่งที่ต้องการให้ช่วยทันทีจนน้องสาวงง
“อ้าวพี่เกิดอะไรขึ้น” เสียงน้องสาวถามมาอย่างแปลกใจอิสริยาจึงเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้น้องฟังและกำชับว่า
“มาเร็วๆ นะ เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน”
“ได้เลยพี่เอ๋ เดี๋ยวจะเอาลูกน้องไปช่วยขนด้วยมันไล่แล้วจะไปอยู่ทำไม”
ฝ่ายนั้นรับคำอย่างโมโห ก่อนสายจะตัดไปอิสริยาได้ยินเสียงน้องสาวเรียกหาลูกน้องเสียงดังไปหมด
ต่อจากนั้นหญิงสาวโทรไปที่ร้านมินิมาร์ทที่ตัวเองเป็นเจ้าของ สั่งให้แม่บ้านที่ร้านทำความสะอาดห้องพักด้านบนที่เธอตกแต่งเป็นห้องนอนไว้ก่อนหน้าเหมือนจะรู้ว่าจะมีวันนี้ เพราะอิสริยาเพิ่งรีโนเวตชั้นบนเป็นที่พักและตกแต่งเสร็จเมื่อสองเดือนที่แล้วเอง
เธอรอเพียงไม่นานอันธิกาก็มาถึงพร้อมกับลูกน้องที่บ้าน และเพราะว่าครอบครัวเดิมของเธอทำธุรกิจค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค จึงมีโกดังของตัวเองและมีลูกน้องมากมายที่พร้อมมาช่วยขนของแม้ว่าจะกะทันหันก็ตาม น้องสาวของเธอขับรถส่วนตัวมาและมีหัวหน้าคนงานขับรถหกล้อมาอีกหนึ่งคัน
อิสริยามีหน้าที่เพียงชี้สั่งว่าเธอจะเอาอะไรไปบ้าง จากนั้นทุกสิ่งก็ถูกขนขึ้นรถในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง
อันธิกาเข้ามาช่วยพี่สาวเก็บเสื้อผ้าของส่วนตัวและดูแลหลานสาวในห้องนอน
“พวกเอกสารสำคัญเอาไปหมดรึยังพี่” น้องสาวเตือน
“หมดแล้ว”
อิสริยาตอบสั้นๆ เธอไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับสกนธี เขาทำเพียงจดทะเบียนรับรองบุตรในตอนที่น้องเพียงเกิดมาจึงไม่มีเอกสารอะไรที่ยุ่งยาก
บ้านโล่งขึ้นมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เมื่อเธอให้คนงานขนของส่วนที่เป็นของเธอออก
“แล้วนี่ล่ะพี่ ชุดรับแขกนี่เงินพี่นะชุดละเกือบแสนไม่เอาไปเหรอ โต๊ะกินข้าวอีกไม้สักทองที่ป๊ายกให้ตอนแต่งงานก็ด้วย”
ณิชชาคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สี่ของบ้าน คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงสมใจคุณพ่อที่อยากเลี้ยงลูกสาววัยแบเบาะสักครั้ง “ดีจังเลยนะคะ บ้านเราจะได้ครึกครื้น” คุณนายอิสรีย์พูดกับสามี ขณะที่อุ้มทารกวัยแรกเกิดในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง “จริง ป๊าว่ามีอีกสักคนสองคนก็ดีนะอาตี๋ อั๊วมีสมบัติเยอะแยะแต่ลูกหลานรอรับสมบัติมีน้อยจัง ตอนนี้มีหลานแค่อาเพียง อาชมพู อาวิน หวานหวาน อาคีน แล้วก็เจ้าตัวเล็กคนนี้ส่วนอาแบมจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อสามีพูดไปด้วยก็มองหลานสาวคนใหม่ไปด้วยสายตาแห่งความรัก เป็นความรักที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาในฐานะหลานของครอบครัวอีกคน“ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับป๊า กลัวจะไม่มีเวลาให้ลูกมากพอจะดูแลไม่ทั่วถึง” อังกูรเลี่ยงไปก่อน ตัวเขาและภรรยาเคยคุยกันเรื่องนี้ว่าเธอจะทำหมันเลยหรือไม่ในตอนที่คลอดลูกคนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะณิชชาลังเล ส่วนอังกูรเองก็เห็นว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวจึงตกลงใจว่าหลังคลอดจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อนเด็กหญิงพุดพิชชาหรือ “น้องวุ้น” มีสุขภาพแข็งแรงดี เธอมีอาการร้องไห้ในช่วงดึกหรือโคลิกอยู่สามเดือนเต็ม ทำเ
