ความรักข้างเดียวที่ทุ่มเทจนสุดตัว สุดท้ายกลายเป็นเพียงสตรีแสนโง่เขลาให้คนดูถูกย่ำยีเหยียบย่ำศักดิ์ศรี แม้แต่ชีวิตของคนในตระกูลก็ต้องจบสิ้น เช่นนั้นชาตินี้ข้าขอเป็นสตรีไร้หัวใจ ใช้ชีวิตเสพสุขไร้พันธะให้สมกับที่สวรรค์ให้โอกาสข้าได้กลับมา
view more*ฟางหนิงหลิน อายุ19หนาว บุตรสาวของฟางรั่วซานแม่ทัพผู้บัญชาการใหญ่รักษาเมืองหลวง
*เหยาลี่เซียน อายุ18หนาว องค์หญิงเกิดจากฮ่องเต้กับหลัวฮองเฮา(ฮองเฮาองค์ปัจจุบัน)
*เจียงเจียวซิน อายุ19หนาว บุตรสาวของเจียงจี้ต๋ารองแม่ทัพผู้บัญชาการรักษาเมืองหลวง
*เหยาซีฮัน อายุ24หนาว องค์ชายใหญ่เกิดจากฮ่องเต้กับหลัวฮองเฮา(ฮองเฮาองค์ปัจจุบัน) ตำแหน่งไท่จื่อหรือองค์รัชทายาท
*เหยาหวังเหว่ย อายุ23หนาว องค์ชายรองเกิดจากฮ่องเต้กับตงฮองเฮา(ฮองเฮาพระองค์ก่อน) ตำแหน่งชินอ๋อง
*เหยาซิงอี อายุ21หนาว องค์ชายสามเกิดจากฮ่องเต้กับตงฮองเฮา(ฮองเฮาพระองค์ก่อน) ตำแหน่งจวิ้นอ๋อง
*สวีจื้อซาน อายุ24หนาว บุตรชายของเสนาบดีสวี เสนาบดีสำนักตรวจราชการ ตำแหน่งองครักษ์
*เสิ่นหลิวหยาง อายุ23หนาว บุตรชายของแม่ทัพใหญ่เสิ่น ตำแหน่งแม่ทัพ
หน้ากระโจมหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่หลังค่ายทหาร มีนายทหารสองคนยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า เพียงทหารผู้น้อยสองนายเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินมา พวกเขาก็รีบก้มหน้าก้มตาทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“พวกท่านถอยออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับนางสักหน่อย” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่อ่อนโยน
“พระชายา พระองค์ทรงเกรงใจพวกกระหม่อมมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ แค่เพียงพระองค์ตรัสสั่งมีหรือทหารต้อยต่ำอย่างพวกกระหม่อมจะกล้าไม่ทำตาม”
“เช่นนั้นข้าก็ขอบใจพวกท่านมาก”
“เชิญพระชายาตามสบาย พวกกระหม่อมจะถอยออกไปรออยู่ไม่ไกลมากนัก หากมีเรื่องอันใดพระองค์เรียกพวกกระหม่อมได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทหารทั้งสองนายพูดจบก็ถอยหลังเดินออกจากบริเวณนั้นไป สตรีสูงศักดิ์เดินเข้าไปด้านในกระโจม ขนาดของกระโจมหลังนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก ภายในมีสตรีผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าขาดวิ่นเผยให้เห็นผิวขาวเป็นบางส่วน หน้าตามอมแมมเนื้อตัวดูสกปรก รูปร่างผอมโซไร้วี่แววว่าเคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจ
สตรีนางนั้นเมื่อเห็นสตรีสูงศักดิ์เดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นวิ่งมาหานางทันที แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวสตรีสูงศักดิ์โซ่ที่ล่ามขาของนางก็ตึงนางไว้จนล้มลงไปนอนกับพื้น
