บททั้งหมดของ ฉันแท้ง... ในวันเกิดชู้รัก: บทที่ 1 - บทที่ 10

90

บทที่ 1

เจียงซู่ถือรายงานผลการตั้งครรภ์นอกมดลูกไว้ในมือด้วยสีหน้าซีดเผือด ก่อนที่เธอจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อติดต่อสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเธอเสียงโทรศัพท์ดังอยู่หลายวิก่อนปลายสายจะรับโทรศัพท์ โจวซือเหย่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างที่เคยเป็นมาตลอดว่า “มีอะไร?”เจียงซู่กำผลรายงานแน่น เธอรู้สึกจุกจนแทบพูดไม่ออก ไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อไป และได้แต่ถามคนในสายออกมาว่า “คุณมาที่โรงพยาบาลได้ไหม?”โจวซือเหย่ยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ จู่ ๆ ในสายก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากไกล ๆ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ซือเหย่ นี่คือของขวัญวันเกิดที่พี่ให้ฉัน...”โจวซือเหย่เลือกที่จะจบบทสนทนาอย่างเร่งรีบโดยไม่ถามอะไรเพิ่ม “ผมมีธุระ มีอะไรก็ติดต่อเลขาหลู่เอาแล้วกัน”ก่อนที่อีกฝ่ายจะกดวางสาย เจียงซู่ได้ยินเสียงที่แสนอ่อนโยนของอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า “ชอบไหมเอ่ย?”“โจวซือ...”เธอยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เสียงสัญญาณวางสายก็ดังขึ้น เธอทำได้เพียงกำผลรายงานในมือแน่นขึ้นอีก จนข้อนิ้วของเธอซีดขาวไปหมดเจียงซู่จำเจ้าของเสียงของผู้หญิงคนนั้นได้ว่าคือใคร เธอคือรักแรกของโจวซือเหย่ ชื่อเวิงอี๋“ญาติคุณม
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 2

โจวซือเหย่เคยชินและชอบที่เจียงซู่เป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังคำเขามาโดยตลอด การที่เธอแสดงท่าทีต่อต้านไม่เหมือนดั่งเก่าอย่างกระทันหันเช่นนี้ จึงทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากเจียงซู่รู้สึกเหมือนตัวเองหาเรื่องใส่ตัว ถามคำถามที่ตัวเองนั้นรู้คำตอบอยู่แก่ใจอยู่แล้ว และยังจะทำให้ตัวเองรู้สึกอับอายอีกคนเราเมื่ออ่อนแอลง มักจะรู้สึกน้อยใจได้ง่าย สิ่งต่าง ๆ ที่เก็บซ่อนไว้ในใจ มันเริ่มจะกลั้นไว้ไม่อยู่ ควบคุมไม่ได้ เจียงซู่มองหน้าเขาอย่างไม่หลบสายตา และพูดต่อว่า “วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานห้าปีของเรา”สิ้นเสียงของอีกคน โจวซือเหย่ถึงกับยืนอึ้ง เขาลืมเรื่องนี้ไปจริง ๆเมื่อเห็นสีหน้าของเขาตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดต่ออีกแล้วจริง ๆ การที่เขาจำไม่ได้มันก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะอย่างไรเสีย ในปีนั้นตัวเธอก็แต่งงานกับไก่ตัวผู้โจวซือเหย่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบลง “เดี๋ยวชดเชยให้ทีหลัง”คำตอบของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าทำให้เธอใจเย็นลงเรื่องมันก็ดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว เธอจึงไม่อยากจะทะเลาะอะไรกับเขาอีก เจียงซู่จึงเป็นคนเลือกการจบบทสนทนานี้โดยการ “พรุ่งนี้ไปทำเรื่องหย่ากันเถอะ”เมื่อเขาได้
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 3

