สวรรค์ชั่งใจร้ายโยนโอกาสที่นางไม่เคยร้องขอให้กลับสู่ความวุ่นวายในอดีตชาติ “ข้าขอชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุข มิได้ขอโอกาสกลับมาแก้ไขอดีต” คัดซีน หลี่เหมยซิน & หนิงเทียน(ผู้ยุยง) “ช่วงนี้ข้าอาละวาดไปทั่วอย่างกับผีบ้า จนไม่มีใครกล้าหาเรื่อง หรือแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้ด้วยซ้ำมองเห็นแค่เสี้ยวใบหน้าข้าก็กระเจิงหนีกันหมดแล้วเจ้าค่ะ” “แล้วคนที่เดินตัวปลิวเข้ามาในหอของข้าเมื่อกี้เรียกว่าอะไร” “ปล่อยๆ ไปสักวันเถิดเจ้าค่ะ ข้าเหนื่อยมาหลายวันแล้ว วันนี้ตั้งใจมาเที่ยวเล่นผ่อนคลาย อย่าบีบให้ข้าทำบาปเลยนะเจ้าคะ วันนี้ของดทำบาปนะ”
View Moreร่างบางบนเตียงนอนกว้างขนาดใหญ่หนานุ่มแค่ไหนดูจากรอยยุบระหว่างร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นบนหัวเตียง หญิงสาวพลิกตัวนอนคว่ำมือเรียวสวยคว้าหาหมอนใบใหญ่มาปิดหูก่อนปัดนาฬิกาที่ส่งเสียงรบกวนเวลาพักผ่อน
งืดดด~
คลื่นสั่นของโทรศัพท์ไอโฟนที่ปิดเสียงไว้ดังขึ้นบนโต๊ะเตี้ยติดหัวเตียงหลังเจ้าเสียงนาฬิกาปลุกถูกปิดได้ไม่นาน หญิงสาวจำต้องรับสายทั้งที่ไม่ได้ดูชื่อคนโทร
“ฮัลโหล” น้ำเสียงหวานติดง่วงนอน เพราะพึ่งตื่นทั้งยังนอนไม่อิ่มอีกด้วย
‘พระอาทิตย์ส่องหน้าแล้วป่ะ นี่แกยังไม่ตื่นอีกหรอว่ะ’ ปลายเสียงบ่นใส่คนสะลึมสะลือยังไม่ลุกขึ้น หรือลืมตาไม่สังเกตผ้าม่านสีดำปิดหน้าต่างในห้องหมดแล้วจะมีแสงที่ไหนส่องผ่านมายังหน้าสดของฉันได้ล่ะ
“มีไร” เสียงอู้อี้เพราะฉันเอาหน้าไปมุดหมอนใบใหญ่
‘ถามมาได้ก็วันนี้พวกเรามีทริปบินไปจีนสำหรับโปรเจกต์งานใหม่ที่จะเริ่มเดือนหน้าไงแก~’ ปลายเสียงพูดลากยาวใส่ฉัน
“ไปจีน? โปรเจกต์?” เงยหน้าขึ้นมาคิดทบทวนคำพูดเพื่อนสาวปลายสาย ก่อนดีดตัวลุกขึ้นอย่างไวเปิดหน้าจอโทรศัพท์ดูเวลา 09:00น. แล้ว! ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้าง รีบกระโดดลงจากเตียงใช้เพียงห้าก้าวเท่านั้นก็เข้าถึงห้องน้ำแต่สุดท้ายวิ่งกลับมาเอาเสื้อผ้าในตู้ด้วยความรีบร้อน
‘ใยรินฟังอยู่ไหมเนี่ย ใยริน!’ ฉันเปิดลำโพงไว้ได้ยินเสียงเพื่อนสาวจากโทรศัพท์บนเตียงรีบคว้าติดมือเข้าห้องน้ำ
“เอ่อ ๆ รีบอยู่ แกจะให้ฉันไปรับใช่ป่ะ”
‘ไม่อ่ะวนไปวนมาเสียเวลาเดี๋ยวตกเครื่องกันพอดี เจอที่สนามบินก่อนเที่ยงหน้าร้านเบเกอรี่ทางเข้าประตู 6 นะ’
“เค” ฉันกดตัดสายแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวให้ทันเวลา
ฉันชื่อใยรินอายุ 24 ปีหลังคุณแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ป้าโรสรับฉันมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กอาศัยอยู่กับป้าโรสคนสหรัฐ เป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของฉันเอง ป้าโรสเปิดร้านอาหารที่ประเทศไทยมากกว่ายี่สิบปี ใจดี อ่อนโยนและรักฉันเหมือนลูกหลานแท้ ๆ