สตรีสูงศักดิ์ถึงจะตกใจที่นางวิ่งเข้ามาหา แต่เมื่อเห็นนางล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ สตรีสูงศักดิ์ก้าวเดินต่อเข้าไปหานาง และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของสตรีผอมโซ ก่อนจะใช้สายตาเหยียดหยามมองดูนางที่พยายามลุกขึ้นนั่ง
“เจียวซินช่วยข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ”
สตรีที่ถูกล่ามโซ่จับขาของสตรีสูงศักดิ์ไว้และร้องขออย่างน่าเวทนา แต่กลับไร้วี่แววว่าสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นจะเห็นใจในการกระทำของนาง มิหนำซ้ำนางยังสะบัดขาหนีและมองมายังหญิงสาวที่ถูกล่ามโซ่อย่างดูแคลน
แต่สตรีที่ถูกล่ามโซ่กลับคิดว่าตัวนางเองคงไร้มารยาท เพราะถึงอย่างไรตอนนี้นางและเจียงเจียวซินก็ฐานะแตกต่างกันมาก บวกกับสิ่งที่นางกระทำต่อเจียงเจียวซินก็คงทำให้เจียงเจียวซินโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันลืมตัวไปจึงได้แสดงท่าทางไร้มารยาทต่อพระองค์ หม่อมฉันขอร้องพระชายาองค์รัชทายาทช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้วหม่อมฉันขอโทษเพคะ พระองค์ยกโทษให้หม่อมฉันได้หรือไม่” นางลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้เจียงเจียวซินอภัยแก่นาง
“เจ้าทำอันใดผิดอย่างนั้นหรือ” เจียงเจียวซินพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“หม่อมฉันผิดที่วางยากำหนัดพระองค์กับองค์รัชทายาท ทำให้พระองค์เสียใจ แต่ที่หม่อมฉันทำไปเพียงเพราะหม่อมฉันอยากให้ท่านอ๋องเลิกคิดคำนึงถึงพระองค์ก็เท่านั้น หม่อมฉันคิดว่าหากพระองค์แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ท่านอ๋องจะหันมาสนใจหม่อมฉันบ้าง หม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันทำผิดต่อพระองค์ หม่อมฉันจึงเลือกวางยาองค์รัชทายาทแทนที่จะเลือกวางยาท่านแม่ทัพ เพราะหม่อมฉันคิดว่าหากให้พระองค์เป็นชายาองค์รัชทายาทก็คงดีกว่าเป็นฮูหยินท่านแม่ทัพ และนี่เป็นอย่างเดียวที่ทำให้หม่อมฉันรู้สึกผิดต่อพระองค์น้อยลง” นางเอ่ยความในใจที่มีออกมา
“ฟางหนิงหลินนะฟางหนิงหลิน เจ้าคิดจริง ๆหรือว่าข้าเสียใจ ข้าต้องขอบใจเจ้าด้วยซ้ำที่ทำให้ข้าสมหวัง” เจียงเจียวซินหัวเราะเสียงดังพร้อมแสดงสีหน้าเยาะเย้ย
“พระองค์หมายความว่าอย่างไรเพคะ” ฟางหนิงหลินคิ้วขมวดติดกันเมื่อเห็นท่าทางของเจียงเจียวซิน
“เจ้าคิดว่าข้ารักท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ” เจียงเจียวซินยกยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยต่อ
“เปล่าเลย ข้าเพียงแค่รู้ว่าเจ้าชอบท่านอ๋อง จึงคิดอยากแย่งเขามาเพื่อให้เจ้าเสียใจก็เท่านั้น ที่จริงตอนที่เจ้าแต่งกับท่านอ๋องข้าเองก็เจ็บใจอยู่บ้างที่เจ้าสมหวัง และไม่สามารถมีอำนาจมากกว่าเจ้าได้ ข้าต้องขอบใจเจ้ามากจริง ๆที่ทำให้ข้ามีอำนาจมากกว่าเจ้า และที่สำคัญไปกว่านั้นข้ายังสามารถทำให้เจ้าและครอบครัวตกต่ำได้อย่างเช่นวันนี้” เจียงเจียวซินพูดเสร็จก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างสะใจ