วันนั้นทั้งอังกูรและณิชชาเหมือนได้ย้อนกลับไปเติมเต็มความสัมพันธ์ส่วนที่ขาดหายไประหว่างเขาสองคน นั่นคือการ ‘จีบ’ กันนั่นเอง ชายหนุ่มพาเธอไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ จากนั้นก็เป็นการไปใช้เวลาละเลียดอาหารและขนมอร่อยในร้านที่ณิชชาเป็นฝ่ายเลือกและปิดท้ายด้วยการไปช็อปปิง“เอาเสื้อแบบนี้ไปบ้างไหมคะ สดใสดี” ณิชชาทาบเสื้อฮาวายพื้นขาวมีลายสีน้ำทะเลลงบนไหล่สามี เหตุเพราะว่าอังกูรมีแต่เสื้อผ้าสีพื้นในตู้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวล้วน เทาล้วน น้ำเงินล้วน หรือดำสนิทก็ตามและสูทหรือเนกไทก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกัน“ถ้าณิชว่าดีก็เลือกมาให้เฮียหน่อย” ปีนี้เขาอายุสามสิบเจ็ดย่างสามสิบแปดอยู่แล้วในขณะที่ณิชชาอ่อนวัยกว่าถึงสิบปีเต็ม อังกูรจึงเริ่มอยากหันมาดูแลตัวเองเพราะไม่อยากให้ดูว่าอายุมาก ในขณะที่ณิชชากำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มเนื้อเต็มตัวณิชชาเลือกเสื้อผ้าให้เขาใหม่หนึ่งเซตใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดลำลองสำหรับวันพักผ่อนหรือไปเที่ยวไหนกับครอบครัว ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเขาเธอมองว่าเหมาะสมดีอยู่แล้วจากนั้นอังกูรพาณิชชาไปร้านจิวเวลลี่เพื่อหาแหวนเพชรวงเล็กๆ สำหรับให้เธอใส่ได้ทุกวัน เพราะว่าหญิงสาวเคยบอกว
เนื่องจากณิชชาตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่จึงแนะนำให้ทั้งสองจัดพิธีแต่งงานก่อนที่จะคลอด เพราะเกรงว่าหากเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องยุ่งกับภารกิจเลี้ยงลูกอ่อนไปอีกยาวเป็นปีแน่นอน ดังนั้นพิธีมงคลสมรสจึงถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือนต่อมา"เหนื่อยไหมณิช นั่งก่อนเฮียให้คนจัดโต๊ะกินข้าวแล้ว รอสักเดี๋ยว” อังกูรถามหลังจากที่จบพิธีช่วงครึ่งวันเช้าซึ่งเป็นพิธียกน้ำชาแบบธรรมเนียมจีน บ่าวสาวจะมีเวลาพักผ่อนส่วนตัวในช่วงบ่ายประมาณสามชั่วโมง ก่อนที่จะต้องไปแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงช่วงค่ำชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่า “เฮีย” ตามธรรมเนียมของครอบครัว ตั้งแต่ที่ตกลงใจเรื่องจัดงานแต่งเป็นเรื่องเป็นราวและพาเธอเดินสายแจกการ์ดให้กับญาติๆ และผู้ใหญ่ที่นับถือ ณิชชาเองแรกๆ ไม่ชินปากแต่นานไปเธอก็เรียกเขาว่าเฮียได้แบบเคยชินไปเอง“หิวค่ะแต่ไม่มาก...รอได้ เด็กๆ จะขึ้นมากันหรือยังคะเฮีย”“กำลังมาน่ะเฮียโทรลงไปตามแล้ว เล่นกันอยู่ที่ห้องป๊าม้าถามแล้วว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน เฮียก็เลยบอกให้พี่เลี้ยงพาขึ้นมาให้หมดทั้งสามคน” ทั้งสองอยู่ในห้องพักชั้นสามที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นโซนส่วนตัวของอังกูรทั้งชั้น เดิมป
เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามพิกัดที่ได้จากคนร้ายส่งมา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเป็นคนเก็บขยะได้จับกุมกำพลและเมลินดาอย่างง่ายดาย เพราะกำพลไม่สู้อยู่แล้วเนื่องจากกลัวถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนเมลินดาก็แพ้พิษมดแดงจนเกาไม่หยุดทำให้หลบหนีไม่รอด“แล้วเด็กสองคนอยู่ไหน” “ฉันจะไปรู้ได้ไง พวกมันหนีไปตั้งนานแล้ว” เมลินดาปฏิเสธว่าไม่รู้ ทำให้เธอถูกสอบสวนเพิ่มอย่างหนัก“ลูกหายไปที่ไหนคะ” ณิชชาร้องไห้เมื่อไม่พบว่าลูกสองคนอยู่ในบ้านเมลินดา“ใจเย็นๆ นะณิช ลูกอาจจะหลบอยู่แถวนี้” อังกูรปลอบใจหญิงสาวทั้งที่ตัวเองก็หนักใจ “ณิชเกิดอะไรขึ้นลูก” ป้าน้อยที่ได้ยินเสียงและผู้คนมากมายในย่านละแวกบ้านก็อดไม่ได้ที่จะมาดู มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าเรื่องให้แกฟัง รู้รายละเอียดประดุจป้าข้างบ้านทั้งที่ก็เพิ่งมาก่อนแกไม่นาน ป้าน้อยจึงตกใจมาก “เออ แล้วคีนก็หายไปนานละด้วยนะ บอกป้าว่าจะไปจับหิ่งห้อยในสวนน่ะ” แกตบเข่าฉาด“คีนหายไปตอนไหนคะป้าน้อย” ณิชชารีบถาม“น่าจะสักทุ่มนึงนะ เขาบอกว่าจะไปดูหิ่งห้อยในสวน ละเด็กมันไปประจำป้าเห็นว่าเขาไม่ได้ออกนอกเขตบ้านก็เลยไม่ได้ว่าอะไร” แกฉุกใจคิดว่าตอนแกเด
เด็กชายเขมินท์มองภาพที่วินและหวานหวานถูกพาเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านอีกคนอย่างไม่เข้าใจ ตอนนั้นเขากำลังเดินมาหาหิ่งห้อยในสวนหลังบ้านของนางน้อย จึงทันได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี“ไม่เห็นอาณิชบอกเลยว่าพี่วินกับพี่หวานจะมา แล้วพี่วินมากับป้าเมลได้ยังไง” เด็กชายไม่เข้าใจเลย แต่ความที่เมลินดาเสียงดังและหงุดหงิดทำให้เขาเข้าใจว่านี่อาจจะไม่ใช่สภาวะปกติ ทำให้เขาแอบดูด้วยความกลัวและระวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบลัดเลาะผ่านเข้าไปในเขตบ้านของเมลินดา ที่มีเพียงแนวกอกล้วยห่างๆ เป็นรั้วธรรมชาติ เขาแอบฟังเมลินดาและกำพลพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้คำตอบให้ตัวเอง“พี่วินกับพี่หวานถูกป้าเมลจับตัวมาแบบในหนังเลย” ทันทีที่เห็นกำพลขับรถออกไป ซึ่งเขาได้ยินว่าเมลินดาสั่งให้ไปซื้ออะไรมาให้คู่แฝดกิน เด็กชายจึงหาทางแอบเข้าไปในตัวบ้านอย่างมุ่งมั่นว่าจะไปช่วยญาติทั้งสอง เขาเปิดประตูหลังบ้านที่ไม่เคยมีกลอนล็อกดังนั้นเขาจึงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย“คีนมาช่วยแล้วพี่แฝด” “หวานหวานใจเย็นนะ ไม่ต้องกลัว” วินปลอบน้องสาว“วินไม่กลัวเหรอ” หวานหวานย้อนถามเด็กชายส่ายหน้าทันที “ไม่กลัว”“ทำไมล่ะ ไม่กล
“นี่เราต้องเอาไอ้เด็กเวรสองคนนี่ไปด้วยจริงๆ เหรอเมล” กำพลแฟนหนุ่มของเมลินดาเริ่มทนไม่ไหว หลังจากที่ต้องรับมือกับคู่แฝดมานานเกินห้าชั่วโมง“พี่ว่าเราเอาสมบัติที่ติดตัวมันมาไปขายแล้วปล่อยมันไว้ตรงไหนสักที่ก็พอมั้ง” “โอ๊ย มันจะมีอะไรติดตัวมาสักเท่าไหร่ ไอ้สร้อยทองจี้เล็กๆ ไม่น่าจะเกินบาทนึง สองเส้นก็สองบาทได้ยังไม่ถึงแสนเอาไปทำอะไรได้ อย่าโง่สิพี่” เนื่องจากวันนี้เด็กๆ ใส่ชุดไทย อันธิกาจึงเลือกสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ มาให้หลานใส่เป็นเครื่องประดับ และมันก็มีมูลค่าไม่มากหากจะนำไปขาย และยังเสี่ยงกับการถูกจับอีกด้วย “แต่พี่กลัวถูกจับ กลัวติดคุกนี่มันคดีอาญาเลยนะเมล” กำพลเริ่มใจคอไม่ดี“ปล่อยมันไปตอนนี้คิดเหรอว่าจะไม่โดนคดี โดนตั้งแต่ตีหัวนังเอมี่ละจับมันไปขังในห้องเก็บของหลังห้างแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เลือดไหลหมดตัวตายไปหรือยัง สาระแนดีนัก” เมลินดาพูดต่อด้วยความฉุนเฉียว “ละไอ้นาฬิกาของอีเด็กนี่ที่โยนทิ้งไป ก็ไม่รู้ว่าตำรวจตามเจอหรือยังเถอะ”“หนูหิวข้าว I'm hungry ” หวานหวานตะโกนขึ้นมาจากเบาะหลัง “เงียบ” เมลินดาหันไปตวาดใส่“ก็หนูหิว นี่มันเย็นแล้วนะคะคุณป้า”
Commentaires