มาอยู่ในร่างมารดาที่เดิมต้องตายไปแล้วของนางร้ายตัวฉกาจในนิยายเรื่องหนึ่ง สตรีที่งามล่มเมืองหากแต่มีสามีผู้ชั่วร้าย แล้วหญิงสาวที่ไม่เคยมีลูกเช่นนางต้องเลี้ยงดูเด็กคนนี้อย่างไร? ให้ตายเถอะ!
View More"อย่าขยับ! ถ้าพวกแกไม่อยากถูกยิง ค่อย ๆ เอามือพาดที่ท้ายทอยแล้วก้มหัวลงเดินมาทางนี้!"
หว่านหว่านคือหญิงสาวอายุยี่สิบเก้าเป็นลูกครึ่งไทยจีนที่ถูกมารดาทิ้งเอาไว้ในโรงพยาบาลที่เมืองจีน ก่อนที่หญิงสาวจะถูกรับเลี้ยงโดยสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าในมณฑลเทียนจิน เธอเติบโตขึ้นมาอย่างดีด้วยเพราะเรียนเก่งจึงสามารถคว้าทุนการศึกษามาได้มากมายจนกระทั่งเรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ยที่ดูดีและได้เข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งหญิงสาวอายุยี่สิบเก้า ในช่วงเวลาที่นับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในชีวิต เธอพึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสาขาย่อยแห่งหนึ่งและกำลังจะย้ายเข้ารับตำแหน่งในอีกหนึ่งถึงสองวัน
เป็นเพราะว่าต้องการทำความคุ้นเคยกับสถานที่จึงได้เดินทางมาก่อนล่วงหน้าหลายวัน ในขณะที่เธอกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่ในห้างสรรพสินค้ากลางใจเมือง อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุร้ายขึ้น อาชญากรกว่ายี่สิบคนจับลูกค้าภายในห้างแห่งนี้เป็นตัวประกันและหนึ่งในนั้นก็คือเธอ
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแต่ดูเหมือนว่าอาชญากรเหล่านั้นจะพูดคุยกับตำรวจไม่เข้าใจ พวกมันจึงไม่คิดจะปล่อยตัวประกันไป ตัวประกันถูกลากออกมาสังหารทีละคน จนกระทั่งผ่านไปห้าคนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าด้านนอกจะยังไม่มีสัญญาณส่งความช่วยเหลือเข้ามาแม้แต่น้อย
ระหว่างนั้นมีเด็กคนหนึ่งอยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นก่อนจะออกตัววิ่งตามสัญชาตญาณของหญิงสาวเธอลุกขึ้นแล้วคว้าตัวเด็กน้อยคนนั้นเข้ามากอดไว้แนบอกก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นต่อเนื่องหลายนัด หว่านหว่านรู้สึกเจ็บปวดจนไม่อาจจะเคลื่อนไหวร่างกายของเธอได้อีกแล้วพร้อมกับร่างบางที่ค่อย ๆ ล้มลงกระแทกกับพื้นเสียงดัง ตึง! ดวงตาของเธอค่อยหรี่เล็กลงพร้อมกับลมหายใจที่รวยริน เธอคิดในใจว่าจริง ๆ แล้วความตายมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแต่เธอยังไม่อยากจะตายเลยสักนิดมีชีวิตรอดมานานถึงเพียงนี้ชีวิตดี ๆ ยังไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้งทำไมต้องมาตายง่าย ๆ แบบนี้ด้วยนะ!