ฟางหนิงหลินถึงกับใบหน้าถอดสีที่ได้รับรู้ความจริงจากปากเจียงเจียวซิน เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้นนางก็รู้สึกผิดต่อเจียงเจียวซินมาตลอด แต่ตอนนี้นางได้รู้แล้วว่าไม่ใช่อย่างที่นางคิดไว้เลย นางต่างหากที่เป็นคนตกหลุมพรางกลายเป็นหมากให้ผู้อื่น
เจียงเจียวซินเห็นสีหน้าของฟางหนิงหลินก็ถึงกับยิ้มยกขึ้น นางย่อตัวลงไปนั่งใกล้ ๆกับฟางหนิงหลินก่อนจะเอ่ยเสียงเบา ๆ เพื่อเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆที่นางได้ทำกับฟางหนิงหลินและคนรอบตัวของฟางหนิงหลินด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความสาแก่ใจ
ฟางหนิงหลินที่นั่งเหม่อลอยคิดไตร่ตรองความผิดที่นางได้กระทำลงไปด้วยความโง่เขลาและดื้อรั้น นางได้ยินเรื่องราวทั้งหมดน้ำตาก็ไหลอาบแก้มจนหยุดไม่ได้ ก่อนที่นางจะตาเบิกโตเมื่อได้รับรู้สาเหตุการตายของท่านพ่อท่านแม่ว่าหาได้กระทำความผิดไม่ เพียงแต่ถูกใส่ความทำให้ถึงกับตรอมใจตาย เพียงแค่ได้ยินแค่นั้นก็ทำให้สติของนางขาดสะบั้น นางกระชากปิ่นทองที่ปักผมของเจียงเจียวซินอยู่ออกมาโดนที่เจียงเจียวซินไม่ทันได้ตั้งตัว
เจียงเจียวซินกว่าจะตั้งสติได้ก็หลบปลายแหลมของปิ่นไม่พ้นเสียแล้ว นางได้แต่ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ ปลายปิ่นทองที่แหลมคมปักเข้าที่ลำคอของนางและถูกกระชากออกอย่างรวดเร็ว เลือดสาดกระเซ็นออกมาตามปิ่นที่ถูกกระชากออก
เจียงเจียวซินรีบใช้มือปิดบาดแผลที่คอ ก่อนจะร้องส่งเสียงให้ทหารเวรข้างนอกเข้ามาช่วยพร้อมกับรีบลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนเพื่อหนีฟางหนิงหลินแต่ไม่ทันเสียแล้ว ฟางหนิงหลินจับข้อเท้าของเจียงเจียวซินจนนางล้มลงก่อนจะลากตัวนางเข้ามาใกล้และขึ้นคร่อมร่างของเจียงเจียวซินไว้
ฟางหนิงหลินใช้ปิ่นกระหน่ำแทงอย่างไม่คิดชีวิตราวกับคนเสียสติ นางไม่สนใจว่าปิ่นนั้นจะทิ่มแทงโดนที่ใดบ้าง นางหวังเพียงแค่แทงให้คนที่อยู่ใต้ร่างได้ตายอย่างทรมานเป็นพอ เจียงเจียวซินทั้งปัดป้องและร้องเรียกทหาร แต่แรงของนางก็ไม่สามารถจะสู้ฟางหนิงหลินที่กำลังคลุ้มคลั่งได้เลย
ทหารที่อยู่ด้านนอกเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องก็รีบวิ่งกลับมายังกระโจมทันที เมื่อเขาเปิดกระโจมเข้ามาก็ถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นพระชายานอนอยู่ใต้ร่างของฟางหนิงหลิน เนื้อตัวของทั้งคู่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ถึงจะแยกไม่ออกว่าเลือดนี้เป็นของใคร แต่การที่พระชายาถูกทำร้ายขณะที่พวกเขาทำหน้าที่อยู่นั้น พวกเขาก็คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้เป็นแน่ ทหารนายหนึ่งรีบตวาดเสียงดังเพื่อให้ฟางหนิงหลินหยุด
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อฟางหนิงหลินหันมาเห็นทหารทั้งสอง ถึงจะทำให้นางหยุดชะงักไปช่วงหนึ่ง แต่ทำให้นางคิดได้ว่าหากครั้งนี้ฆ่าเจียงเจียวซินไม่ได้นางคงไม่มีโอกาสลงมืออีกแล้ว นางจึงใช้ปิ่นแทงลงบนอกของเจียงเจียวซินและใช้แรงทั้งหมดกดย้ำลงไป จนในที่สุดเจียงเจียวซินก็นอนตาเหลือกแน่นิ่งไป
