บทที่ 41
คุ้นเคยกันแล้ว!
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านหน่านหลี่ช้าๆ เสียงกีบม้าดังกุบกับต่อเนื่อง
ไม่นานนัก ฉินหรูพลันเบิ่งตาโต เพิ่งตระหนักถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
คืนนี้อาเหยานอนกับท่านตาท่านยาย หมายความว่านางกับเฟิงหยางต้องนอนเตียงเดียวกันตามลำพัง
แม้เขาจะรับปากว่าจะไม่แตะต้องนางหากไม่มีการยินยอม แต่ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน หากผู้เป็นภรรยาปรนนิบัติสามีได้ไม่ดี ไม่ช้าก็เร็วสามีจะต้องแอบเลี้ยงดูหญิงอื่นไว้นอกบ้าน
เพื่อทำหน้าที่ของภรรยาอย่างสมบูรณ์ คืนนี้นางจะต้องยอมระลึกความหลังอันร้อนแรง!
พอคิดถึงเรื่องนั้น สีหน้าของฉินหรูประเดี๋ยวแดงก่ำประเดี๋ยวขาวซีด
เห็นว่าอยู่ดีๆ สีหน้าของภรรยาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดูไม่เป็นธรรมชาติ เฟิงหยางจึงถามด้วยความห่วงใย
“เสี่ยวหรู ยังมีเรื่องอื่นที่เจ้ากังวลอีกหรือ”
ฉินหรูสะดุ้งเยือก รีบสั่นหน้าตอบว่า “เปล่าเจ้าค่ะ”
กระนั้นเฟิงหยางกลับเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เชื่อ
หญิงสาวจ้องมองดวงตาคมเข้มของสามี ยืนยันอีกครั้ง “ไม่มีอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ”
แน่นอน เฟิงหยางก็ยังไม่เชื่อคำพูดของภรรยา เพราะสีหน้าของนางดูกังวลเหลือเกิน แต่ในเมื่อนางยืนยันถึงสองครั้ง เขาจึงไม่รบเร้าถามต่อ
…..
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เฟิงหยางเข้าห้องหนังสือ จากนั้นจั่นเถิงก็ถือเอกสารเดินเข้าเดินออก ทั้งสองคนยุ่งอยู่กับตลอดทั้งช่วงบ่าย
ตอนที่พวกเขาสะสางงานเสร็จ เป็นช่วงมื้อเย็นพอดิบพอดี
มื้อเย็นผ่านไปเพียงสักพัก ฉินหรูพลันวางตะเกียบลง รู้สึกว่าอาหารวันนี้จืดชืดไปหน่อย เพียงไม่กี่คำก็อิ่มแล้ว
“อิ่มแล้วหรือ” เฟิงหยางถามภรรยาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“สงสัยข้าจะคิดถึงอาเหยามากไปหน่อย เห็นกับข้าวบนโต๊ะก็ยิ่งคิดถึงลูก พลอยทำให้กินอะไรไม่ลงไปด้วย”
เฟิงหยางพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
“ข้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกับฮูหยิน พออาเหยาไม่อยู่ รู้สึกว่าบ้านหลังนี้เงียบอย่างบอกไม่ถูกเลยเจ้าค่ะ” ซินเหมียวกล่าวเสริม แม้จะคิดถึงเจ้าตัวเล็ก แต่นางก็กินข้าวลงอยู่นะ
พอพูดจบ ซินเหมียวก็พุ้ยข้าวเข้าปากคำโต
“เจ้าพูดถูก ข้าก็รู้สึกว่าบ้านหลังนี้เงียบยิ่งนัก” ฉินหรูพยักหน้าเห็นพ้องกับซินเหมียว
เฟิงหยางยิ้มบางๆ พลางคีบน่องไก่ใส่ถ้วยข้าวให้ภรรยา “พรุ่งนี้อาเหยาก็กลับมาแล้ว กินต่ออีกสักนิดเถอะ กินน้อยเกินไปจะป่วยเอาได้”
ฉินหรูแม้รู้สึกซึมเซาเพราะคิดถึงลูก หากก็คีบน่องไก่ขึ้นมากินคำเล็กๆ
หลังกินข้าวอิ่ม ซินเหมียวกับเพ่ยเหนียงช่วยกันเก็บโต๊ะ
ฉินหรูอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงกลับเข้าห้อง ล้างหน้า บ้วนปากและเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน
เพิ่งจะล้มตัวนอนบนเตียง เฟิงหยางก็เปิดประตู ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง
ระหว่างที่ชายหนุ่มสืบเท้าเข้ามาใกล้เตียง ดวงตาดำคมเข้มจ้องมองนางอย่างลึกล้ำ
ฉินหรูรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไป พลันนั้น นางรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา
จริงสิ...คืนนี้อาเหยาไม่อยู่ นางกับเขาต้องนอนร่วมเตียงกันสองต่อสอง!
