ถูกสหายรักหักหลัง ถูกสามีหลอกใช้ สุดท้ายนางไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิต พอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ สิ่งแรกที่นางทำก็คือสลัดเจ้าขยะผู้นี้ทิ้งไปให้ไกล และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวของนางรอดพ้นจากหายนะ
Voir plusท่ามกลางลมพายุโหมที่กระหน่ำ สายลมและสายฝนที่โปรยปรายลงมาตกกระทบหลังคาและหน้าต่าง ส่งเสียงดังราวกับธรรมชาติกำลังโกรธเกรี้ยว แม้ว่าจะอยู่ภายใต้ลมพายุที่โหมกระหน่ำแต่หัวใจของหลินเหม่ยเหยากลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง ความเจ็บปวดความรวดร้าวตามร่างกายไม่ได้ส่งผลต่อใดๆ ต่อ นางอีกต่อไปแล้ว หยาดน้ำตาบนใบหน้าของนางแห้งเหือดไปนานแล้ว พร้อมกับลูกในท้องที่สูญเสียไป สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในยามนี้ก็คือความเจ็บปวดในหัวใจของนางเพียงเท่านั้น
“เหยาเหยา ขอเพียงเจ้ายินดีปลิดชีพของตนเอง สกุลซ่งของท่านพี่ก็จะไร้ซึ่งข้อกังขา ฮูหยินที่มาจากครอบครัวของฆาตกรที่เป็นกบฏเช่นเจ้ามีแต่ฉุดดึงให้ท่านพี่ต้องต้อยต่ำลง ดังนั้นการตายของเจ้าจึงเป็นเรื่องที่จะสามารถช่วยเขาให้หลุดพ้นได้” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาหัวเราะออกมาในทันที
“เหตุใดข้าต้องช่วยเขาด้วยเล่า ตอนที่ท่านพ่อของข้าถูกกรมอาญาไต่สวนหากไม่เป็นเพราะเขาไปเป็นพยานว่าท่านพ่อของข้าเคยปรุงยาพิษชนิดนั้นมีหรือที่ท่านพ่อของข้าจะถูกประหาร และคนในสกุลหลินของข้าจะกลายเป็นกบฏเช่นนี้” หยางสุ่ยเซียนพูดพลางหลั่งน้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วออกมาอีกครั้ง
“ต้องโทษที่ท่านพ่อของเจ้าปรุงยาพิษชนิดนั้นได้ หากมีคนพบเบาะแสข้อนี้เข้าท่านพ่อของเจ้าก็จะได้รับโทษประหารอยู่ดี คนสกุลหลินกลายเป็นกบฏแล้วลูกเขยคนโตเช่นเขาหากไม่ออกหน้าทำอะไรสักอย่างก็ย่อมจะต้องพลอยโดนหางเลขไปด้วยแน่ ดังนั้นการที่เขาออกหน้าไปเป็นพยานเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดอะไร” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาหัวเราะออกมาด้วยความแค้นใจ หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดยังไม่ทันเหือดหายไปจากใบหน้า สายตาของนางที่จ้องหยางสุ่ยเซียนและคนที่ยืนนิ่งอยู่หลังฉากกั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
“เขาน่ะหรือไม่ได้ทำผิด คนที่ให้ร้ายท่านพ่อของข้าก็คือเขา คนที่ออกหน้าไปเป็นพยานก็คือเขา แล้วยังมาใช้ข้ออ้างว่าเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากร่างแห หากท่านพ่อของข้าไม่ได้ถูกเขาให้ร้ายมีหรือที่จะถูกไต่สวน และตอนไต่ส่วนหากเขาไม่ได้ไปเป็นพยานและนำหลักฐานเท็จไปยืนยันที่ศาลท่านพ่อของข้าจะถูกตัดสินว่ามีความผิดได้อย่างไร” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้บุรุษที่ยืนอยู่หลังฉากกั้นเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางพลางจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาในทันที
“นั่นก็ต้องโทษท่านพ่อของเจ้าที่เขามีฐานะเป็นถึงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงแต่กลับลุ่มหลงในศาสตร์วิชาการปรุงพิษ ข้าเฝ้าย้ำเตือนเขาเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟัง แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า พอมีคนในวังตายเพราะยาพิษคนที่จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งย่อมไม่พ้นท่านพ่อของเจ้ามิใช่หรือ ข้าก็แค่ทำตัวไหลไปตามน้ำเพื่อเอาตัวรอดเพียงเท่านั้น” คำพูดของซ่งเสวี่ยหรงทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความช้ำใจ เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนางเขาจึงได้เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“เหยาเหยา ความรักที่ข้ามอบให้เจ้านั้นมาจากใจจริงของข้า แต่อย่างที่เจ้ารู้ข้าคือบุตรชายคนโตของสกุลซ่ง สกุลของข้าจะรุ่งโรจน์หรือว่าดำดิ่งลงเหวล้วนขึ้นอยู่กับการกระทำของข้า ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ความรักความผูกพันระหว่างพวกเราไม่อาจจะนำพาวงศ์สกุลของข้าขึ้นสู่ที่สูงได้ ดังนั้นสิ่งที่ข้าทำได้ก็มีแค่เพียงการพยายามตัดใจจากเจ้าเพียงเท่านั้น และวิธีการที่ดีที่สุดในยามนี้ก็คือทำให้เจ้าหายไปจากโลกใบนี้เสีย จึงจะเป็นการดีที่สุดสำหรับข้าและสกุลซ่งของข้า” เมื่อเขาพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า
“หากข้าตายตอนนี้ท่านไม่กลัวคำครหาหรือ ครอบครัวของข้าถูกประหารได้ไม่นาน ตัวข้าก็ต้องมาตายในสกุลซ่งเช่นนี้ ท่านไม่กลัวว่าคนอื่นจะล่วงรู้ว่าท่านลงมือกำจัดข้าเพื่อตัดขาดกับสกุลหลินหรือ” เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้ซ่งเสวี่ยหรงก็ส่ายหน้า
“ผู้อื่นจะคิดเช่นไรกับเรื่องนี้ข้าไม่ได้สนใจ ข้าสนใจเพียงแค่ความคิดของท่านผู้สำเร็จราชการเพียงเท่านั้น” เมื่อซ่งเสวี่ยหรงพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันเข้าใจในทันที
“ที่แท้ท่านก็ยอมรับแล้วว่าท่านขี้ขลาด ฮ่า ฮ่า ฮ่า สุ่ยเซียนเอ๋ยสุ่ยเซียน เสียทีที่เจ้ามักจะคิดว่าตนเองฉลาดเหนือกว่าข้า ผลสุดท้ายเจ้าเองก็โง่งมไม่ต่างกันกับข้าหรอก ชายผู้นี้รับเจ้าเข้าจวนมาก็เพราะคิดว่าพี่ชายต่างมารดาผู้นั้นจะเห็นแก่หน้าของเจ้าเพียงเท่านั้น เพ่ย เขาหรือจะเห็นแก่หน้าของเจ้า เขาเกลียดชังเจ้าจะตายไปในสายตาของเขาเจ้าก็เป็นแค่เศษสวะที่เกะกะเขาในจวนสกุลหยางเพียงเท่านั้น” เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็พลันตวาดออกมาในทันที
“หลินเหม่ยเหยาเจ้าจงหุบปากเน่าๆ ของเจ้าเสีย” แต่มีหรือที่หลินเหม่ยเหยาจะสนใจคำพูดของสตรีตรงหน้า นางจึงได้ถ่มน้ำลายออกมาแล้วพูดถึงความโสมมของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางด้วยความรังเกียจ