โจวซือเหย่เดินทางกลับบ้านพร้อมกับสร้อยคอที่เลขาหลู่เลือกซื้อมาให้ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบว่าเจียงซู่ไม่อยู่ และเพิ่งนึกถึงเรื่องที่เธอออกไปทำงานนอกสถานที่โดยปกติแล้วเจียงซู่ออกไปทำงานนอกสถานที่อยู่บ่อย ๆ อยู่แล้ว เขาเลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเป็นพิเศษ และวันนั้นเขาก็ทานอาหารมื้อค่ำคนเดียวในห้องอาหารเมื่อเขาทานเสร็จ เขารอให้คนเอาผ้าเช็ดมือมาให้ด้วยความเคยชิน แต่เมื่อนึกได้ว่าเจียงซู่ไม่อยู่ เขาจึงต้องเช็ดมือด้วยตัวเองโจวซือเหย่ถามขึ้น “เธอได้บอกไหมว่าจะกลับมาเมื่อไหร่? ”แม่บ้านเฉินตอบกลับว่า “คุณผู้หญิงไม่ได้บอกค่ะ”เมื่อก่อนเวลาเจียงซู่ออกไปทำงานนอกสถานที่เขาจะบอกกำหนดการเดินทางให้เขาเสมอ แต่ครั้งนี้กลับไม่บอก โจวซือเหย่จึงขมวดคิ้วขึ้นด้วยความไม่พอใจส่วนเจียงซู่ผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดก็นั่งทานอาหารมื้อค่ำเพียงคนเดียวเช่นกัน เธอเก็บกวาดขยะในบ้านก่อนจะไปล้างหน้าแปรงฟันและเข้านอนเตียงใหม่ สถานที่ใหม่ แต่กลับไม่ได้ทำให้เจียงซู่รู้สึกแปลกที่แปลกทางเลยสักนิด เธอสามารถนอนได้อย่างสบายเช้าวันถัดมาในช่วงเช้าเจียงซู่ไม่ได้ไปทำงาน แต่เธอตั้งใจไปเยี่ยมคุณย่าที่โรงพยาบาล
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 4

เจียงซู่รู้ดีว่าเฉินเหยาฉินคลั่งไคล้การมีหลานชายมากแค่ไหน และเธอไม่อยากถูกจับตาดูแม้กระทั่งตอนนอน“แม่คะ ที่นี่อยู่ไกลจากบริษัท ต้องตื่นเช้าทุกวัน เดี๋ยวจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนของอาเหย่เอานะคะ”ตอนนี้ลูกชายคือทั้งชีวิตของเวินเหยาฉิน เจียงซู่จึงใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ในการต่อรองเป็นไปตามแผน เวินเหยาฉินมีสีหน้าลังเลขึ้นมาทันทีโจวซือเหย่หันมามองเธอด้วยสายตาขรึมเล็กน้อย เธอช่างฉลาดในการใช้เขาเป็นโล่กำบังจริง ๆ เจียงซู่รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างจากสายตาของเขาที่มองมา แต่เธอเลือกที่จะเพิกเฉยเหมือนที่เขาทำเมื่อครู่เรื่องที่จะให้กลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้จึงหยุดไว้แต่เพียงเท่านั้น แต่แม่สามีผู้แสนดีของเธอไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ โดยการลงมือจัดแจงให้แม่บ้านอู๋ย้ายจากบ้านใหญ่มาอยู่กับพวกเขาเจียงซู่พยายามจะลองปฏิเสธอีกครั้ง แต่มันไม่เป็นผล เวินเหยาฉินมีท่าทีเด็ดขาด และตัดสินใจทันที“ป้าอู๋คะ ฉันหิวแล้ว เมื่อไหร่จะเริ่มทานข้าวคะ? ”เมื่อเสียงพูดจบ ร่างเพรียวบางของหญิงสาวคนหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เธอคือโจวหว่านซิน น้องสาวของโจวซือเหย่เมื่อเจ้าของร่างเพรียวบางนั้นเห็นพวกเขาทั้งสอง ก็กล่าวทักทายด้
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 5