ดวงตาที่กำลังจะหลับพลันมองไปเห็นป้ายโปรโมตนิยายเรื่องดังที่กำลังมาแรงที่สุด ได้ข่าวว่านักเขียนที่เขียนเรื่องนี้หล่อมากแฟนคลับสาว ๆ เพียบเลยทีเดียว น่าอิจฉาชะมัด หว่านหว่านหัวเราะในลำคอเธอคงไม่ไหวแล้วจริง ๆ ถึงเวลาที่ต้องนอนพักสักหน่อยแล้ว
เสียงกรีดร้องของตัวประกันรอบ ๆ ร้องขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่สุดแสนสะเทือนใจ มารดาของเด็กคนนั้นลากตัวลูกของตัวเองเข้ามากอดไว้แนบอกเด็กอายุแค่ห้าขวบ เพียงเพราะการกระทำชั่ววูบทำให้หญิงสาวคนหนึ่งต้องมาตายแทน สายตาหลายสิบคู่มองมาที่ผู้เป็นมารดาของเด็กคนนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บ้างก็คิดว่าเป็นเพราะแม่ไม่ดูแลเด็กให้ดี บ้างก็คิดว่าหญิงสาวคนนั้นไม่จำเป็นต้องวิ่งออกไปช่วยเหลือเลยสักนิดเพราะคนทั้งสองไม่ได้เป็นอะไรกัน
ในขณะนั้นสายตาเหล่านั้นไม่รู้เลยว่าผู้เป็นมารดาของเด็กน้อยคนนั้นมิได้ใส่ใจลูกเป็นเพราะเธอกำลังคอยสังเกตหว่านหว่านอยู่ หญิงวัยกลางคนผู้นั้นรู้สึกตกใจไม่น้อยที่ในตอนแรกเธอได้เจอกับหว่านหว่าน แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะไม่รู้จักเธอแต่เธอนั้นรู้จักหว่านหว่านเป็นอย่างดี เพราะหว่านหว่านคือเด็กที่เธอคลอดออกมาเองแล้วก็ทิ้งเอาไว้ที่โรงพยาบาลเมื่อยี่สิบเก้าปีก่อน หลังจากนั้นเธอก็ได้ข่าวว่าเด็กน้อยถูกรับไปเลี้ยงก่อนจะตามไปเฝ้าสังเกตเด็กสาวในทุก ๆ ปี เพียงแต่ไม่กล้าที่จะเข้าไปทักทาย
มาวันนี้บุตรสาวที่นางทอดทิ้งกลับเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องน้องชายที่เธอไม่เคยได้รู้จัก ก่อนจะจบชีวิตลงอย่างน่าสงสาร เธอนั่งมองร่างของบุตรสาวที่ค่อย ๆ หมดลมหายใจลงโดยไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้เลย หัวใจที่ปวดร้าวแหลกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี ไม่มีแม้แต่ช่วงเวลาที่จะแนะนำตัวเองกับเธอ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเอ่ยเรียกขาน ได้แต่นั่งนิ่งพร้อมกับเหม่อลอยออกไปไกล ก่อนจะคิดในใจว่าหากแลกได้ขอให้นางตายแทนหญิงสาวได้เธอเองก็ยินดี!
อีกด้าน
กุบกับ กุบกับ กุบกับ
เสียงฝีเท้าของม้าที่ควบเร็วฝ่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ใบหน้าที่งดงามล่มเมืองฟาดแส้ไปที่บั้นท้ายของม้าเพื่อเร่งความเร็ว ด้านหน้าของหญิงสาวมีห่อผ้าอย่างหนาห่อเด็กน้อยตัวขาวราวหิมะเอาไว้ ในขณะที่ด้านหลังของนางมีชายชุดดำที่กำลังควบม้ามาติด ๆ ราวสี่ถึงห้าคน