ทหารทั้งสองกระชากฟางหนิงหลินออกจากร่างเจียงเจียวซินทันทีที่ถึงตัวนาง นางตั้งสติได้และรับรู้ชะตาที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง เมื่อเห็นมีดสั้นที่อยู่ข้างเอวของนายทหาร นางจึงลุกขึ้นไปกระชากมีดสั้นนั้นมา ถึงทหารผู้นั้นจะตั้งสติได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่ทันที่จะแย่งมีดนั้นมาได้เพราะบัดนี้นางได้ปักมีดสั้นเล่มนั้นลงบนอกของนางเสียแล้ว
นางล้มลงนอนบนพื้นเลือดค่อย ๆซึมออกมาจนไหลกองนองพื้น ภาพสุดท้ายก่อนนางจะหมดลมหายใจ กลับได้เห็นบุรุษที่นางรักวิ่งเข้ามาในกระโจมด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ข้าขอโทษ ความผิดข้าเองหากมีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะไม่ขอเป็นชายาของท่านอีก” นางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาก่อนจะสิ้นใจไปในที่สุด
“ขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก เพียงแต่ข้ายังมีเรื่องที่ต้องพูดให้ชัดเจน เพราะหนิงหลินเป็นคนใจกว้างมักไม่ถือสาคำนินทาที่ผู้คนใส่ความนางมาโดยตลอด แต่ต่อไปนางคือชายาของข้า เรื่องในอดีตข้าอาจไม่สนใจได้ ทว่านับตั้งแต่วันนี้ไม่เหมือนกัน ใครกล้าว่านางเท่ากับมันผู้นั้นว่าข้า หากเป็นเช่นนั้นจะเกิดอันใดขึ้นกับคนผู้นั้น คงไม่จำเป็นให้ข้าต้องเอ่ยถึงพวกท่านก็น่าจะพอนึกภาพออกใช่หรือไม่” เสียงของเขาหนักแน่นและเฉียบขาดคนในร้านพากันเงียบกริบได้เพียงแต่กลืนน้ำลายลงคอใบหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินคำขู่ เพราะทุกคนล้วนเคยกล่าวถึงคุณหนูสกุลฟางในทางที่ไม่ดีมาก่อน“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน” จางซวงซวงรีบขอตัวกลับเมื่อได้ยินว่าชินอ๋องจะไม่เอาความกับเรื่องเก่าก่อน เพราะนางกลัวว่าหากอยู่ต่อเหยาหวังเหว่ยจะกลับใจเอาความกับนาง“เดี๋ยวก่อน จริงอยู่ที่ข้าให้โอกาสผู้ที่เคยว่าร้ายว่าที่ชายาของข้า แต่การกระทำของเจ้าในวันนี้ข้าไม่อาจให้อภัยได้ ผู้อื่นนินทาลับหลังยังพอทน แต่ใครกันให้ความกล้าเจ้าต่อว่านางเช่นนี้ สตรีไร้ยางอายอย่างนั้นหรือ หากเป็นเพราะเรื่อ
ทุกคนในโรงน้ำชามัวแต่สนใจคำพูดของคุณหนูสกุลจางจนไม่สังเกตเห็นแขกอีกคนที่มาเยือนโรงน้ำชาไป่เหอแห่งนี้ เขายืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับองครักษ์คนสนิท บุรุษตัวสูงท่าทางสง่ามาทันได้ยินคำกล่าวของจางซวงซวงทุกประโยค ดวงตาของเขาฉายแววอาฆาต ใบหน้าบ่งบอกถึงความกระหายอยากฆ่า แม้แต่องครักษ์ข้างกายที่ติดตามมาด้วยได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นนายก็ยังรู้สึกกลัวจนขนหลังลุกชันเหยาหวังเหว่ยก้าวเท้าเข้าไปหมายจะจัดการสตรีปากมากที่กล้าเอ่ยวาจาว่าร้ายชายาของเขา แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าอีกข้างเสียงฝ่ามือกระทบกับแก้มนิ่มก็ดังขึ้น เขาถึงกับชะงักไม่ก้าวเท้าต่อ ไม่เพียงแต่เหยาหวังเหว่ยและซูโม่อี้ที่ตกตะลึง แต่คนในโรงน้ำชาทุกคนก็ล้วนงงงันจนพูดไม่ออก พวกเขาล้วนแต่อ้าปากพะงาบ ๆ พร้อมเอามือทาบอกจางซวงซวงใบหน้าชาวาบ นางเงยหน้าขึ้นมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาเปี่ยมไอสังหาร ในใจของนางทั้งโกรธแค้นทั้งอับอาย“โกรธข้าสินะ แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้” พูดจบฟางหนิงหลินก็ง้างฝ่ามือตบเข้าไปอีกฉาก โดยที่จางซวงซวงไม่ทันตั้งตัวเพราะนางไม่คิดว่าจะโดนตบซ้ำอีกคราใบหน้าของคุณหนูสกุลจางหันไปตามแรงมือ แต่คราน
ถึงงานนี้เหยาหวังเหว่ยไม่ได้เต็มใจจะจัดขึ้นมา แต่เขาก็ตั้งตารอสตรีผู้หนึ่งให้มาร่วมงาน เมื่อเขาเห็นแม่ทัพใหญ่ฟางมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงชั่ววูบเดียวใบหน้าของเขาก็ฉายแววความผิดหวังขึ้นมา ยังไม่ทันที่ฟางรั่วซานจะเอ่ยอวยพร ชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“หนิงหลินไม่มาอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยเสียงแข็งพาบรรยากาศเปลี่ยนไปในทันทีคำพูดของชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยทำให้ฟางรั่วซานนึกสังสัย เพราะเจ้าของตำหนักแห่งนี้ไม่น่าจะเอ่ยถามถึงบุตรสาวของเขา อีกทั้งยังเรียกชื่อบุตรสาวของเขาราวกับสนิทสนมกัน ไม่เหมือนแต่ก่อนที่จะเรียกว่าคุณหนูฟาง ไม่เพียงแค่แม่ทัพใหญ่ฟางที่นึกแปลกใจ แต่สวีจื้อซานและเสิ่นหลิวหยางเองก็ประหลาดใจจนต้องหันขวับมามองเจ้าของตำหนักแห่งนี้ เพราะนึกว่าหูของพวกเขาฟังผิดเพี้ยนไป“บุตรสาวของกระหม่อมไม่ค่อยสบาย จึงไม่ได้มาขอท่านอ๋องโปรดอภัย” ฟางรั่วซานไม่รู้จะตอบเช่นไรจึงได้เอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเอาตัวรอดไปก่อนเพียงเหยาหวังเหว่ยได้ยินคำตอบก็ลุกขึ้นทันที ทุกคนพลันมีสีหน้าตกตะลึง องค์ชายสามที่นั่งอยู่เมื่อตั้งสติได้จึงเอ่ยถ
ข้าไม่ได้ออกไปนอกจวนหลายวันแล้ว วันนี้พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ พวกเจ้าช่วยข้าแต่งตัวที” นางเอ่ยจบก็ลุกไปยืนหน้ากระจกบานใหญ่ที่สูงและกว้างพอที่จะส่องตัวนางได้ทั้งตัว“คุณหนูแน่ใจแล้วหรือเจ้าคะที่จะออกไปข้างนอกตอนนี้ เมื่อครู่คุณหนูเพิ่งปฏิเสธไม่ไปตำหนักท่านอ๋อง แต่บัดนี้กลับจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก” ลี่อินเอ่ย เพราะกลัวว่าคุณหนูของนางจะถูกนายท่านตำหนิ“เจ้ากลัวอันใด ท่านอ๋องเชิญเหล่าขุนนางและครอบครัวปากเปล่าหาได้มีเทียบเชิญอย่างเป็นพิธีการ ยิ่งกว่านั้นไม่ได้เจาะจงเชิญข้าเสียหน่อย ข้าจะไปหรือไม่ไปก็หาได้สำคัญ” นางเอ่ยพร้อมหันหน้าซ้ายขวาเพื่อดูใบหน้าของตนเองในกระจก“จริงด้วย ปกติท่านอ๋องก็ไม่เคยใส่ใจคุณหนูของพวกเราอยู่แล้ว ท่านพี่ก็อย่าได้คิดมากไปเลย” ลี่จินเอ่ยลี่อินหันไปมองน้องสาวพร้อมใช้สายตาตำหนิ แต่ทว่าลี่จินกลับเบือนหน้าหนี ใบหน้าของนางยังคงแสดงถึงความหงุดหงิดที่ยังค้างอยู่ในใจ แต่มือของนางก็ยังคงช่วยฟางหนิงหลินแต่งตัวตามคำสั่ง“ข้าเพียงแค่กลัวว่าหากท่านอ๋องตำหนินายท่านมา คุณหนูอาจจะโดนหางเลขไปด