คำพูดบิดเบือนพวกนั้นออกมาจากปากของเด็กกลุ่มนั้น แต่เจียงซู่กลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อยจะให้คนบลู่ลี่มาพูดโดยใช้หลักของเหตุและผล มันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี“ช่วยด้วย...”เด็กหนุ่มที่ตกลงไปในน้ำว่ายน้ำไม่เป็น ซึ่งตอนนี้เขากำลังดิ้นรนอยู่เพื่อเอาตัวรอดอยู่ในน้ำเหล่าบรรดาเด็กหนุ่มสาวที่ยืนอยู่บนฝั่งไม่มีใครคิดจะลงไปช่วยเลยสักคน แถมยังเริ่มสั่งการด้วยว่า “แกยังไม่รีบลงไปช่วยขึ้นมาอีก ถ้าฉินควานเป็นอะไรไป ตระกูลฉินไม่ปล่อยแกไว้แน่!”เจียงซู่มองดูคนที่กำลังตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่ในน้ำ และสุดท้ายก็เป็นเธอที่เป็นคนลงมือประโยคสุดท้ายของเด็กคนนั้นเป็นแรงกดดันที่ทำให้เธอเริ่มเกิดหวาดกลัว เพราะถ้าเด็กนั่นเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ และต้องอยู่ภายใต้คำให้การของเด็กกลุ่มนี้แล้วนั่น เธอก็จะกลายเป็นฆาตกรที่สังหารผู้เยาว์ทันทีพวกเด็กเหล่านั้นที่อยู่เหนือฟ้าและกฎหมายกล้าทำอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าหากเหตุการณ์มันมาถึงจุดนั้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการประนีประนอมยอมความ หรือการปกป้องตัวเอง หรือแม้แต่การชดใช้พร้อมคำขอโทษ สุดท้ายเธอก็เป็นผู้ถูกทอดทิ้งอยู่ดีเพราะโจวซือเหย่ไม่มีทางต้องการภรรยาที่เป็น ‘ฆา
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 6

วินาทีที่เจียงซู่ก้าวขาออกจากโรงเรียน กระดูกสันหลังที่เคยตั้งตรงก็อ่อนยวบลงความเข้มแข็งที่แสดงออกไปเมื่อครู่ กลายเป็นอัตราการเต้นของหัวใจที่เต้นรัวในตอนนี้เนื่องจากเธอเป็นลูกบุญธรรม ความจริงแล้วเจียงซู่จึงคุ้นเคยกับการอดทนอดกลั้นมาตั้งแต่เด็ก และมีนิสัยที่อ่อนน้อมยอมคนแต่เธอก็ไม่ใช่ตุ๊กตาดินที่ปั้นจากโคลนเสมอไปเธอแค่หวังว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อครู่นี้ จะกระตุ้นให้โจวหว่านซินช่วยให้เธอหย่าสำเร็จทันใดนั้นอาการปวดตุบ ๆ ที่หน้าผากเตือนให้เธอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่นาทีก่อน เจียงซู่จึงไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีที่เธอออกมาจากโรงพยาบาล โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ซึ่งเป็นสายจากเจียงซงหวาเจียงซู่ไม่อยากรับ แต่ก็ไม่กล้ารับ เพราะมันคือความกลัวที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกตั้งแต่เด็ก เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วกดรับสาย จากนั้นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำสั่งของเจียงซงหวาก็ดังขึ้นจากปลายสาย“พรุ่งนี้พาซือเหย่กลับมาทานข้าวที่บ้าน”เจียงซู่ก้มหน้าลงพลางแกะนิ้ว เธอรู้ดีว่ามื้อนี้ไม่ใช่การรวมตัวของครอบครัว แต่เป็นเพราะเจียงซงหวามีโครงการใหม่ที่ต้องการความร่วมมือพูดให้ดีก็คือการร่วมมือ แต่ถ้าพูดให้ร้ายหน่อย
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 7