นางคือเมิ่งจิ่วซือบุตรสาวคนโตของตระกูลเมิ่ง ทายาทเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ก่อนจะได้รับราชโองการให้สมรสกับโอรสองค์โตของฮ่องเต้ เป่ยติ้งหรงอ๋องหรือตู๋กูหรงเซ่อ บุรุษที่เป็นยอดนักรบที่เหี้ยมโหดสังหารคนโดยไร้ซึ่งความปรานี ฉายาของเขาคือยอดนักรบปีศาจ
เมิ่งจิ่วซือแต่งเข้าจวนเป่ยติ้งหรงอ๋องมานานเกือบสองปีก่อนจะให้กำเนิดบุตรสาวตัวน้อยที่ในตอนนี้อายุหกเดือน ตำหนักอ๋องที่เต็มไปด้วยอสรพิษทั้งยังมีไส้ศึกและยังมีคนของจวนและตำหนักต่าง ๆ ที่ส่งเข้ามาเพื่อเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเป่ยติ้งหรงอ๋อง แต่ชายผู้นั้นกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทั้งยังปล่อยให้นางเผชิญหน้ากับปีศาจสาวผู้หิวกระหายเหล่านั้นมาตลอด หากไม่เพราะนางยังพอมีเล่ห์เหลี่ยมแล้วละก็คงไม่อาจคลอดบุตรสาวออกมาได้อย่างปลอดภัย
แม้ว่านางจะรู้ดีว่าชายหนุ่มจะไม่มีวันปล่อยให้นางตายและเขาได้วางตัวองครักษ์เงาเอาไว้รอบ ๆ ตัวนางไม่น้อย นั่นก็เป็นเพราะเขายังต้องการใช้ประโยชน์จากนางอยู่และตระกูลเมิ่งก็ยังคงเก็บซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ ซึ่งมีเพียงเมิ่งจิ่วซือเท่านั้นที่รู้ว่าความลับนั้นคือสิ่งใด หากแต่นางก็เก็บซ่อนมันไว้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดก็เพื่อความปลอดภัยของนางเอง หากเขารู้เรื่องราวความลับนั้นชีวิตของนางก็คงจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป!
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ความปลอดภัยที่เขาเคยมั่นใจเสมอมาว่าดีที่สุด แต่แล้วในวันนี้กลับกลายเป็นอันตรายที่สุด เมิ่งจิ่วซือใช้ผ้าพันร่างของบุตรสาวตัวน้อยแล้วมัดเข้ากับร่างของนางเอาไว้ ก่อนจะทะยานขึ้นบนหลังม้าแล้วควบหนีไปให้ไกลที่สุด หากแม้นว่าสุดท้ายแล้วชีวิตนางจะไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ก็ขอเพียงบุตรสาวของนางอยู่รอดปลอดภัยเท่านี้นางก็พอใจแล้ว
หญิงสาวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดควบม้าไปด้วยความรวดเร็วดุจดั่งพายุ ม้าศึกตัวใหญ่ที่สามีทิ้งเอาไว้ตัวนี้เป็นม้าที่ดีที่สุดที่เป่ยติ้งหรงอ๋องทิ้งเอาไว้ให้กับนาง แม้นทั้งคู่จะไม่ได้มีความรู้สึกมากมายต่อกันเฉกเช่นสามีภรรยา หากแต่ในยามที่นางยังคงมีประโยชน์ต่อเขา ชายหนุ่มก็ดูแลนางเป็นอย่างดีในฐานะพระชายาเอกเป่ยติ้งหรงอ๋อง
