เหม่ยหลินเชฟหญิงผู้โด่งดังจู่ๆ ก็ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหญิงสาสใจร้ายที่ยากจนและไม่มีใครอยากอยู่ใกล้
View Moreกลิ่นหอมหวลของน้ำมันงากับกระเทียมเจียวฉุนกึกไปทั่วทั้งครัวสเตนเลสสตีลขนาดใหญ่ อุณหภูมิภายในห้องที่สูงลิบไม่ได้ทำให้สติของ เหม่ยหลิน วัยสามสิบห้าปีสะท้านสะเทือนแม้แต่น้อย ใบหน้าเรียวสวยที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นยามอยู่นอกครัว บัดนี้กลับเคร่งขรึมและเปี่ยมด้วยสมาธิ ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องไปยังกระทะใบยักษ์เบื้องหน้า ที่กำลังเดือดพล่านด้วยความร้อนระอุจากเตาแก๊สแรงดันสูง
"ผักบุ้งไฟแดงสามที่! กุ้งผัดพริกเกลือหนึ่ง! ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊วสอง!" เสียงตะโกนสั่งจากหัวหน้าเชฟประจำไลน์ดังสนั่น เหม่ยหลินไม่รอช้า มือหนึ่งตวัดกระบวยเหล็กตักน้ำมันร้อนจัดราดลงบนกุ้งตัวโตที่กำลังถูกทอดในอีกกระทะจนผิวส้มสวย อีกมือก็ตวัดผักบุ้งที่เพิ่งลงกระทะแรงๆ เพียงไม่กี่ครั้ง เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนขึ้นท่วมกระทะ ราวกับจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ แต่เหม่ยหลินกลับนิ่งสงบราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเปลวไฟนั้น เธอคือเชฟกระทะเหล็กแห่งภัตตาคาร 'มังกรทอง' ภัตตาคารอาหารจีนหรูใจกลางมหานครเซี่ยงไฮ้ ที่เลื่องชื่อเรื่องรสชาติอาหารระดับห้าดาวและการตกแต่งที่วิจิตรบรรจง เธอสั่งสมประสบการณ์ในเส้นทางนี้มานับสิบปี ฝึกฝนฝีมือจนได้รับการยอมรับจากทั้งเชฟรุ่นอาวุโสและบรรดานักชิมทั่วสารทิศ การทำอาหารไม่ได้เป็นเพียงอาชีพ แต่มันคือ ชีวิตและจิตวิญญาณ ของเธอ "เชฟเหม่ย! ผักบุ้งไฟแดงของคุณนี่ไม่มีใครเทียบได้จริงๆ ครับ! ดูสีสิครับ! เขียวสดเหมือนเพิ่งเด็ดมาจากต้น แถมยังกรอบสะเด็ดอีก!" เชฟฝึกหัดคนหนึ่งเอ่ยชมด้วยความชื่นชมยามที่เธอกำลังตักผักบุ้งใส่จานอย่างประณีต เหม่ยหลินเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร เธอเดินไปหยิบปลาหิมะตัวอวบที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ วางลงบนจานอย่างเบามือ ไอความร้อนจากปลานึ่งลอยขึ้นกระทบใบหน้า เผยให้เห็นเนื้อปลาสีขาวผ่องราวหิมะ โรยหน้าด้วยขิงซอย ต้นหอมซอย และพริกแดงซอยอย่างวิจิตร ก่อนจะราดน้ำซีอิ๊วสูตรพิเศษลงไปอย่างช้าๆ กลิ่นหอมฟุ้งของซีอิ๊วชั้นดีกับน้ำมันงากระตุ้นต่อมรับรสของทุกคนในครัวให้ทำงานทันที "เชฟเหม่ยหลิน! คุณนี่แหละคืออัจฉริยะในเรื่องรสชาติ!" หัวหน้าเชฟใหญ่ประจำภัตตาคารที่ยืนดูอยู่ห่างๆ เอ่ยชมด้วยความพึงพอใจ "วันนี้นอกจากเมนูที่คุณทำแล้ว อีกสองโต๊ะก็ยังสั่งติ่มซำที่คุณรังสรรค์ขึ้นมาอีกด้วย ทุกคนต่างชื่นชมไม่ขาดปาก!" เสียงชมเชยจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าเชฟเป็นรางวัลที่หอมหวานสำหรับเหม่ยหลิน เธอรู้ดีว่าเธอมาไกลแค่ไหนจากเด็กสาวบ้านนอกที่หลงใหลการทำอาหาร จนกลายเป็นเชฟมืออาชีพที่กุมหัวใจนักชิมไว้ได้ งานเลี้ยงมื้อค่ำวันนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ เหม่ยหลินปลดผ้ากันเปื้อนออก สูดหายใจลึกๆ รับอากาศเย็นสบายหลังเลิกงาน เธอเดินออกมาจากภัตตาคารที่ประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงและป้ายอักษรจีนโบราณอย่างงดงาม สองเท้าก้าวเดินไปตามถนนที่คึกคักไปด้วยแสงสีของป้ายไฟนีออนระยิบระยับ ผู้คนยังคงเดินสวนกันไปมาอย่างขวักไขว่ เหม่ยหลินคลี่ยิ้มเล็กน้อย พลางก้มหน้าลงอ่านหนังสือนิยายที่เพิ่งซื้อมาวันนี้ เป็นเรื่องราวความรักย้อนยุคของจอมยุทธ์ในสมัยโบราณที่กำลังโด่งดัง เธอเพลินกับการอ่านจนไม่ทันสังเกตว่าตัวเองเดินมาถึงทางม้าลายแล้ว สัญญาณไฟคนข้ามเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผู้คนรอบข้างเริ่มก้าวขาลงสู่พื้นถนน เหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นมองเห็นสัญญาณไฟสีเขียวชัดเจน เธอก้าวเดินตามฝูงชนไปอย่างไม่รีบร้อน สายตายังคงจับจ้องไปที่ตัวอักษรในหนังสือนิยายในมืออย่างไม่วางตา จู่ๆ... เสียงเบรกดังสนั่นแหวกอากาศยามค่ำคืน เสียงเครื่องยนต์คำรามดังกระหึ่มผิดปกติ สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือ แสงไฟสีขาวจ้าพุ่งตรงเข้ามาหาเธอด้วยความเร็วสูง! ร่างกายของเธอถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ ความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วทุกอณู...ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง ตื่นขึ้นในแดนอดีต ความรู้สึกหนักอึ้งและปวดร้าวไปทั่วร่างดึงเหม่ยหลินให้กลับคืนสู่สติ เปลือกตาที่หนักอึ้งพยายามปรือเปิดขึ้นช้าๆ ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือ เพดานไม้เก่าๆ สีหม่น มีหยากไย่เกาะพะรุงพะรังอย่างหนาแน่น กลิ่นอับชื้นผสมกลิ่นไอดินและกลิ่นไม้เก่าโชยเข้าจมูกอย่างจัง มันไม่ใช่กลิ่นคุ้นเคยในห้องนอนสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดของเธอ เธอพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ความเจ็บแปลบที่ท้ายทอยทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนไปเล็กน้อย มือเรียวบางยกขึ้นกุมขมับ พลางกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆ ห้องที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด...แต่ก็ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ ห้องนอนแห่งนี้ช่างเรียบง่ายและเก่าแก่ มีเพียงเตียงไม้ที่เธอเพิ่งลุกขึ้นนั่ง โต๊ะไม้ตัวเล็กๆ ที่มีร่องรอยการใช้งานมายาวนาน และเก้าอี้ไม้ไม่กี่ตัวที่ดูทรุดโทรม ผนังห้องเป็นไม้กระดานสีซีดจาง มีรอยเปื้อนดำๆ ประปราย เสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวก็เป็นชุดผ้าฝ้ายสีทึมๆ ดูโบราณและไม่คุ้นตาเอาเสียเลย สายตาของเธอเคลื่อนไปสะดุดกับกลุ่มคนสี่คนที่นั่งรวมกันอยู่ตรงมุมห้อง ชายหนุ่มสามคนและหญิงสาวหนึ่งคนที่กำลังตั้งครรภ์ ทุกคนดูอ่อนวัยและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ราวกับหลุดออกมาจากละครย้อนยุคที่เธอเคยดู พวกเขาดูซีดเซียวและมีท่าทางประหม่า ดวงตาของพวกเขามองมาที่เธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความ ตื่นตระหนก หวาดกลัว และแฝงไว้ด้วยความไม่ไว้วางใจ ราวกับเห็นภูตผีปีศาจก็ไม่ปาน "น้ำ...