ความเงียบของเธอ ในสายตาของโจวซือเหย่ มันคือการยอมรับโดยปริยายหลายวันมานี้ เธอก็ทำตัวไร้เหตุผลกับเขาเพราะเรื่องของเวิงอี๋ การที่เธอผลักเวิงอี๋เข้าไปในกองไฟ ยิ่งทำให้โจวซือเหย่ไม่พอใจเธอเป็นอย่างมากเวิงอี๋ร้องไห้เสียใจอย่างหนักจนแทบจะยืนไม่ไหว ซบในอ้อมกอดของโจวซือเหย่ ราวกับว่าเธอถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก“ซือเหย่ ฉันอยากกลับบ้าน”โจวซือเหย่หันมามองเจียงซู่ด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง โดยไม่พูดอะไรอีก แต่ประคองอีกฝ่ายขึ้นรถแล้วขับออกไปเจียงซู่รู้สึกจุกแน่นในใจเมื่อถูกเขามองเมื่อมองดูรถหรูที่ขับห่างไกลออกไป เพื่อนร่วมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็เดินเข้ามาหาอย่างวิตกกังวล “เจียงซู่ เธอว่าท่านประธานโจวจะไล่พวกเราทั้งหมดออกเพราะเถ้าแก้เนี้ยหรือเปล่า?”คำว่า 'เถ้าแก้เนี้ย' แทงเข้ากลางใจเธออีกครั้งขนาดนี้แล้ว เขายังบอกว่าเวิงอี๋เป็นแค่น้องสาวของเขาน้องสาวคนไหนจะสำคัญกว่าภรรยาอย่างเธอได้?เจียงซู่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ใครจะไปรู้”อย่างไรก็ตาม เธอกำลังจะลาออกอยู่แล้ว ไม่ว่าจะถูกไล่ออกหรือไม่ ก็ไม่สำคัญสำหรับเธออีกต่อไปพวกเขาแยกย้ายกันที่หน้าโรงแรม จากนั้นเจียงซู่ก็นั่งรถกลับบ้านที่คฤห
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 8

เธอไม่ได้บอกโจวซือเหย่เรื่องที่เจียงซงหวาให้เธอพาเขากลับไปทานข้าวที่บ้าน เมื่อขับรถกลับมาถึงบ้านตระกูลเจียง คนที่มาเปิดประตูให้คือ เจียงเจียเหวินเจียงเจียเหวินเป็นลูกสาวของเจียงซงหวากับภรรยาคนที่สอง เธออายุน้อยกว่าเจียงซู่สี่ปีคนที่เคยยิ้มแย้มสดใส เมื่อเห็นว่าเจียงซู่มาคนเดียว ใบหน้าของเธอก็บูดบึ้งในทันที “ทำไมมีแค่พี่ล่ะ?”“ลูกเขยกลับมาแล้ว”เสียงของเจียงซงหวาดังมาจากในบ้านเมื่อเห็นเจียงซู่ ทั้งพ่อและลูกสาวมีสีหน้าเหมือนกัน“ลูกเขยล่ะ?”เจียงซู่ตอบว่า “เขามีงาน มาไม่ได้ค่ะ”ได้ยินดังนั้น เจียงซงหวาก็มีสีหน้าผิดหวังแต่เจียงเจียเหวินกลับเบ้ปาก “ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ได้บอกพี่เขยเลยด้วยซ้ำหรอกนะ”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา สายตาของเจียงซงหวาก็เริ่มมองสำรวจทันทีเมื่อมองดูเจียงเจียเหวินที่แต่งตัวสวยหรู เจียงซู่ก็เข้าใจเหตุผลที่เธออาสามาเปิดประตูน้องสาวคนนี้กำลังจ้องเขมือบพี่เขยปีนั้น ตอนที่เธอรู้ว่าเจียงซู่จะไปแต่งงานเพื่อแก้เคล็ด เธอยังหัวเราะเยาะอยู่นาน ต่อมาเมื่อเห็นว่าเจียงซู่ไม่ได้กลายเป็นหม้าย เธอก็เริ่มอิจฉา เพราะตระกูลโจวมีฐานะสูงส่งเกินไปเจียงเจียเหวินตั้งใจที่จะแย่งช
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 9