ความว่องไวในฝีเท้าของม้าตัวนี้ช่างดีเยี่ยมทำให้ม้าของนางนั้นห่างจากม้าของนักฆ่าอยู่ราวหลายลี้ แต่เมื่อมองไปยังหนทางข้างหน้าเมิ่งจิ่วซือก็ต้องตื่นตกใจเมื่อเห็นว่าทางข้างหน้านั้นเป็นหุบเหวสูงชัน หญิงสาวรั้งเชือกบังคับม้าจนสุดแรงก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเลือกที่จะวิ่งเข้าป่าไป ในขณะที่เหล่านักฆ่ากลุ่มนั้นพยายามไล่ล่านางอย่างไม่ยอมหยุดยั้ง นางรู้สึกเหนื่อยหอบทั้งยังหมดเรี่ยวแรงในขณะที่ก้มลงมองดูบุตรสาว เด็กน้อยกลับนอนหลับสนิทอย่างว่าง่ายได้เห็นใบหน้าที่ใสซื่อของเด็กน้อยมันกลับทำให้นางมีแรงที่จะออกวิ่งต่อไปโดยไม่ยอมหยุดพัก ในขณะเดียวกันนักฆ่าก็กำลังตามมาติด ๆ จวนใกล้ที่จะประชิดตัวแล้ว
ในตอนสุดท้ายที่เมิ่งจิ่วซือมองเห็นปลายทางของแสงสว่างก็พลันยินดีหากแต่ในเวลาต่อมานางก็เริ่มหน้าซีดเมื่อทางข้างหน้าไม่มีให้วิ่งต่อ หุบเหวข้างหน้าทำให้หญิงสาวหวาดกลัวที่สุดในชีวิตก่อนจะก้มลงมองบุตรสาวในอ้อมอกอีกครั้ง
นางเป็นสตรีบอบบางไม่มีทางต่อสู้กับนักฆ่ายอดฝีมือถึงห้าคนได้อย่างแน่นอนและสุดท้ายนางจะไม่เหลือสิ่งใด พวกมันจะต้องฆ่านางและบุตรสาวอย่างไม่เหลือซาก ในขณะที่เท้าข้างหนึ่งเกือบจะตกลงไปที่ขอบเหวหญิงสาวหยุดชะงัก นักฆ่าเหล่านั้นที่เห็นว่าหญิงสาวไม่มีเส้นทางให้วิ่งต่อและพวกมันคงคิดว่านางคงไม่กล้าที่จะกระโดดลงไปเป็นแน่ ด้านล่างนั้นเป็นแม่น้ำลึกหากตกลงไปลำพังร่างกายของหญิงสาวที่บอบบางกับเด็กเล็ก ๆ อย่างไรก็ไม่อาจรอดชีวิตได้
แต่พวกมันคาดเดาผิดและดูถูกในความรักของมารดาที่มีต่อบุตรมากเกินไป เมิ่งจิ่วซือมองดูใบหน้าของนักฆ่าแต่ละคนที่กำลังสาวเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆ ก่อนที่นางจะตัดสินใจกระโดดลงไปเบื้องล่างโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
ท่ามกลางสายตาแตกตื่นของนักฆ่าทั้งห้าพวกมันยืนมองหญิงสาวตกลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ก่อนจะได้ยินเสียง
ตู้ม!!!
ร่างบางได้หล่นลงตกกระทบผิวน้ำเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะจมดิ่งลงไป
แขนเรียวเสลาทั้งสองข้างของนางโอบกอดบุตรสาวเอาไว้ ก่อนที่ร่างทั้งสองจะค่อย ๆ จมลงสู่พื้นเบื้องล่าง ความหวังสุดท้ายของเมิ่งจิ่วซือคือนางเพียงหวังให้บุตรสาวของนางอยู่รอดปลอดภัย
แค่ให้บุตรสาวของนางเติบโตขึ้นไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับสกุลตู๋กูอีก ให้นางได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นสตรีธรรมดา ได้แต่งงาน มีบุตรที่น่ารัก เพียงแค่นั้นนางก็พอใจแล้ว
ร่างบางค่อย ๆ หมดลมหายใจลงอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางบรรยากาศใต้น้ำที่หนาวเย็นวงแขนของนางยังคงโอบกอดร่างของบุตรสาวไว้ไม่ยอมปล่อย!
พร้อมกันนั้นก็มีแสงสว่างบางอย่างเกิดขึ้น!