คิดจบ ฉินหรูขยับตัวเข้าไปนอนติดผนัง
หลังจากเฟิงหยางดับตะเกียง ภายในห้องก็ตกอยู่ในความมืดสลัว เฟิงหยางทิ้งตัวนอนลง ฉินหรูที่นอนเตียงฝั่งในนอนนิ่งเหมือนถูกแช่แข็ง นางอาศัยแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางกรอบหน้าต่างมองขื่นคานเพดาน
สักพักหนึ่ง เฟิงหยางพลิกกายนอนตะแคง หันหน้ามาทางฉินหรู
“กลัวข้าหรือ”
คำถามนี้ไม่ใช่แค่การหยั่งเชิง แต่ความหมายของเฟิงหยางตรงตามที่พูด
นางสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบกลับไป “ข้าไม่ได้กลัว แค่…ไม่ชิน”
คำตอบของนางทำให้สีหน้าของชายหนุ่มคลายความตึงเครียด
“พวกเราแต่งงานกันได้แค่สี่วัน ยังไม่ทันได้รู้จักกันดี ท่านก็ออกจากบ้านเสิ่นไปรับใช้ชาติ” นางกล่าวเสริม “ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ท่านทั้งหายหน้า ทั้งไร้การติดต่อ หากข้าคุ้นเคยกับท่านก็แปลกแล้ว”
เฟิงหยางเข้าใจความรู้สึกของภรรยา
ตอนกลับมาถึงเมืองฉาง ได้เจอหน้าลูกกับภรรยาครั้งแรก เฟิงหยางใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเชื่อว่าตนแต่งงานและมีลูกกับผู้หญิงคนนี้
ทว่า หลังจากได้ใช้ชีวิตร่วมกัน จากคนแปลกหน้าก็เปลี่ยนคุ้นเคย ดังนั้น
“แล้วตอนนี้เล่า” เขาถาม
“ก็…นับว่าคุ้ยเคยแล้ว”
ทันทีที่ฉินหรูพูดจบ แขนแกร่งวาดมาโอบกอดเอวบาง
ฉินหรูตัวแข็งทื่อ
รูปร่างของเฟิงหยางสูงกำยำ กล้ามเนื้อแน่นอันมาจากการฝึกฝนวรยุทธ์เป็นเวลานาน ส่วนฉินหรูเป็นคนตัวเล็ก พออยู่ในอ้อมกอดของสามียิ่งดูบอบบางน่าทะนุถนอมเข้าไปอีก
อย่างไรก็ตาม พอถูกกอดฉินหรูรู้สึกร้อนผะผ่าวในอก คงเพราะไออุ่นจากร่างกายของเฟิงหยางที่แผ่จำจายมาถึงนางกระมัง
พอถูกกอดอยู่แบบนั้น นานเข้านางก็คุ้นชิน ร่างกายที่แข็งเกร็งพลันผ่อนคลาย
สักครู่หนึ่ง เฟิงหยางขยับเข้ามาแนบชิดร่างบาง นางก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ต่ำลงไปที่บริเวณใต้ท้องน้อย ตรงกึ่งกลางลำตัวของเขาเหมือนจะ...มีปฏิกิริยา พูดให้เข้าใจง่าย แก่นกายลำตัวของเฟิงหยางกำลังขยายใหญ่ และแถม…มันใหญ่โตมากด้วย!