คำพูดที่ดูเหมือนจะปกป้องของเวิงอี๋ ในสายตาของเจียงซู่ มันเป็นเพียงการยั่วยุเท่านั้น ราวกับว่าเธอใจกว้างและเห็นอกเห็นใจมากแค่ไหน ตัวเจียงซู่เองยังไม่ได้พูดอะไร แต่ไต้ซานเหอกลับรู้สึกคลื่นไส้กับท่าทางที่เสแสร้งของเธอ เธอกำลังจะอ้าปาก แต่ถูกเจียงซู่ดึงไว้ก่อน “ผู้ช่วยเวิง ฉันจำได้ว่าบัวขาวไม่ได้เติบโตในเรือนกระจกนะ” เวิงอี๋ได้ยินดังนั้นก็ทำหน้างงงัน “พี่เจียง พี่หมายความว่ายังไงคะ?” เจียงซู่พูดว่า “ในเมื่อคุณอยากเลี้ยงดอกไม้นี้ ทำไมไม่ศึกษาลักษณะนิสัยล่วงหน้าล่ะคะ สุดท้ายอย่าให้มันตายล่ะ” ชัดเจนว่าดอกไม้ที่ว่าไม่ใช่ดอกไม้จริง ๆ แต่เธอกำลังพูดในเชิงเปรียบเทียบ คนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่นั้นก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจว่าเจียงซู่กำลังว่าเธอเป็นดอกบัวขาว(ผู้หญิงเจ้าเล่ห์) เวิงอี๋ทำหน้าน้อยอกน้อยใจ “พี่เจียง พี่มีอคติอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ?” เจียงซู่โยนคำถามกลับไป “ทำไมฉันถึงต้องมีอคติกับเธอด้วยล่ะ?” เวิงอี๋ไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่กลับหันไปมองโจวซือเหย่ “พี่ซือเหย่ พี่เจียงดูเหมือนจะเข้าใจฉันผิดไปแล้วนะ” คิ้วของโจวซือเหย่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เจียงซู่ คุณเลิกงี่เง่าได้ไหม?” มันน่าสน
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 10

วันต่อมาเจียงซู่ตื่นขึ้นมาพร้อมด้วยดวงตาที่มีอาการบวมข้าง ๆ ที่นอนเรียบและไร้ความอบอุ่น ชัดเจนว่าโจวซือเหย่ไม่ได้กลับบ้านตลอดทั้งคืนอีกแล้วเธอตื่นขึ้นมาแล้วใช้น้ำแข็งประคบตา เพราะเป็นวันอาทิตย์ เจียงซู่จึงอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหนตอนเที่ยง เธอได้รับโทรศัพท์จากแม่สามี บอกว่ามีเรื่องให้เธอไปที่บ้านใหญ่ น้ำเสียงของเธอดูไม่ดีนักเจียงซู่ไม่กล้าถามอะไรมาก และขับรถไปทันทีโจวหว่านซินก็อยู่ที่บ้านด้วย ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้น แต่ยังมีผู้หญิงแปลกหน้าอีกสองคน ซึ่งเจียงซู่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยเจียงซู่พูดอย่างนอบน้อม “แม่คะ”เวินเหยาฉินเปิดปากถามทันที “วันประชุมผู้ปกครองของซินซิน เธอไปทำร้ายใครหรือเปล่า?”เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงซู่ก็หันไปมองโจวหว่านซิน และเห็นว่าเธอมีสายตาที่ยั่วยุ ราวกับกำลังดูละครสนุก ๆเมื่อมองดูผู้หญิงแปลกหน้าสองคนนั้น เจียงซู่ก็จำเด็กสาวคนนั้นได้ทันที เธอคือนักเรียนที่ทำให้เจียงซู่มีเลือดออกเจียงซู่ไม่ได้ปฏิเสธ “ใช่ค่ะ”เรื่องนี้เธอไม่ปฏิเสธ“ฉันทำไปเพราะมีเหตุผล...”เธอยังอธิบายไม่ทันจบ ก็ถูกผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เด็กสาวคนนั้นขัดขึ้น “ฉันไม่สนว่าเธอจะมีเหตุ
อ่านเพิ่มเติม
ก่อนหน้า
123456
...
9
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status