ช่วงปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว ซิ่วจื่อหลิงเองก็กลับมาที่แคว้นหนานเฉินได้หลายเดือนแล้วคงถึงแก่เวลาที่จะต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง หญิงสาวทำหน้าเศร้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบิดามารดาด้วยแววตาอ้อนวอน แม้ว่าทั้งคู่จะอยากกอดบุตรสาวของตนเอาไว้แนบอกเพียงใด หากแต่ว่าพวกเขาไม่อาจอยู่กับนางไปได้ตลอดชีวิต ซิ่วจื่อหลิงจำเป็นต้องมีคนข้างกายที่อยู่กับนางและดูแลนางได้ดีไม่ต่างจากผู้เป็นบิดามารดา"เด็กโง่ จากกันแล้วมิใช่ว่าจะมิได้พบกันอีก หากพ่อกับแม่ว่างเมื่อใดต้องไปหาเจ้าแน่""จริงนะเพคะ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ห้ามหลอกให้ลูกดีใจเล่น""ฮ่า ๆ เจ้าเด็กแสบนี่ ช่างไม่รู้จักโตเสียจริง" หรงเซ่อฮ่องเต้เอ่ยหยอกเย้าบุตรสาว"เสด็จพ่อ... ""เอาละ เวลาไม่เช้าแล้วเจ้ารีบออกเดินทางเถิดประเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน""เจ้าค่ะ ลูกทูลลาเพคะ"ซิ่วจื่อหลิงถูกประคองขึ้นรถม้า ในขณะที่สามีของนางขึ้นควบบนหลังม้าอย่างองอาจ หญิงสาวเปิดม่านขึ้นก่อนส่งสายตาเศร้าสร้อยมายังบิดามารดาอีกครั้งพร้อมกับโบกมือลาอย่างไม่เต็มใจนัก เมิ่งจิ่วซือทำได้เ
ข่าวคราวที่องค์หญิงใหญ่กลับบ้านเดิมหลังจากงานแต่งงานได้เพียงสามวันดูเหมือนจะเป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบุรุษที่นางแต่งด้วยเป็นถึงองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินที่อยู่ห่างไกลนับพันลี้ หากแต่หลังวันแต่งงานสามีกลับพานางกลับบ้านเดิมทันทีไม่บอกก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจรักใคร่ในตัวนางมากเพียงใดจึงมิได้สนใจในกฎระเบียบรีบพาภรรยากลับมาบ้านเดิมทั้งยังอยู่รอฉลองวันปีใหม่ที่นี่อีกด้วย ใครๆ ต่างก็กล่าวว่าองค์หญิงใหญ่นั้นช่างโชคดียิ่งนัก"นางกลับมาแล้วงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันเอ่ยกับสาวใช้"เจ้าค่ะ เห็นว่ากลับมาพร้อมกับองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินเจ้าค่ะ และที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ...""อันใดงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันที่กำลังส่องใบหน้าที่งดงามของนางผ่านกระจกทองเหลืองหันมาถามสาวใช้ด้วยความสนใจ สาวใช้ผู้นั้นทำทีเป็นหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยินที่นางกำลังจะกล่าวเรื่องต่อไปนี้"บ่าวได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินนั้นเดิมทีเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงชั้นสูงเ
ครั้งแรกที่หรูเจิ้งหยวนลืมตาขึ้นเขากลับพบว่าตนเองได้ย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้งในตอนอายุสิบสาม มือทั้งสองข้างนับว่ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยผู้หนึ่งเท่านั้นย้อนกลับไปในตอนที่เขาสามารถบุกยึดแคว้นหนานเฉินได้สำเร็จ หรูเจิ้งหยวนเดินเข้าไปยังห้อง ๆ หนึ่งที่เป็นสถานที่เก็บบรรจุโลงศพของตู๋กูรั่วหวาความเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเข้าไปก่อนจะหยุดอยู่ข้าง ๆโลงศพของนางอย่างใจเย็น มือหนาเลื่อนเปิดฝาโลงก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่เป็นสีขาวซีดเซียวไร้สีเลือดแม้จะกลายเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณหากแต่สำหรับเขาแล้ว นางงดงามที่สุดเสมอมือหนายื่นออกไปแล้วค่อยๆ กุมข้างแก้มที่เย็นจัดของนางด้วยความอ่อนโยนราวกับกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บหากว่าเขาแตะต้องหญิงสาวแรงเกินไปก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจะแดงก่ำ"เหตุใดเจ้าจึงได้ใจร้ายนัก ทิ้งกันได้ลงคอ" ชายหนุ่มกล่าวตัดพ้อก่อนที่จะค่อย ๆ กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมามือหนาถูกยื่นออกไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งก่อนที่บนฝ่ามือของเขาจะปรากฏร่างของจิ้งจอกสีเงินตัวน้อยที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ เจ้าจิ้งจอกน้อยราวกั
"ข้าไม่เคยรักเจ้า มันเป็นเพียงแผนการที่ข้าต้องการครอบครองแผ่นดินของเจ้าเท่านั้น" หรูจางเหว่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาโดยไม่ยอมหันกลับมามองใบหน้าของนางเลยแม้แต่หางตาสตรีที่คิดว่าตนเองนั้นอยู่เหนือผู้ใดบนแผ่นดินเช่นนาง สุดท้ายกลับพ่ายแพ้หัวใจให้กับบุรุษใจร้ายตรงหน้า เขาเข้ามาทำให้นางที่เดิมไม่เคยไว้ใจผู้ใด ความอ่อนโยนของเขาทำให้นางใจอ่อนก่อนจะคิดว่าทั้งชีวิตนี้นางจะขออยู่เคียงข้างบุรุษผู้นี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจแต่แล้ว... นางกลับได้รับรู้ความจริงว่าสิ่งที่เขาทำไปทุกอย่างนั้นเป็นเพียงการหลอกลวง ตู๋กูรั่วหวาไม่คิดว่าที่ผ่านมามันจะเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกลวง หัวใจของนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี ชีวิตที่ไม่หลงเหลือผู้ใดในยามที่มีเขาเข้ามากลั
ต่อมาในงานเลี้ยงในวังองค์ชายสิบสามซึ่งเป็นองค์ชายพระองค์เดียวที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นหนานเฉินก็ได้ขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางความยินดีของขุนนางทั้งหลาย ชายหนุ่มเรียนรู้จากหรงเซ่อฮ่องเต้ที่มีการเปิดให้เหล่าบัณฑิตได้มีโอกาสสอบคัดเลือกเพื่อรับตำแหน่งขุนนางและรับใช้ฝ่าบาทด้วยความสามารถที่มีอยู่ของตนแม้ว่าการสอบจะเป็นไปด้วยความทุลักทุเลมีทั้งการโกงข้อสอบหากแต่สุดท้ายหรูเจิ้งหยวนก็จัดการกับคนเหล่านั้นได้ก่อนที่พวกเขาจะถูกปลดและเนรเทศออกไปนับพันลี้ท่ามกลางความยินดีครั้งใหญ่เมื่อองค์รัชทายาทได้มีพิธีสมรสกับองค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงแห่งแคว้นต้าซ่ง สองแคว้นผูกสัมพันธ์เป็นดั่งพี่น้องกันนับแต่นี้
เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าก่อนจะถูกสาวใช้จวนตระกูลเจียวจับอาบน้ำชำระร่างกายแล้วสวมชุดแต่งงานสีแดงที่เตรียมเอาไว้ สาวใช้ทั้งสองแม้จะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าสาวนั้นไม่ยิ้มแย้มทั้งยังมีอาการเหม่อลอยแปลก ๆ เพียงแต่เพราะพวกนางได้ยินว่าเจ้าสาวเองก็ถูกบังคับให้มาแต่งงานกับคุณชายของพวกนาง สาวใช้ทั้งสองก็พอที่จะเข้าใจได้เจียวหมัวมัวเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยในห้องของเจ้าสาวในขณะที่สาวใช้ทั้งสองกำลังแต่งหน้าแต่งตัวจนกระทั่งใกล้เสร็จแล้ว นางมองเห็นใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายของสาวใช้รั่วหวาก็ให้นึกรังเกียจ หากไม่เป็นเพราะบุตรชายนั้นรักใคร่ในตัวนางเป็นอย่างมากมีหรือที่นางจะรับสตรีที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเป็นเพียงแค่สาวใช้มาเป็นภรรยาของบุตรชายเช่นนี้ หึ แต่ก็นับว่าสาวใช้รั่วหวาผู้นี้ยังรู้ความอยู่บ้างที่ไม่เอะอะโวยวายให้เสียการ
Comments