ฉันเลือกใส่เสื้อแขนยาวคอเต่าสีเทากางเกงสีดำขายาว ถึงตาตุ่ม ฉันนั่งอยู่หน้ากระจกบนโต๊ะเครื่องสำอางแต่งหน้าบาง ๆ ด้วยเหตุผลหนึ่งข้อสามคำคือไม่มีเวลา โชคดีที่สองวันก่อนเตรียมกระเป๋าเดินทางไว้เรียบร้อยแล้ว
ฉันลากกระเป๋าเดินทางมาที่หน้าประตูห้องก้มสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวที่ชั้นวางเล็ก ๆ ข้างประตู ขณะที่กำลังจะออกจากห้องก็นึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบกุญแจรถกับเสื้อกันหนาว พอได้กุญแจก็ไม่รอช้าเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มสไตล์เกาหลีพาดแขนขวา จากนั้นล็อกประตูลากกระเป๋าลงลิฟต์ทันที
ฉันขับรถจากคอนโดมาสนามบิน A กว่าจะถึงใช้เวลาไปชั่วโมงครึ่ง ที่นี่มันกรุงเทพรถติดไฟแดงเยอะเป็นธรรมดา เพราะงี้ถึงต้องรีบกลัวไม่ทันเครื่อง
“ฝ้าย” ฉันเห็นฝ้ายยืนเล่นโทรศัพท์รออยู่เลยเรียกหล่อนพลางวิ่งลากกระเป๋าไปหา
“เร็ว ๆ เลยเหลือเวลาอีก 45 นาทีเอง” ฝ้ายพูดพลางยื่นมือมาช่วยรับสัมภาระอื่น ๆ แล้วลากกระเป๋าของตัวเองเดินนำหน้าฉัน
“เดี๋ยวดิฉันซื้อขนมปังก่อนยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย” มาถึงที่ยังไม่ทันได้หายใจ ข้าวก็ไม่ได้กินเดี๋ยวฉันได้หิวตายบนเครื่องแน่
“ฉันซื้อเผื่อให้แกแล้วอยู่ให้กระเป๋าถึง GATE แล้วค่อยกินก็ได้” ฝ้ายลากทั้งคนและกระเป๋าไปเข้าแถวที่จุดตรวจสัมภาระ ตอนเก็บของฉันดันซุ่มซ่ามขณะหยิบกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองอยู่ดีๆ สมุดเล่มสีน้ำตาลเข้มหนังสัตว์ก็ตกหล่นพื้นระเนระนาดฝ้ายที่นำไปก่อนแล้วย้อนกลับมาช่วยฉันเก็บของ
ขณะนั้นจู่ ๆ ฉันเองก็รู้สึกหน้ามืดกระทันหันอาจเป็นเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนมา ทว่าในหัวก็เกิดเห็นภาพผู้หญิงสวมชุดจีนยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางหิมะขณะที่เธอกำลังหันมาหาฉันยังไม่ทันจะเห็นใบหน้าภาพก็ตัดไปซะก่อนแทนด้วยเสียงผู้ชายพูดภาษาจีนดังก้องในหัวจนฉันต้องกุมขมับ
เขาพูดไม่หยุดน้ำเสียงเขาคล้ายเสียใจอย่างหนักและขอร้องไม่ให้ใครสักคนที่เขาพูดถึงอยู่จากเขาไป แต่มันเรื่องอะไรฉันก็ไม่รู้หรอกเพราะไม่เก่งภาษาจีนรู้คำงู ๆ ปลา ๆ ที่สำคัญตอนนี้โคตรปวดหัวตุบ ๆ เหมือนเป็นไมเกรนเลย อย่างกับเส้นเลือดสมองจะแตก
“ใยริน! ใยรินแกเป็นอะไรไหม” ฝ้ายจับไหล่เบา ๆ ฉันถามด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ฉันรู้สึกดีขึ้นหลังได้ยินเสียงฝ้ายเรียกหา
“อือไม่ ไม่เป็นไร” ฉันส่ายหน้ารับสัมภาระอย่างกระเป๋าสะพายที่ฝ้ายถือให้อยู่คืน สีหน้าฝ้ายดูกังวลกับอาการปวดหัวเมื่อครู่ของฉันมาก
