เพื่อตอบแทนบุญคุณเลี้ยงดู นางจึงยินยอมสวมนามออกเรือนแทนพี่สาวที่ป่วยหนัก เพื่อตอบแทนรักของสามี นางจึงยินยอมสวมนามออกรบแทนสามีที่หายตัวไป ห้าปีในสนามรบนางสู้สุดชีวิตต้านสุดกำลังจนได้เกียรติยศเป็นถึงรองแม่ทัพไร้พ่าย ทว่ายามหวนคืนจากสงครามกลับได้รับคำว่า "ทรยศ" เป็นผลตอบแทนจากพี่สาวและสามี "เจ้าเป็นตัวแทนพวกเรามา 5 ปีแล้ว ตอนนี้ก็สมควรส่งคืนเสียที" คมดาบที่ทะลุผ่านกายยังไม่เจ็บเท่าความจริงที่ได้ยินผ่านหู เปลวเพลิงที่โหมแรงยังไม่เท่าเพลิงแค้นที่ปะทุในอก ชีวิตนี้ข้าช่างโง่งม หากมีโอกาสอีกครั้งข้าจะไม่ยอมเป็นสตรีตัวแทนผู้ใด ราวสวรรค์เมตตา มอบกาลเวลาหวนคืน ยามที่เมิ่งหว่านชิงเปิดดวงตาขึ้นอีกครั้งกลับพบว่าตนเองยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือนเถาฮวา ของตระกูลกู้ “นายท่าน อนุเสวี่ยกับคุณหนูเมิ่ง มาถึงแล้วขอรับ” เกิดใหม่ชาตินี้ข้าไม่ขอเป็นสตรีตัวแทนของผู้ใด ความแค้นในชาติก่อนข้าจะทวงคืนกลับในชาตินี้ทั้งต้น ทั้งดอก!
View Moreบทนำ
หวนคืน
“เกาอู๋ฮั่น ท่าน... แค่ก!”
น้ำเสียงแผ่วเบาสั่นเครือเอ่ยถาม ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา แต่แม้จะบาดเจ็บปางตายนางก็ยังคงจดจ้องรอคอย... รอคอยคำอธิบายจากชายผู้เป็นสามี ดวงตาคมแดงก่ำจดจ้องใบหน้าของเขาด้วยความปวดร้าวผิดหวัง ในขณะที่สองมือสองเท้าถูกมัดเอาไว้
หากแต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงยกยิ้มดูแคลน สาวเท้าเข้ามาประชิดแล้วใช้ดาบในมือแทงเข้าที่กลางอกของนาง ด้วยสายตาเยือกเย็น
“อั๊ก! ทะ... ทำไมถึงได้...”
“ทำไมน่ะหรือ... เมิ่งหว่านชิง สตรีใจทรามหยาบช้าเช่นเจ้า กล้าถามคำถามนี้กับข้าอย่างนั้นหรือ”
สตรีใจทรามหยาบช้า คิ้วเรียวเล็กขมวดมุ่น ความเจ็บปวดจากคมดาบเมื่อครู่เทียบกับประโยคนี้ของเขาแล้ว กลับสร้างความเจ็บปวดให้นางมากกว่านับร้อยนับพันเท่า
“เกาอู๋ฮั่น เจ้ามันคนไร้คุณธรรม สามปีก่อนข้าก้าวเท้าเข้าจวน ยังไม่ทันเข้าประตูเรือนหอ มารดาของเจ้าก็ร้องขอให้ข้าออกรบแทนเจ้า เจ้าไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณของข้า ยังกล้าร่วมมือกับสตรีหน้าหนาผู้นี้ทรยศข้า!”