ขอน้ำหน่อย" เสียงแหบแห้งเล็ดลอดออกมาจากลำคอที่แห้งผากราวกับทะเลทราย เธอกะพริบตาถี่ๆ พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า ทันทีที่สิ้นเสียงของเธอ หญิงสาวที่ตั้งครรภ์ก็สะดุ้งเฮือก เธอตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะรีบลุกขึ้นพรวดพราด แทบจะวิ่งไปรินน้ำชาจากกาดินเผาใส่ถ้วยไม้เล็กๆ แล้วรีบนำมาให้เธอด้วยท่าทาง ลุกลนและระแวงจัด มือไม้สั่นจนน้ำชาในถ้วยกระฉอกออกมาเล็กน้อย เหม่ยหลินรับถ้วยน้ำมาจิบอย่างรวดเร็วเพื่อดับกระหาย แต่แล้ว...รสชาติแปลกๆ ก็แล่นเข้ามาในปาก มันเฝื่อนและมีกลิ่นดินจางๆ แถมเมื่อเธอก้มมองดูน้ำในถ้วยดีๆ ก็เห็นว่า มีตะกอนสีขาวขุ่นลอยอยู่ก้นถ้วย! "น้ำ...น้ำนี่มันไม่สะอาด" เธอกล่าวออกไปโดยไม่ทันคิด เพียงแค่คำพูดนั้นหลุดจากปาก สีหน้าของคนทั้งสี่ก็ซีดเผือดลงไปอีก พวกเขารีบลุกพรวดแล้ว คุกเข่าลงกับพื้นทันที โดยพร้อมเพรียงกัน สร้างความตกใจให้เหม่ยหลินไม่น้อย เด็กชายคนโตสุดที่ดูจะอายุราวสิบแปดปี ใบหน้าคมคายของเขาบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว เขาคือ หลี่เฟยหลง ผู้เป็นหัวหน้าของน้องๆ ทั้งปวง แม้จะยังเด็กแต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรับผิดชอบและแฝงความแข็งกร้าว ส่วนเด็กชายคนรองที่ดูอายุราวสิบห้าปี ใบหน้าฉายแววฉลาดและรอบคอบ แต่ก็ยังคงมีความหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด เขาคือ หลี่เฟยหาน ผู้ช่างสังเกต และเด็กชายคนเล็กสุดที่น่าจะอายุราวสิบปี รูปร่างผอมกะหร่อง ดวงตากลมโตกำลังฉายแววหวาดกลัวจัดจนน้ำตาคลอเบ้า เขาคือ หลี่เฟยหยาง ที่มักจะแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา และหญิงสาวที่ตั้งครรภ์ที่น่าจะอายุราวสิบเจ็ดปี เธอคือ ชิวลี่ฮวา ภรรยาของหลี่เฟยหลง ซึ่งกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ราวสามสี่เดือน ใบหน้าอ่อนหวานของเธอบัดนี้เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและตัวสั่นเทิ้ม "ท่านแม่! พวกบ่าวผิดไปแล้ว! โปรดอย่าลงโทษพวกบ่าวเลยเจ้าค่ะ/ขอรับ!" เสียงหวาดหวั่นปนเสียงสะอื้นของหลี่เฟยหยางทำให้เหม่ยหลินถึงกับ ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ท่านแม่? พวกบ่าว? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เจ้าของร่างเดิมนี่มันนิสัยไม่ดีขนาดไหนกันนะเนี่ย! ถึงได้ทำให้เด็กๆ เหล่านี้หวาดกลัวจนตัวสั่นได้ขนาดนี้! เหม่ยหลินคิดในใจอย่างหัวเสีย นี่มันไม่ใช่แค่ไม่ดี แต่มันเลวร้ายเลยล่ะมั้ง "ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรหรอก" เธอบอกเสียงอ่อน พยายามทำให้ทุกคนคลายความหวาดกลัวลง "แค่เอาน้ำสะอาดมาให้ข้าก็พอ...พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้โมโหหรือลงโทษตามที่คาดคิดไว้ ทุกคนจึงค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเธอ สายตาของหลี่เฟยหลงยังคงจับจ้องเธออย่างระแวง ไม่ยอมคลาย เหม่ยหลินสอดส่องสายตาสำรวจไปทั่วทั้งห้องอีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นรายละเอียดปลีกย่อยมากขึ้น โต๊ะไม้มีรอยผุพังจนเนื้อไม้บวมโป่ง ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในห้องมีเพียงไม่กี่ชิ้น แต่ละชิ้นก็เก่าแก่และทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด เธอเดินไปดูนอกหน้าต่าง ภาพที่ปรากฏคือบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ใกล้กันก็ดูเก่าทรุดโทรมไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เล็กๆ หรือกระท่อมดินหลังคามุงจาก ถนนเบื้องล่างเป็นถนนลูกรังเต็มไปด้วยฝุ่นแดงๆ ผู้คนเดินไปมาบนถนนแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายสีทึมๆ ดูเรียบง่ายและเก่าคร่ำครึ ไม่มีตึกสูงระฟ้า ไม่มีแสงสีของป้ายไฟนีออน ไม่มีรถยนต์วิ่งพลุกพล่าน มีแต่รถลากที่เทียมด้วยคนหรือสัตว์ และรถจักรยานเก่าๆ ไม่กี่คัน บรรยากาศทั้งหมดบ่งบอกถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมหานครเซี่ยงไฮ้ที่เธอจากมา และที่น่าตกใจที่สุดคือผู้คนที่เดินสวนกันไปมานั้นล้วนเป็นชาวจีน ไม่ใช่ฝรั่งตาน้ำข้าวอย่างที่เคยเห็นในข่าวเกี่ยวกับคนจีนยุค 70 จากหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผอมแห้งกำลังหาบน้ำมาแต่ไกล ส่วนอีกคนกำลังอุ้มไก่เดินผ่านหน้าบ้านไป ทะลุมิติแน่ๆ! แถมดูท่าจะมาอยู่ในยุค 70 ที่แร้นแค้นซะด้วย! เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อภาพความทรงจำเกี่ยวกับรถชนยังคงวนเวียนในหัว ภาพสุดท้ายคือแสงไฟจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้ามาหาเธอ เธอกวาดสายตามองสภาพบ้านที่ทรุดโทรมและข้าวของเครื่องใช้ที่บ่งบอกว่า ครอบครัวนี้ "จน" แทบจะไม่มีอะไรเลย นี่แหละคือความจริงที่เธอต้องเผชิญ ความจริงที่ว่าเธอต้องมาติดอยู่ในร่างของ "แม่เลี้ยง" ที่ใจร้าย ซึ่งเธอไม่รู้ว่าใครคือสามีของร่างนี้และเขาหายไปไหน แถมยังอยู่ในยุคที่แร้นแค้นเช่นนี้ ทำให้เหม่ยหลินรู้สึกท้อแท้เพียงชั่วขณะ ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างถาโถมเข้าใส่ แต่ในฐานะเชฟมืออาชีพที่มีความสามารถและไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ สัญชาตญาณของนักสู้ก็ผุดขึ้นมาในใจ ไหนๆ ก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว แถมยังมีลูกๆ ที่หวาดกลัวเธอให้ดูแลตั้งสี่ชีวิต...อย่างน้อยก็ต้องทำให้ชีวิตของพวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่านี้! แววตาของเหม่ยหลินฉายแววแน่วแน่ เธอคิดในใจ เธอจะใช้ความสามารถด้านอาหารของตัวเอง เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตระกูลหลี่ที่แร้นแค้นแห่งนี้ให้รุ่งเรืองให้ได้! เธอจะพลิกฟื้นความผูกพันในครอบครัวที่แตกสลาย และเอาชนะใจลูกๆ ที่เคยหวาดกลัวเธอให้ได้!หลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง
การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง
Comments