“หัวหน้าองครักษ์ไป๋ ในเมื่อท่านเป็นคนดูแลองครักษ์ทั้งหมดในวัง เช่นนั้นวันนี้ข้าต้องรบกวนท่านแล้ว ข้าจะให้องครักษ์สวีเป็นผู้เลือกองครักษ์ทั้งหมดที่จะมาอยู่ที่ตำหนักบูรพา หวังว่าจะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ” เจ้าของตำหนักบูรพาเอ่ยเสียงราบเรียบ“องค์รัชทายาทอย่าได้เกรงใจ ในเมื่อฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว เช่นนั้นเชิญองค์รัชทายาทเลือกได้ตามสบาย” หัวหน้าองครักษ์ไป๋ตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่นเหยาซีฮันยกยิ้มอย่างพอใจ เพราะที่ผ่านมาองครักษ์ข้างกายของเขาก็มักจะเป็นคนของหลัวฮองเฮาที่ส่งมาจับตาดูเขา ถึงคนเหล่านั้นจะจงรักภักดีต่อเขา แต่จงรักภักดีต่อมารดาของเขามากกว่า จนเขาต้องเปลี่ยนองครักษ์อยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะถูกมารดาของเขาซื้อตัวไปจนได้ครานี้เขาจึงได้ตัดสินใจเอ่ยเรื่องนี้ในท้องพระโรงเพื่อจะดึงสหายสนิทมาเป็นองครักษ์ข้างกาย ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เขาไม่คิด เพียงแต่ไม่อยากทำให้สหายต้องลำบากใจ แต่ยามนี้ไม่เหมือนกันในเมื่อเขาได้เผยความลับของหลัวฮองเฮาที่เขาซ่อนเอาไว้ออกมาแล้ว อีกทั้งตอนนี้เขาก็มีอำนาจเป็นรองเพียงเสด็จพ่อเท่านั้น คำสั่งเขาย่อมมีน้ำหนักกว่าฮองเฮาที่ปกครองวังหลัง เขาจะไม่ให้มารดาของเขาสอดมือเข้
“เจ้าดีเกินไป คนเหล่านั้นไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิด พวกเขามากเล่ห์แม้แต่องค์ชายสามที่ดูไร้ประโยชน์เดินตามองค์ชายรองไปวัน ๆ พอได้โอกาสก็แสดงความสามารถจนเสด็จพ่อของเจ้ามอบตำแหน่งจวิ้นอ๋องให้เขา แล้วมีหรือวันหน้าหากสบโอกาสเขาจะไม่ต้องการตำแหน่งอื่น”ถึงหลัวฮองเฮาจะเห็นสายตาที่แปลกไปของบุตรชาย แต่นางอยากจะเอ่ยทุกอย่างให้ชัดเจน เพราะแผนการต่อไปที่นางจะทำไม่อาจให้เขาเข้ามาขวางได้ และบางครานางยังต้องการความร่วมมือจากเขาอีกด้วยเหยาซีฮันยกยิ้มแล้วหัวเราะแบบคนสติหลุด เพราะแต่ก่อนมารดาของเขามุ่งเป้าไปที่เหยาหวังเหว่ยเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้แม้แต่เหยาซิงอีก็กลายเป็นคนที่มารดาอยากกำจัดไปเสียแล้ว หลัวฮองเฮาเพียงได้ยินเสียงหัวเราะของบุตรชายถึงกับดวงตาเบิกโต ใบหน้าตื่นกลัวเมื่อเห็นท่าทางที่ผิดแปลกไปของบุตรชายเช่นนี้“เจ้าดีเกินไปอย่างนั้นหรือ คำนี้ดูตลกเสียจริง ในบรรดาพี่น้องหากจะถามหาว่าผู้ใดเลวที่สุด คงไม่มีใครสู้ข้าได้เลย ความเสแสร้งยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ข้าแสดงเก่งจนแม้แต่เสด็จแม่ก็จับไม่ได้” เขาหยุดเอ่ยน้ำใส ๆ ไหลลงมาก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ&ld
Mga Comments