เมิ่งหว่านชิงตวัดสายตามองไปทางสตรีที่ยืนข้างกายเขา กู้ฮวาหลัน พี่สาวบุญธรรมของนาง
“ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ตาบอด ถึงได้มองสตรีงูพิษเช่นเจ้าไม่ออก”
“สตรีงูพิษ คำเรียกขานนี้เกรงว่าท่านจะเรียกผิดคนแล้ว”
“น้องหญิงเหตุใดจึงพูดเช่นนี้ เจ้าลืมไปแล้วหรือไรว่าข้าดูแลเจ้ากับแม่ดีแค่ไหน”
ดูแล ก่อนหน้านี้ตัวนางไม่เพียงตาบอด ยังโง่งม มานึกย้อนดูตอนนี้คำว่าดูแลที่อีกฝ่ายพูดถึง ทุกครั้งกลับจบด้วยความทุกข์ทรมานมากกว่าที่ควร
“พี่อู๋ฮั่น ข้าว่าพวกเราปล่อยน้องสาวไปเถิด”
ปากบอกปล่อย แต่มือกลับดันดาบของเกาอู๋ฮั่นจนสุดแรง ฉึก! คมดาบทะลุผ่านร่างกายของเมิ่งหว่านชิง ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน ทว่ายังไม่อาจเทียบเท่าความจริงที่เมิ่งหว่านชิงได้ยินผ่านหู
“เมิ่งหว่านชิง เจ้ารู้หรือไม่ในคืนแต่งงานของเจ้า พี่สาวคนนี้ดูแลมารดาของเจ้าอย่างไร”
“เจ้าทำอะไรท่านแม่ของข้า!”
ตอนนี้เมิ่งหว่านชิงรู้ซึ้งถึงธาตุแท้ของกู้ฮวาหลันแล้ว ย่อมไม่เชื่อในคำว่าดูแลของอีกฝ่าย
“ข้าก็ให้นางได้เล่นสนุกกับคนงานในสวนประมาณสัก... เก้าคนสิบคนก็แค่นั้น”
“กู้ฮวาหลัน! เจ้ามันคนอำมหิต!”
“ข้าอำมหิตอะไรกัน แม่ของเจ้าน่ะเก่งมากทีเดียว มอบความสุขให้คนงานเหล่านั้นถึงสามวันสามคืน ได้ยินว่าแม้แต่ตอนที่นางขาดใจตายคาเตียงไปแล้วพวกเขายังสนุกกันต่ออีกหลายรอบเลยทีเดียว”
ดวงตาของเมิ่งหว่านชิงปูดโปนไปด้วยโทสะ แม้แต่น้ำตาที่ไหลรินออกมาก็กลายเป็นสีแดงฉาน เกาอู๋ฮั่นยกยิ้มเย้ยหยันดึงดาบในมือของตนเองออก แล้วใช้เท้ายันร่างที่อาบไปด้วยโลหิตจนล้มลงไปกองกับพื้น
“กู้ฮวาหลัน! เกาอู๋ฮั่น! ต่อให้วันนี้ข้าตายเป็นผีก็จะไม่มีวันปล่อยพวกเจ้า!”
“หึ! สตรีอย่างเจ้ากล้าข่มขู่พวกข้าหรือ! เช่นนั้นวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวเพลิง อยากตายก็ไม่ได้ตายง่าย ๆ”
มือหนาหันไปหยิบคบเพลิงจากคนติดตามแล้วโยนลงบนพื้นฟางเบื้องหน้าเมิ่งหว่านชิง
“เจ้าสวมรอยเป็นตัวแทนพวกเรามาสามปีแล้ว วันนี้ก็สมควรส่งคืนเสียที”
เปลวไฟลุกโหมกระหน่ำโอบล้อมเผาไหม้เมิ่งหว่านชิงในทันที เพียงแต่สำหรับนางแล้วเปลวเพลิงที่โหมแรงนี้ยังไม่อาจเทียบเท่าเพลิงแค้นที่ปะทุในอก ดวงตาเรียวปิดลงด้วยหัวใจที่ไม่ยินยอม
ชีวิตนี้ข้าช่างโง่งม หากมีโอกาสอีกครั้งข้าจะไม่ยอมเป็นสตรีตัวแทนผู้ใด
ราวสวรรค์เมตตา มอบกาลเวลาหวนคืน ยามที่เมิ่งหว่านชิงเปิดดวงตาขึ้นอีกครั้งกลับพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือนเถาฮวา ของตระกูลเสวี่ย
“เสวี่ยชิงเยี่ยนพาบุตรสาวกลับบ้านเดิม คารวะพี่ใหญ่ พี่สะใภ้”
.......................................