“พวกเจ้ามันเป็นผีเน่ากับโลงผุที่มีความเหมาะสมกันราวกับคู่นรกสร้างเสียจริง หยางสุ่ยเซียนเจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าการที่ซ่งเสวี่ยหรงหันมาทำดีกับเจ้าก็แค่เพราะหวาดกลัวพี่ชายต่างมารดาของเจ้าเพียงเท่านั้น ส่วนซ่งเสวี่ยหรง ท่านเองก็ช่างโง่เขลาที่คิดว่าการที่ท่านแต่งนางเข้าจวนมาแล้ว นางจะสามารถช่วยส่งเสริมท่านได้” เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็โบกมือให้คนนำยาพิษเข้ามาในทันที
“บีบปากบีบจมูกของนางแล้วหรอกยาพิษชามนี้ลงไปเสีย” หยางสุ่ยเซียนพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
“พิษหงอนกระเรียนแดงชามนี้ ล้วนเป็นฝีมือการปรุงของท่านพี่ เขาเรียนรู้การปรุงยาพิษชนิดนี้มาจากพ่อของเจ้า ยามนี้เขาลงมือปรุงให้เจ้าด้วยตนเอง เจ้าก็อย่าทำให้เสียของเชียวนะ” หยางสุ่ยเซียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สายตาของนางกำลังจ้องมองคนของตนช่วยกันกรอกยาพิษลงไปในปากของหลินเหม่ยเหยาจนหมดชาม
“หยางสุ่ยเซียน ซ่งเสวี่ยหรง หากชาติหน้ามีจริงข้าจะต้องทำให้พวกเจ้าอยู่มิสู้ตาย” หลินเหม่ยเหยาฝืนใจเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขาดห้วง นางรู้ดีว่าพิษนี้มีความร้ายแรงมากขนาดไหน อีกไม่นานทวารทั้งเจ็ดของนางก็จะมีโลหิตหลั่งออกมา แล้วนางก็จะสิ้นใจตายไปเพราะพิษที่ได้รับในที่สุด
“แต่อย่างน้อยข้าก็วางใจไปเรื่องหนึ่ง การที่ข้าล่อลวงให้พวกเจ้าปรุงยาพิษชนิดนี้ออกมาได้นับเป็นเรื่องดี อีกไม่นานหยางเจี้ยนผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาของเจ้าก็คงจะสืบพบเบาะแสแล้วว่านอกจากท่านพ่อของข้าและตัวข้า คนที่สามารถปรุงยาพิษเกล็ดหิมะสลายวิญญาณได้ก็คือซ่งเสวี่ยหรง" เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้ซ่งเสวี่ยหรงก็พลันสบถออกมาในทันที
"หลินเหม่ยเหยา เจ้ากล้าให้ร้ายข้าหรือ" เขาพูดพลางเดินเข้ามาใช้ฝ่ามืออันใหญ่โตกำลำคออันบอบบางของหลินเหม่ยเหยาเอาไว้
"แค่ก แค่ก ดังนั้นต่อให้ข้าตายไปแล้วท่านที่เป็นสามีของข้าและทุกคนในสกุลซ่งก็ล้วนไม่อาจจะหลีกหนีความสงสัยของเขาพ้น ซ่งเสวี่ยหรงต่อให้ท่านไม่ได้ทำข้าก็สามารถยัดเยียดความผิดให้ท่านได้อยู่ดี เหมือนที่ท่านยัดเยียดความผิดให้แก่ท่านพ่อของข้าอย่างไรเล่า...” เมื่อพูดจบหลินเหม่ยเหยาก็กระอักโลหิตออกมาจนโลหิตของนางเปรอะเปื้อนร่างกายของซ่งเสวี่ยหรง
“จับทุกคนในสกุลซ่งเอาไว้ ตรวจค้นอย่างละเอียดหากพบเบาะแสว่ามีการปรุงยาพิษภายในเรือนนี้แม้เพียงนิดเดียวรีบส่งคนมาตามข้า” เสียงตวาดก้องของพระมาตุลาหยางเจี้ยน ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลปัจจุบันทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมา
ตอนที่บิดาและคนในครอบครัวของนางได้รับโทษประหารนางก็รู้แล้วว่าตนเองไร้หนทางรอด นางจึงได้จงใจสร้างหลักฐานชี้ความผิดให้แก่สามีของนาง นางไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่สามารถปรุงยาพิษที่นางและบิดาร่วมกันคิดค้นขึ้นมาได้ แต่ที่นางรู้คนที่วางยาปลิดชีพองค์ไทเฮาไม่ใช่นางและบิดาแน่ แต่ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่คนที่นางอยากให้ตายตามนางและครอบครัวของนางไปด้วยก็คือคนหยิบยื่นความตายให้นางและครอบครัวอย่างซ่งเสวี่ยหรงและหยางสุ่ยเซียน น่าเสียดายก็แต่ชาตินี้นางยังไม่ทันได้มองเห็นจุดจบของพวกเขาดวงวิญญาณของนางก็พลันหลุดออกจากร่างไปเสียก่อน
การพูดความจริงกับบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยารู้สึกราวกับว่าตนเองได้ยกหินออกจากอก นางรู้ดีว่าหากบอกเร็วกว่านี้บิดาก็จะไม่เชื่อ แต่หากบอกช้าไปกว่านี้ก็จะเป็นการกระทำที่สายเกินไป ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ไม่เพียงมีเหตุการณ์ที่อาจจะเป็นไปได้ในอนาคตแต่ในมือของนางยังมีหลักฐานที่สามารถชี้ความผิดไปที่ฉินอ๋องอีกด้วย วันหน้าหากเกิดเหตุการณ์พลิกผันและมีคนอยากใส่ความบิดาของนางขึ้นมา นางก็จะใช้หลักฐานเหล่านี้ลากตัวฉินอ๋องให้ตกลงมากลายเป็นผู้ต้องสงสัยด้วยกันกับบิดาของนางในขณะที่หลินเหม่ยเหยารู้สึกผ่อนคลายราวกับถูกยกหินออกจากอก แต่หลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับรู้สึกราวกับตนเองกำลังถูกก้อนหินขนาดใหญ่กดทับบนหน้าอกของตนเองแทน คืนนี้หลินเจวี๋ยนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน เขานั่งพลิกตำราเครื่องหอมเล่มแล้วเล่มเล่าจนผลสุดท้ายก็เปิดเจอเครื่องหอมที่หากจุดคู่กันแล้วจะส่งผลให้เกิดพิษต่อปอดและหัวใจหากสูดดมในระยะยาวได้ เขาเสาะหาวิธีแก้ไขและหาวิธีปรุงยาสมุนไพรที่สามารถขับล้างพิษได้สำเร็จในตอนที่พระอาทิตย์ของวันใหม่ขึ้นสู่ขอบฟ้าพอดีหลินเจวี๋ยรีบเก็บยาที่ปรุงได้ใส่กระเป๋าลับตรงชายแขนเสื้อของตนเอง แล้วจึงได้รีบออก
เมื่อคิดได้ว่าตนเองเกือบจะต้องแต่งเข้าจวนอ๋องไปเป็นสตรีของคนที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนในชาติก่อนหลินเหม่ยเหยาก็พลันรู้สึกสั่นไหวในจิตใจ นางจ้องมองบิดาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยกับบิดาตามตรง“รบกวนท่านพ่อไปรอข้าที่ห้องหนังสือของท่านได้ไหมเจ้าคะ ข้าขอไปนำของบางอย่างมาให้ท่านดูสักครู่” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็พยักหน้า“ได้สิ! เป็นเรื่องที่บอกผู้ใดไม่ได้หรือ” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พยักหน้า“เช่นนั้นพ่อจะไปรอเจ้าที่ห้องหนังสือก็แล้วกัน” เมื่อเขาเอ่ยกับบุตรสาวจบแล้วจึงได้หันไปเก็บตำราและหนังสือของตนเองที่เขานำมาอ่านรอการกลับมาของหลินเหม่ยเหยา ไม่ใช่แค่เพียงชุยอวี้หลันหรอกที่เป็นกังวลเรื่องที่หลินเหม่ยเหยาเข้าวัง ตัวเขาที่เป็นบิดาแท้จริงแล้วมีความกังวลมากกว่าผู้ใด แต่เพราะไม่อยากจะทำให้บรรยากาศภายในจวนต้องเสียไปเขาจึงต้องเสแสร้งแสดงท่าทางสบายอกสบายใจเข้าไว้ห้องหนังสือของหลินเจวี๋ยเต็มไปด้วยตำราแพทย์ที่บรรพบุรุษของเขาเขียนขึ้นและตำราแพทย์ที่หาได้จากที่อื่น เขาไม่ได้แค่เพียงแต่สะสมแต่ยังอ่านจนเกือบหมดแล้วนำมาทดลองใช้จนสามารถเรียนตำราแพทย์ขึ้นมาใหม่อีกหลา