ฉินหรูกลับมาเกร็งร่างอีกครั้ง
“เป็นแบบนี้แล้ว ยังกลัวข้าหรือไม่”
เฟิงหยางลองหยั่งเชิงถามภรรยา
“เอ่อ ข้า...”
พอนึกถึง ‘ขนาด’ ของสามี มันก็น่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ ถึงอย่างนั้น ความใกล้ชิดนี้ก็ทำให้นางรู้สึกเขินอายด้วย ภายในร่างกายยังร้อนระอุ
สรุปคือนางไม่ได้กลัว เหมือนตื่นเต้นมากกว่า
คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วนางก็ส่ายหัวเล็กน้อย
เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจ เฟิงหยางจึงหมุนร่างภรรยาให้หันกลับมาเผชิญกับเขาตรงๆ ลองสังเกตอาการของนางก่อน เมื่อเห็นว่าใบหน้าสวยแดงก่ำเพราะความเขิน เขาเองก็โล่งใจ
ทันใดนั้น เขาโน้มใบหน้าลง จูบปากนางเบาๆ เมื่อผละออกมาก็กล่าวว่า “ข้าจะระวัง ไม่ทำให้เจ้าเจ็บ”
จากนั้น เฟิงหยางเริ่มจากละเลียดริมฝีปากของภรรยาเบาๆ อีกครั้ง
เสื้อผ้าของเขาและนางถูกถอดออกในเวลาไม่นาน จากนั้นร่างแกร่งพลันขึ้นทาบทับบนร่างบอบบางของภรรยา
ครั้งนี้ เขาปลุกเร้านางอย่างช้าๆ ทั้งที่ตนเองก็แทบจะทนไม่ไหว
ครั้งนี้ เขาค่อยๆ เตรียมพร้อมร่างกายของนาง ไม่รีบร้อนสอดใส่เหมือนเมื่อสี่ปีก่อน
เฟิงหยางรู้ว่าฉินหรูหวาดกลัว เขาจึงเล้าโลมนางอย่างค่อยเป็นค่อยไป คอยจูบปลอบนางในตอนที่นางสะอื้น
เมื่อร่างบอบบางนอนอ่อนระทวย กึ่งกลางลำตัวเปียกชื้น เฟิงหยางถึงค่อยสอดแทรกความแข็งแกร่งเข้าไปในจุดเร้นลับ
แม้ตอนแรกฉินหรูจะร้องว่าเจ็บและมีท่าทีทรมาน หากเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ร้องครวญครางเสียงอ่อนเสียงหวาน ข้างในยังบีบรัดแน่นครั้งแล้วครั้งเล่า
หนนี้ เฟิงหยางแทรกกายเข้าไปจนหมด จากนั้น เอวแกร่งพลันขยับไหว โดยยังควบคุมแรงกายเอาไว้
ฉินหรูมีความสุขจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง นางหลับตาลง ปากก็ร้องคร่ำครวญ “อื้อๆ อ๊าๆ” ขณะที่ร่างบอบบางของนางสั่นระริกไม่หยุด
เฟิงหยางเห็นว่าภรรยาไม่ได้ต่อต้าน ทั้งยังคุ้นชินกับ ‘ขนาด’ ของเขาแล้ว วงแขนแกร่งจึงกอดร่างอ่อนนุ่มของภรรยา ยกบั้นท้ายนางขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเอวสอบก็ขยับถี่รัวราวกับพายุถาโถม
สองร่างต่างซึมซับความสุขจากของกันและกันตามสัญชาตญาณ