เรื่องนี้เนื้อหาค่อนข้างหนัก ตัวพระนางร้ายกาจ และ รุนแรงมาก
หากใครชอบแนวเบาๆ สบายๆ ไรต์แนะนำกดผ่านเรื่องนี้ได้เลยนะคะ
ใช้เวลาเพียงสองเค่อมู่ชิงก็กระตุกบังเหียนบังคับรถม้าให้หยุดลง เสวี่ยชิงเยี่ยนค่อยๆ ก้าวลงด้วยความระมัดระวัง แต่เพราะรถม้าของรุ่ยอ๋องซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์มีความสูงกว่ารถม้าปกติของชนชั้นสามัญ จึงทำให้เวลาที่นางก้าวขาลงเพื่อเหยียบพื้นเกิดเสียการทรงตัว โชคดีที่มู่ชิงเป็นองครักษ์มือเท้าว่องไวจึงเข้ารับคนได้ทัน ทำให้เสวี่ยชิงเยี่ยนไม่ล้มลงกับพื้นจนเสียกิริยากลายเป็นที่ขบขันของผู้อื่นเพียงแต่ความใกล้ชิดอันบริสุทธิ์นี้กลับกลายเป็นเรื่องให้ผู้คนรอบตัวติฉินนินทาพวกเขาแทน"ขอบคุณท่านมู่""ข้าน้อยเสียมารยาท ขอฮูหยินโปรดอภัย""ท่านช่วยท่านแม่ของข้า จะเป็นการเสียมารยาทได้เช่นไร อีกอย่างท่านเป็นคนของวังรุ่ยอ๋อง หากมีใครกล้าตำหนินินทาว่าท่านไร้มารยาท นั่นก็เท่ากับตำหนิรุ่ยอ๋องด้วย"เพราะเห็นสายตาของผู้คนรอบข้างมองมาที่มารดาและองครักษ์มู่ชิงด้วยแววตาเย้ยหยันดูแคลน บางคนยังถึงขั้นซุบซิบนินทากันซึ่งหน้า เมิ่งหว่านชิงจึงจงใจเอ่ยเสียงดัง ราวกับกำลังประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่า หากมีผู้ใดกล้าพูดเรื่องนี้ก็เท่ากับกำลังลบหลู่รุ่ยอ๋อง อำนาจของขาทองคำนี้หากนางไม่นำมาใช้ก็จะสูญเปล่ากล่าวจบเมิ่งหว่านชิงก็กวาดสายตามอ
บทที่ 5.1โต้กลับแผนร้ายหยางเทียนอี้มองกล่องไม้ตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัย เมื่อครู่ซางชุนคนสนิทของเขาบอกว่าสิ่งนี้เป็นของที่เด็กสาวตระกูลเมิ่งส่งมาให้ แน่นอนว่าหญิงสาวนางเดียวที่กล้าส่งของให้เขาโดยตรงเช่นนี้ย่อมเป็นเมิ่งหว่านชิง ดังนั้นในใจของเขาจึงมีความอยากรู้เป็นพิเศษ โดยไม่มีความหวาดระแวงเลยแม้แต่น้อยก็รีบเปิดกล่องไม้ออกดู"นี่คือรากบัวแดง!! ท่านอ๋องเช่นนี้พิษเหมันต์ของพระองค์ก็จะรักษาได้แล้ว เพียงแต่เหตุใดคุณหนูเมิ่งถึงได้ส่งรากบัวแดงมาให้ หรือว่านางจะรู้เรื่องที่พระองค์ถูกพิษ"รุ่ยอ๋องนึกถึงเมื่อคราวที่เขาถูกวางแผนลอบสังหารที่เขาหนิงซาน ในตอนนั้นซ่งเว่ยหรานเป็นคนรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ด้วยฝีมือการแพทย์ของอีกฝ่ายแน่นอนว่าต้องตรวจพบพิษที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา เพียงแต่ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือเมิ่งหว่านชิงจะใส่ใจถึงขนาดตามหารากบัวแดงนี้มาให้เขา "พวกเราใช้เวลาตามหารากบัวแดงนี้มา สามปีก็ไม่พบแม้แต่เบาะแสเพียงเล็กน้อย ไม่คิดว่านางจะใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็ตามหาได้ ช่างเป็นสตรีที่ไม่อาจดูแคลนจริงๆ"หยางเทียนอี้เอ่ยชมเชยความสามารถของเด็กสาวพรางยกมุมปากขึ้
“ใครมันบังอาจมาก่อกวนที่ร้านผ้าซือโฉว เด็กๆ ไปจับตัวมา หากไม่ยินยอมมาดีๆ ก็ลากมา!”เสียงของชายวัยกลางคนที่เดินออกมาจากร้านผ้าซือโฉวตะโกนสั่งการ พริบตาชายฉกรรจ์ร่วมสิบคนก็กรูกันเข้ามาล้อมเมิ่งหว่านชิง ริมฝีปากบางยกขึ้น ความจริงแล้วด้วยกำลังคนเพียงเท่านี้นางสามารถจัดการได้ไม่ยากเย็น แต่ในเวลานี้ตัวนางเป็นเพียงเด็กหญิงยังไม่ได้ปักปิ่น ทำตัวโดดเด่นเกินไปคงไม่ดีนัก ดังนั้นจึงใช้ไม้ตายหยิบป้ายประจำตัวของรุ่ยอ๋องออกมา“ใครกล้าแตะต้องข้าก็ลองดู!!”ผู้ดูแลเห็นป้ายในมือเด็กหญิงก็ย่อตัวลงคุกเข่า ท่าทางเปลี่ยนจากดำเป็นขาวในทันที“เป็นพวกข้าน้อยมีตาแต่ไร้แวว ล่วงเกินคุณหนูกับนายหญิงแล้ว”เมิ่งหว่านชิงมองดูแล้วเหยียดยิ้มดูแคลน ยามมีอำนาจทุกสิ่งก็คล้ายง่ายดายไปหมด ชนิดที่ไม่ต้องเปลืองแรงเป่าฝุ่นกันเลยทีเดียว“วันนี้คนของท่านทำให้ข้ากับท่านแม่แล้วก็คนติดตามของพวกเราตกใจมาก ตอนนี้จะเลือกผ้าสักคนละชิ้นสองชิ้นก็ยังยากจะตัดสินใจ”“คุณหนูไม่ต้องกังวล ข้าจะให้คนคัดเลือกผ้าที่ดีที่สุดมาให้พวกท่านดู ถูกใจผืนไหนก็รับไปได้เลย ไม่ต้องจ่านเงินสักอีแปะเดียวขอรับ”“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากพี่ชายรุ่ยอ๋องรู้เข้าคง
ทางด้านจ้าวซูซินหลังจากเชิญหมอมาแล้วรู้ว่าเสวี่ยซูเหวินถูกพิษชนิดเดียวกับที่ตนเองใส่ในขนมของเมิ่งหว่านชิงก็ขบกรามแน่น ทว่าจะไปกล่าวโทษคนถึงเรือนก็ไม่อาจจะทำได้“ชัดเจนว่าเป็นท่านอากับน้องสาวที่วางยาข้า ทำไมท่านแม่กับท่านพ่อยังไม่จัดการพวกมันให้ข้า”“หุบปาก!”จ้าวซูซินหันไปตวาดลูกชายที่โวยวายทั้งที่ร่างกายยังอิดโรย ก่อนจะขบกรามเอ่ยด้วยสีหน้าคับแค้นใจ“หากไม่เพราะท่านรองพิธีการกู้แจ้งชัดเจนว่าต้องการเสวี่ยชิงเยี่ยนไปเป็นอนุภรรยาข้ามีหรือจะยอมทนมาหลายเดือนเช่นนี้”“แต่ข้าไม่ทน! หากครั้งนี้ท่านไม่จัดการแก้แค้นน้องสาวปีศาจนั่นให้ข้า ข้าไปจัดการเอง”จ้าวซูซินเห็นท่าทางอาละวาดไม่ยอมถอยของลูกชายก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด สุดท้ายก็แสร้งจำใจรับปากเพื่อให้อีกฝ่ายสงบ ไม่มาสร้างเรื่องจนแผนของนางพัง