เมื่อออกจากหน้าประตูวังแล้วคนของหยางเจี้ยนก็นำรถม้ามารับ เขาส่งสัญญาณให้หลินเหม่ยเหยาเข้าไปนั่งในรถม้า ส่วนเขาขี่ม้าอีกตัวเคียงคู่ไปกับรถม้า การกระทำเช่นนี้ของเขาก็เพื่อป้องกันคำครหาของผู้คน หลินเหม่ยเหยาลอบพึงพอใจกับการกระทำเช่นนี้ของเขา เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่สนใจคำพูดของผู้อื่น แต่การที่เขาป้องกันคำครหาให้นางเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าหยางเจี้ยนเป็นคนที่ใส่ใจผู้อื่นพอสมควรเมื่อถึงจวนสกุลหลินแล้วหลินเหม่ยเหยาก็ลงจากรถม้าใต้การประคองของอิงจื่อและอิงเถา หยางเจี้ยนลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาหานาง เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสี่ยงที่มีความอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น“หลังจากนี้เจ้าจงอยู่ห่างจากฉินอ๋องให้มากหน่อย เขาเป็นคนที่มีจิตใจซับซ้อนเรื่องการค้าที่เจ้าทำกับเขาหากเป็นไปได้ก็ถอนตัวเถิด” เมื่อหยางเจี้ยนเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันเงยหน้าขึ้นมามองเขาในทันที นางหันไปสำรวจผู้คนรอบกาย เมื่อเห็นว่านอกจากคนของเขาและคนของนางแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอยู่ในบริเวณนี้นางจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ท่านรู้เรื่องที่ฉินอ๋องทำการค้ากับข้าด้วยหรือ” เมื่อนางเอ่ยถามเช่นนี้หยางเจี้ยนก็พยักห
ท่าทีที่เต็มไปด้วยความยินดีของสองพระองค์ทำให้หลินเหม่ยเหยาพลอยรู้สึกยินดีไปด้วย สายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ที่ทั้งสองพระองค์ทรงมอบให้แก่กันทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่เศร้าใจ ในฐานะที่เรียนวิชาแพทย์มาหลายปีทำให้หลินเหม่ยเหยาพอจะรู้ว่ายามนี้สุขภาพของเสวียนหมิงหลงฮ่องเต้ไม่ค่อยจะดีนัก หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าถ้าอิงจากชาติที่แล้วเสวียนหมิงหลงฮ่องเต้จะอยู่ได้อีกแค่เพียงสองปี ดังนั้นต่อให้รู้สึกยินดีไปกับทั้งสองพระองค์มากเพียงใดแต่เมื่อคิดถึงเรื่องราวหลังจากนี้อีกสองปีในใจของหลินเหม่ยเหยาก็พลันมีความเศร้าปะปนมาด้วย“ในเมื่อมีข่าวอันเป็นมงคลแล้วเช่นนี้กระหม่อมไม่อยู่ขัดช่วงเวลาเฉลิมฉลองของทั้งสองพระองค์แล้ว” หยางเจี้ยนเอ่ยพลางค้อมกายคารวะอำลาแล้วจึงได้หันมาทางหลินเหม่ยเหยาแล้วเอ่ยกับนางเสียงเบา“เจ้าก็กลับกับข้าก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปส่งที่จวนของเจ้าเอง” เมื่อหยางเจี้ยนเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พยักหน้าแล้วจึงได้หันไปคารวะอำลาทั้งสองพระองค์ที่ยืนอยู่ทางด้านหน้า“ถ้าเช่นนี้นั้นหม่อมฉันขอทูลลาทั้งสองพระองค์นะเพคะ” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้เสวียนหมิงหลงฮ่องเต้จึงได้ทรงตรัสออกมาด้วยพร