“แต่เมื่อกี้หน้าแกซีดมากเลยรู้ป่ะ เนี่ยตอนนี้ยังซีดดูไม่น่า โอเครนะ” ฝ้ายพูดพร้อมสำรวจใบหน้าเพื่อนสาวพลางเอามือแนบหน้าผากฉันวัดไข้
“หิวข้าวไง ไปกัน” ฉันยกเรื่องกินมาอ้างเพื่อตัดบทสนทนาฉันปัดมือฝ้ายออกเดินลากกระเป๋าไปที่ GATE ไม่สนใจเพื่อนสาวที่เป็นห่วงตัวเองสักนิด
“องครักษ์เฟิงข้ามีภารกิจที่ต้องให้ท่านทำร่วมกับข้า” ดวงตากระจ่างใสใต้แสงจันทร์มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ขัดกับคราบน้ำตาบนแก้มนวลอาเฟิงองครักษ์หนุ่มเบิกตากว้างเมื่อถูกสตรีผู้เป็นนายจับท้ายทอยดึงลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มของนาง ครั้งจะผลักผู้เป็นนายสาวออกก็สลัดไม่หลุด จะออกแรงมากขึ้นก็กลัวทำคนตัวเล็กเจ็บ อีกทั้งนางยังกอดรั้งเข้าแน่นอย่างกะอะไรดี ผลสุดท้ายแล้วรสจุมพิตหวานจากนางก็เริ่มมอมเมาทำให้เขาเอนอ่อนตอบรับอย่างเชื่อฟังหลี่เหมยซินดูดดื่มเรียวปากหยักได้รูปของอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาแดงกล่ำคลอน้ำใสปรือขึ้นช้าๆ มองเขากระทำจุมพิตโต้ตอบนางอย่างโหยหาไม่ต่างกัน ไม่นานองครักษ์เฟิงหนุ่มก็กลายเป็นฝ่ายนำ ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าโพรงปากเล็กคว้านหาความหวานข้างในอย่างชำนาญ จนหลี่เหมยซินอ่อนละทวยเหลวเป็นน้ำแทบทรงตัวไม่อยู่ ดีที่มีแขนแกร่งของเขาเกี่ยวรัดเอวนางไว้จนตัวนางลอยเหนือพื้นหลี่เหมยซินสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่เขายังคงอ่อนโยนจนสมองนางว่างเปล่างคิดสิ่งใดไม่ออกนอกจากคล้อยตามเขาไป“ชะ..ช้าก่อน” นางพึ่งรู้ตัวว่าถนนที่ผู้คนพลุกพล่านร่ายล้อมด้
“เดี๋ยวๆ.. หยุดก่อน.. ท่าน.. ได้ยินข้าไหม.. อย่าพึ่งไป.. นี่ เหยียนเฟิ่ง!” หลี่เหมยซินเดินแทรกเข้าไปในกลุ่มผู้คนมากมายเพื่อตามบุรุษผู้นั้น เขากำลังเดินไปที่สะพานโดยไม่หันมาตามเสียงเรียกของนาง หลี่เหมยซินรู้สึกหวั่นใจที่บุรุษผู้นั้นไม่ใช่เขา เพราะตะโกนชื่อเขาตั้งหลายรอบก็ไม่มีทางทีจะใช่เขาเลยเพราะมัวแต่ชะเง้อคอมองหาบุรุษผู้นั้นจนตอนนี้ผู้คนเยอะขึ้นเดินเบียดกันทำให้นางทรงตัวไม่อยู่ชนคนนั้นคนนี้ที่เริ่มเมาหัว หาทางออกไม่เจอ แต่จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งจับข้อมือนางไว้แล้วดึงตัวนางออกจากฝูงชนจำนวนมากหลี่เหมยซินรู้สึกเย็นๆ ที่ข้อมือนางแต่นางยังมึนๆ หน้ามืดอยู่เลยไม่ได้เงยหน้ามองผู้ที่ช่วยนางออกจากกลุ่มฝูงชนเมื่อครู่ ใช้มืออีกข้างเคาะหัวตัวเองเบาๆ แล้วหลับตาปี๋เพื่อให้หายหน้ามืด ดวงตาประกายแสงจากโคมไฟลืมตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลามาดเข้มจมูกโด่งได้รูปดวงตาดำสนิทแฝงความดุดันแต่กลับอ่อนโยนกำลังจ้องมอง นางนิ่งเดาอารมณ์และความคิดของเขาไม่ถูก แววตาเยือกเย็นดั่งธาราน้ำแข็งหายไปชั่วพริบตาเหลือไว้ให้เห็นแต่ความอบอุ่นที่ซ้อนอยู่นัยน์ตาดำคู่นั้นเหยียนเฟิ่ง