"หากเป็นเช่นที่ท่านป้าสะใภ้บอกอย่างนั้นข้าก็ต้องเป็นหลานยายของท่านป้าใช่หรือไม่"จ้าวซูซินถูกเด็กสาวยอกย้อนกลับก็โมโหจนเกือบเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่ แต่เมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากตระกูลกู้และผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับสองแม่ลูกคู่นี้ ใบหน้าที่บึ้งตึงก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างสดใสและอ่อนโยน"ชิงเอ๋อร์เป็นเด็กช่างเจรจายิ่งนัก แต่เอาเถิดวันนี้ข้ามาหาเจ้า ก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะมาแจ้ง"พูดจบจ้าวซูซินก็ยื่นเทียบเชิญไปร่วมงานปักปิ่นของคุณหนูตระกูลกู้ให้แก่เสวี่ยชิงเยี่ยน หัวใจของเมิ่งหว่านชิงพลันสั่นสะท้านนึกย้อนไปถึงวันวานในอดีตหลังจากที่เสวี่ยเกาเยี่ยนและจ้าวซูซินหลอกเอาสมบัติเดิมของเสวี่ยชิงเยี่ยนไปจนหมดแล้ว ก็มอบเทียบเชิญกล่าวชวนมารดาของนางไปงานปักปิ่นของคุณหนูตระกูลกู้ ในตอนนั้นเมิ่งหว่านชิงอยู่ดีๆ ก็ล้มป่วยจนไม่สามารถติดตามมารดาไปร่วมงานได้ ไม่คาดคิดว่าในวันต่อมาก็ได้รับข่าวว่ามารดาจะแต่งไปเป็นอนุของกู้เฉินโม่
กว่าที่เมิ่งหว่านชิงจะกลับถึงจวนเสวี่ยท้องฟ้าก็กลับมามืดมิดอีกหน ร่างกายของนางอ่อนเพลียไปหมด จะอย่างไรร่างกายนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กหญิงวัยสิบสี่ปีเท่านั้น วันนี้ไม่เพียงใช้แรงไปมากมาย ยังต้องแบกรับแรงกดดันอีกมหาศาล จะอ่อนล้าจนแทบล้มลงก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดา“คุณหนู บ่าวจะไปเตรียมน้ำอาบให้ท่านนะเจ้าคะ”“เจ้าเองก็เหนื่อยไม่น้อยเหมือนกันไปพักผ่อนเถอะ”วันนี้อวี้หรุนติดตามนางอย่างใกล้ชิด ไม่เพียงแค่ต้องคอยเฝ้าระวังอารักขา ยังต้องรับคำสั่งจากนางอีกหลายเรื่อง แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงเหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กันอีกอย่างเมิ่งหว่านชิงในตอนนี้ไม่ใช่เมิ่งหว่านชิง ที่เป็นเด็กหญิงอายุ 14 ปีเหมือนในชาติก่อนอีกแล้ว แต่เป็นเมิ่งหว่านชิงในวัย 21 ปีที่มีประสบการณ์ใช้ชีวิตในสนามรบมาถึง 5 หนาว เรื่องการดูแลปรนนิบัติตนเองจึงไม่จำเป็นต้องรบกวนผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ"แต่ว่า..."
Comments