เฟิงหยางเคี่ยวกรำภรรยาทั้งคืน กระทั่งอรุณรุ่งเข้ามาแทนที่ความมืดถึงได้ปล่อยให้นางเป็นอิสระ
บทพิเศษมิตรภาพ หลังจากเฟิงหยางออกบ้านไปได้สักพัก เสี่ยวจินกับไป๋เหิงก็มาเยือน หญิงสาวทั้งสามยังคงสนิทสนมกันดี แม้ภายหลังต่างแยกย้ายไปมีเส้นทางของตนเอง แต่พวกนางมักมารวมตัวกันบ้านเฟิงบ่อยๆ ไป๋เหิงกับคุณชายใหญ่เซวียเยี่ยนจื่อ คุยกำหนดการและวันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าพธีแต่งงานจะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า เสี่ยวจินลงเอยกับเฉินต้านเมื่อไม่นานมานี้ แม้ไม่ได้จัดงานแต่งงานใหญ่โตเหมือนกับไป๋เหิง แต่อย่างน้อย นางได้กราบไหว้ฟ้าดินและทำพิธีคารวะญาติผู้ใหญ่ “เสี่ยวหรู สามีเจ้าเพิ่งออกไปค่ายทหารหรือ ระหว่างทางพวกข้าเห็นเขาควบม้าออกไปพอดี นี่ๆ เจ้ากับสามีหักโหมเกินไปหรือไม่ ทำเขาไปสายแล้ว” เสี่ยวจินเปิดประเด็น ท้ายประโยคยังแซวสหายพลางหัวเราะคิก “ใช่ๆ ไปค่ายเวลานี้ ไม่นับว่าสายไปหรือ” ไป๋เหิงยิ้มแย้ม เอ่อออกับเสี่ยวจิน ฉินหรูแกล้งทำหน้ามุ่ย โบกมือแล้วกล่าวตัดบทพวกนางทั้งสอง “ช่างเรื่องของสามีเถอะ ข้าสนใจเรื่องของพวกพี่สาวมากกว่า พี่เสี่ยวจิน วันนี้ปักปิ่นมาสวยเชียว ไม่คิดเลยว่าเฉินต้านจะเป็นสามีที่เอาอกเอ
บทพิเศษเป็นวันที่ดี รุ่งอรุณมาเยือน แสงอาทิตย์สีทองทอประกายเข้ามาทางหน้าต่าง ทันทีที่เฟิงหยางลืมตาตื่นขึ้น พลันพลิกตัวนอนตะแคง มุมปากยกยิ้มขณะมองภรรยาที่ยังหลับใหลบนที่นอน เมื่อคืนเขาคงรังแกนางมากไปหน่อย ทำให้นางอ่อนเพลียต้องตื่นสายแล้ว คิดจบ เฟิงหยางก็ยื่นมือออกไปลูบไล้แก้มเนียนของภรรยาแผ่วเบา ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด เขารู้สึกถึงความสุขและอุ่นหัวใจเมื่อเห็นว่านางยังอยู่เคียงข้าง ครู่ต่อมา ขนตาหนาเป็นแพรของหญิงสาวขยับไหวราวกับปีกผีเสื้อ ก่อนดวงตาคู่สวยจะเปิดปรือขึ้น ฉินหรูค่อยๆ ลืมตาตื่น ทันใดนั้นก็เห็นว่าสามีกำลังยิ้มมองนางอยู่ ริมฝีปากของนางพลันคลี่ยิ้มให้เขาด้วยความอ่อนเพลีย ขณะเดียวกัน ดวงตาคู่สวยก็เต็มไปด้วยความรักที่ไม่มีวันหมด “ท่านพี่...” ริมฝีปากของฉินหรูขยับเรียกสามีแผ่วเบา “ข้าทำเจ้าตื่นหรือ” แม้เฟิงหยางจะถามเช่นนั้น หากนิ้วมือกลับเลื่อนลงมาลูบไล้กลีบปากอิ่มสวย ราวกับไม่อาจหักห้ามใจให้ปล่อยมือจากนาง “ปกติข้าตื่นเช้ากว่