ในเมืองซวงโจวผู้คนเดินพลุกพล่านไปมาจับจ่ายซื้อของตามร้านค้าอย่างครึกครื้น สตรีร่างบางสวมอาภรณ์สีขาวลวดลายดอกเหมยสีชาด เรียวขายาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งบนถนนมากผู้คน ดวงตางดงามคู่นั้นกระจ่างใสทอประกายแวววาวแห่งความสุขทอดมองไปยังเบื้องหน้า นางหันซ้ายทีขวาทีท่าทางตื่นเต้นมองหาบางสิ่งบางอย่างบนท้องถนนในเมืองมากผู้คน‘บุรุษผู้นั้นถูกพิษน้ำค้างแข็ง วันนั้นที่เขาหายตัวไปข้าพบเขาตอนที่ร่างกายกำลังถูกแช่แข็ง อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนักรวมถึงบาดแผลที่ถูกแทงจากการต่อสู้กับนักฆ่ายิ่งทำให้เขาอ่อนแอลง ยามนั้นข้าไม่มีทางเลือกนอกจากผนึกร่างเขาไว้แล้วใช้พลังปราณรักษาเขา แต่ว่าสุดท้ายก็ฝืนลิขิตฟ้าไม่ได้..’สตรีนางนั้นหยุดฝีท้าวลงกระทันหัน นางเหนื่อยหอบลมหายใจเข้าออกรัวๆ เหงื่อเริ่มไหลทั่วใบหน้า นางหยุดพักเอาแรงพยายามปรับลมหายใจให้คงที่ ช้อนตาขึ้นมองผู้คนรอบด้านบนท้องถนนอีกครั้งอย่างไม่ลดละความตั้งใจ‘เกิดอะไรขึ้นกับเขาเจ้าคะ’‘เขาตายแล้ว’ฝีท้าวเริ่มก้าวเดินอย่างเชื่องช้าทีละก้าวด้วยความอ่อนแรง ใบหน้าสง่างามของสตรีวัยยี่สิบกว่ามีดวงตาเจือความเจ็บปวดรวดร้าวเมื่อรู้จุดจบของบ
“พลังวิญญาณที่บุรุษผู้นั้นคืนให้สำคัญต่อข้ามาก ส่วนหนึ่งของพลังข้าใส่ไว้ในกำไลที่เจ้าสวมอยู่ช่วยให้ห่อหุ้มดวงจิตเปราะบางที่พึ่งข้ามภพข้ามชาติอย่างเจ้าให้มีชีวิตรอดต่อไป พลังนี้ยังช่วยพยุงลมหายใจของเจ้าตลอดหนึ่งปีที่เจ้ายังไม่ฟื้น หลังผ่านความเป็นตายสายเลือดนักเวทย์ในอดีตชาติก็ถูกปลุกทำให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์มากกว่าคนทั่วไป”“กำไลไม้มีพลังวิญญาณแถมยัง.. ปลุกสายเลือดนักเวทย์ พี่สะใภ้เรื่องมันชักจะวุ่นวายไปหน่อยหรือไม่ นักเวทย์เชียวนะเจ้าคะข้าไม่ชอบความวุ่นวายท่าน.. ท่านเอามันออกไปได้หรือไม่” ฉันกลายเป็นคนมีของดีโดยไม่รู้ตัวเลยต้องมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง แต่ว่าชีวิตที่สงบสุขหลายปีมานี้จะหายไปเพราะมันหรือไม่ หากมีคนรู้จักเกิดสิ่งใดขึ้น คงหาว่านางเป็นปีศาจแล้วจับเผาหรืออยากจับไปเป็นหนูทดลอง“วางใจเถิดหากเจ้าไม่รู้วิธีนำออกมาใช้ ยังไงสุดท้ายก็มีชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีสายเลือดนักเวทย์ การไม่ได้รับการฝึกฝนมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากสายเลือดนักเวทย์ทำให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงและมีกำลังมากกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเฉยๆ”“ค่อยยังชั่วเจ้าค่ะ”“หนึ่งสิทธิ์ต่อหนึ่งชีว