วังหลวงแคว้นต้าเหลียนยังคงยิ่งใหญ่เฉกเช่นที่อยู่ในความทรงจำของนาง เพียงแต่การเข้าวังในชาตินี้ของนาง นางมาในฐานะคุณหนูใหญ่สกุลหลินไม่ได้มาในฐานะฮูหยินของซ่งเสวี่ยหรง อีกทั้งด้วยฐานะคู่หมายของหยางเจี้ยนทำให้นางไม่ต้องไปต่อแถวรอการยืนยันตัวตนก่อนเข้าประตูวัง เมื่อเข้าประตูวังไปได้แล้วนางก็ถูกพาไปที่ตำหนักของหยางกุ้ยเฟยได้เลย“หลินเหม่ยเหยาถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะถวายพระพรอย่างเต็มพิธีการท่วงท่าอันอ่อนช้อยลื่นไหลไม่มีติดขัดของนางทำให้หยางกุ้ยเฟยทรงแย้มพระสรวลออกมาด้วยความพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง“ทำตัวตามสบายเถิด” พระนางทรงตรัสออกมาพลางโบกพระหัตถ์ให้นางกำนัลยกเก้าอี้มาให้หลินเหม่ยเหยานั่ง เมื่อหลินเหม่ยเหยานั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็มีนางกำนัลอีกคนยกน้ำช้ามาให้หลินเหม่ยเหยา นางรับมาจิบพอเป็นพิธีแล้วจึงนำวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างกาย อิงจื่อและอิงเถาที่ติดตามนางมาด้วยมีอาการประหม่าอยู่ไม่น้อยแต่เมื่อเห็นว่าหลินเหม่ยเหยาไม่มีท่าทีประหม่าและกังวลใดๆ แถมยังวางตนราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นพวกนางจึงได้ค่อยๆ สงบจิตใจของตนเองได้แล้วยืนอยู่ทางด้านหลังของหลินเหม่ยเหยาด้วยท่าทีที่สงบมาก
หลังผ่านพ้นพิธีปักปิ่นไปหลินเหม่ยเหยาก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติอยู่ในจวน ยามนี้เหตุการณ์หลายอย่างในชีวิตของนางได้เปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบน่าจะเกิดจากการที่นางได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่และได้แก้ไขชีวิตของตนเองอีกครั้ง เดิมทีนางเคยคิดว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่าผู้อื่นตรงที่ได้ย้อนกลับมาและรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดล่วงหน้า แต่พอหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตได้เปลี่ยนไปความมั่นใจในการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของนางก็เริ่มจะสั่นคลอน‘อย่างน้อยยามนี้ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงาน’ หลินเหม่ยเหยาคิดพลางค่อยๆ ไล่อ่านรายการสั่งซื้อสมุนไพรของหอเซียงอวี้อย่างตั้งอกตั้งใจในชาติก่อนยามนี้นางกำลังเตรียมตัวเข้าพิธีแต่งงานกับซ่งเสวี่ยหรงแล้ว แต่ชาตินี้แม้ว่าจะมีราชโองการพระราชทานสมรสแล้ว แต่วันแต่งงานกลับยังไม่ได้มีกำหนดการลงมา อีกทั้งจากที่นางรู้มาหยางเจี้ยนได้บอกกับผู้อาวุโสในจวนของเขาว่าเรื่องกำหนดงานแต่งงานยังไม่ต้องเร่งรีบ ช่วงนี้เขามีภารกิจรัดตัวหากจะจัดงานปีนี้คงจะไม่เหมาะ ดังนั้นบรรดาผู้อาวุโสทั้งสองจวนจึงได้นัดหมายกันว่าจะหาฤกษ์แต่งในปีหน้าแล้วจะกำหนดวันแต่งงานร่วมกันอีกครั้งเมื่อทั้งสองจวนตกลงกันได้เช่นนี้หลินเหม่ยเหยาจึงได้ใช้
Commentaires