บทพิเศษอุ่นรัก(อีกครั้ง) กลิ่นอาหารที่กำลังปรุงใหม่ๆ ลอยมาจากโต๊ะกลางห้อง กลิ่นนั้นหอมมาก ทั้งยังทำให้กระเพาะของเฟิงหยางถึงกับร้องระงม ตั้งแต่รับนางกับลูกกลับมาอยู่ด้วยกัน ผ่านมาหลายเดือนแล้ว แม้นานๆ ครั้งนางจะเข้าครัวสักที แต่เฟิงหยางย่อมรู้ถึงความอร่อยในรสมือของฉินหรู นอกจากนี้ยังทำให้เขาคลั่งไคล้อย่างที่สุด เช้านี้เฟิงหยางครึ้มอกครึ้มใจเป็นพิเศษ เพราะไม่มีเรื่องใดให้เขาต้องปวดหัวหรือเป็นกังวลอีกแล้ว เหนืออื่นใด คนงามของเขาเป็นยอดภรรยาหาผู้ใดเทียบไม่ได้ หัวใจเขามอบให้นางไปจนหมดสิ้น สิ่งที่ทั้งคู่ยังขาดคือการเติมความหวานละมุนละไมให้แก่กัน อีกอย่างหนึ่ง ช่วงนี้อาเหยาอ้อนไปอยู่บ้านท่านตาเพราะกำลังเห่อน้องสาว นับว่าทางสะดวก! หลังจากจบคดีความของเสิ่นเทา ผ่านมาแล้วสองเดือน เขากับนางไม่ได้ร่วมเตียงกันอีกเลย เขาเองก็เป็นบุรุษ ย่อมมีความใคร่ อยากกอดภรรยาใจจะขาดอยู่รอมร่อ ตั้งแต่กลับมาอยู่ด้วยกัน เขาเพิ่งจะกอดนางไปแค่คืนเดียวก็ตอนที่อาเหยาไปอยู่กับท่านตาท่านยาย! เวลานี้ เฟิงหยางกำลังแช่ตัวอยู่ใน
บทที่ 45บทสรุป ย้อนกลับมา ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองฉาง หลังจากหัวหน้ามือปราบยกหีบเก็บเงิน เอกสารรายรับรายจ่ายและสมุดรายชื่อเข้ามาในที่ว่าการ เสิ่นเทาก็ทรุดลงกับพื้นทันที คร่ำครวญว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ หีบเงินและสมุดรายชื่อเหล่านี้เป็นของผู้อื่น ตนถูกคนใส่ความ แน่นอนว่า คำพูดของเสิ่นเทาโกหกอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่หัวหน้ามือปราบไปยังห้องลับนั้น หนิงลี่กำลังสั่งให้พวกบ่าวขนย้ายข้าวของออกไปพอดี เรียกได้ว่าจับได้แบบคาหนังคาเขา ในเมื่อหลักฐานแน่นหนาถึงเพียงนี้ เหล่าขุนนางกังฉินยังประทับลายนิ้วมือ สารภาพผิดกันหมดแล้ว เสิ่นเทาก็ไร้หนทางรอดเช่นกัน วันต่อมา เสิ่นเทายอมรับสารภาพ ทั้งยังขอร้องให้ละเว้นชีวิตของเสิ่นเซียวอวี้และหลานที่กำลังจะคลอด นายอำเภอเซวียไม่ได้ตอบทันที แต่ใช้เวลาพิจารณคดีสองวันสองคืน ในที่สุด การตัดสินคดีก็ถูกติดบนป้ายประกาศ ขุนนางกังฉินและเสิ่นเทาเกี่ยวข้องกับคดีมากมาย ทั้งคดีฆาตกรรมทั้งหาเงินมาอย่างมิชอบ ได้รับโทษประหารในอีกเจ็ดวันให้หลัง เสิ่นเซียวอวี้ผู้เป็น
บทที่ 44ชะตากรรมของบ้านเสิ่น ตั้งแต่เสิ่นเทาถูกทางการเรียกตัว หนิงลี่ร้อนรนเหมือนไฟลนก้น เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องโถง หารือว่าจะช่วยเสิ่นเทาอย่างไร เพียงไม่นาน เสิ่นเซียวอวี้กับจางเหมยเหมยก็มาถึง พ่อบ้านเสิ่นกับไฉ่ไฉ่มารอก่อนแล้ว จึงไม่ต้องเสียเวลานาน หนิงลี่นั่งไม่ติดเก้าอี้ เดินกลับไปกลับมาพลางว่า “สามีข้าถูกทางการเรียกตัว ไต่สวนคดีปล่อยกู้และติดสินบน พวกเจ้าช่วยคิดหาวิธีช่วยเขาออกมาหน่อย” พ่อบ้านเสิ่นครุ่นคิด ก่อนจะเสนอให้ยัดเงินนายอำเภอเซวีย ไฉ่ไฉ่นั้นจนปัญญา ไม่มีความคิดดีๆ เนื่องจากยังตรอมใจที่คนรักทอดทิ้งนางไป ด้านจางเหมยเหมยกลุ้มใจยิ่งกว่า เป็นแค่สะใภ้ที่แต่งเข้า ไม่คิดว่าจะต้องมาติดร่างแหไปด้วย ทั้งยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ในขณะที่ทุกคนร้อนใจจะเป็นจะตายเรื่องที่เสิ่นเทาถูกจับ กลับมีเพียงคนคนเดียวที่ไม่ทุกข์ร้อน นั่งหัวเราะคิกคักราวกับเห็นเป็นเรื่องตลก คนคนนั้นก็คือเสิ่นเซียวอวี้! เสิ่นเซียวอวี้กวาดสายตามองสีหน้าเป็นทุกข์ของทุกคนในห้องโถง ชี้หน้าเรียงตัวพร้อ
บทที่ 43ไต่สวน คดีขุนนางทุจริตเกี่ยวโยงกับคดีปล่อยกู้ของเสิ่นเทา นอกจากนี้ พบว่าวิธีการทวงหนี้ของเสิ่นเทานั้นยังโหดร้ายทารุณ ถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตไม่น้อย ในเมื่อมีผู้เสียชีวิตย่อมเป็นคดีฆาตกรรม แต่เสิ่นเทารอดพ้นความผิดมาได้เพราะความช่วยเหลือจากขุนนางกังฉิน อย่างไรก็ตาม การฆาตกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ย่อมมีหลักฐาน บัดนี้ หลักฐานและพยานบุคคลครบเรียบร้อย นายอำเภอเซวียจึงเรียกขุนนางกังฉินเหล่านั้นสอบสวนทีละคน สุดท้ายถึงค่อยเป็นเสิ่นเทา หลายวันต่อมา เสิ่นเทาถูกเรียกตัวมายังที่ว่าการอำเภอ จากนั้นผู้ช่วยนายอำเภออ่านสรุปสำนวนคดี เสิ่นเทาเบื้องหน้าทำธุรกิจค้าขาย แต่เบื้องหลังปล่อยกู้ มอบเงินสินบนแก่ขุนนาง และยังชุบเลี้ยงโจรกลุ่มหนึ่ง หากลูกหนี้ใช้หนี้คืนไม่ตรงตามกำหนด เสิ่นเทาจะใช้วิธีทวงเงินอย่างโหดเหี้ยมทารุณ กังขังหน่วงเหนี่ยว ทรมานจนถึงแก่ชีวิตก็มี ญาติของลูกหนี้ที่เป็นผู้หญิง จะถูกจับไปขายให้กับหอคณิกา อ้างว่าเพื่อขัดดอก... ทั้งที่เสิ่นเทาทำการอุกอาจ แต่ยังลอยนวลม