3 ปีผ่านไป บนยอดภูเขาสูงเขียวขจีป่าไม้ร่มรื่นเสียงนกน้อยบินล่องบนท้องนภาเป็นฝูง แสงพระอาทิตย์อ่อนๆ ส่องสว่างทั่วผืนป่าในยามเย็น หลี่เหมยซินนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์นี้ด้วยรอยยิ้มสดชื่น ดวงหน้างามเปล่งปลั่งดูสดใสแววตาไม่มีความทุกข์ความกังวลใจเหมือนดั่งเช่นอดีตฉันยิ้มรับสายลมอ่อนๆ พัดผ่าน เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอนนางจึงพยายามหาความสุขให้กับตัวเอง ไม่อยากให้ชีวิตจมปลักอยู่กับความทุกข์ในอดีต ใช้เวลาที่มีอยู่ทำเรื่องที่อยากทำแล้วไม่เสียใจภายหลัง ชีวิตของฉันในเมืองซวงโจวก็ไม่มีอะไรมากเป็นชีวิตเรียบๆ สบายๆ ปัญหาก็มีเข้ามาบ้างเพิ่มสีสันให้ชีวิตไม่น่าเบื่อเกินไป แต่ละวันจะหานู่นหานี่ทำไม่ยอมให้ตัวเองว่างเพราะว่างทีไรคิดถึงใครบางคนทุกที“ว้าย!” หลี่เหมยซินอุทานเสียงดังเกือบหงายหลังตกใจ นั่งอยู่คนเดียวตรงนี้เป็นชั่วยามจู่ๆ ก็มีคนโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ฉันสะดุ้งตัวโยนเกือบตกหน้าผา“ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” หลันเซ่อหรือหนิงเทียนนั่งลงข้างๆ ขณะฉันยังคงลูบอกปลอบขวัญตัวเองพลางมองคนต้นเหตุทำขวัญตนหาย นอกจากโผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วจากข่าวที่ได้ยินเหล่าบุปผาราตรีกลับฉางอั
“ได้เบาะแสเขาบ้างหรือไม่” พอเห็นหน้าฮ่าวหรานประโยคแรกที่พูดกับเขาทุกวันนี้คือถามความคืบหน้าการตามหาเว่ยเหยียนเฟิ่ง ฮ่าวหรานก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบเดิมทุกครั้ง“เหมยซินปล่อยวางเถิดพวกเราหาเขาทุกที่แล้วนะ” พลิกแผ่นดินหาเป็นปีกว่าแล้วยังไม่พบเจออะไรเกี่ยวกับบุรุษที่หายไปกลางอากาศ หากยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะเจออะไรบ้าง“ถ้าท่านเหนื่อย ช่วยตามหาไม่ไหวก็ไม่ต้องทำแล้ว” น้ำเสียงนุ่มไม่มีแววโกรธหรือน้อยใจของคนตรงหน้า แต่อารมณ์หลี่เหมยซินกำลังดิ่งจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ฉันเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอนแต่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน“ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไร แต่เจ้าต่างหากทำตัวปกติทั้งที่ข้างในใจคิดถึงแต่เขาตลอด ข้าห่วงสุขภาพจิตเจ้านะหลี่เหมยซิน” เขาเห็นแววตาประกายความหวังของนางทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องเว่ยเหยียนเฟิ่ง ดวงตาคู่นั้นผิดหวังและเศร้าหมองลงเมื่อได้รับคำตอบ“ฮ่าวหรานข้าดูแย่ขนาดนั้นเชียวรึ” ที่ผ่านมาฉันก็ทำตัวยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดไม่ได้แสดงความทุกข์ใจต่อหน้าใครทั้งสิ้น“รอยยิ้มของเจ้าไม่ถึงตาด้วยซ้ำ”ฉันสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วถอนหายใจยาว “เพราะชี
Comments