ในยุค 70 และพบว่ามีลูกถึงสามคน และถูกครอบครัวสามีเอาเปรียบเป็นอย่างมาก เธอจึงตั้งปณิธานอันแน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนความเป็นอยู่ของพวกเขาให้ดีขึ้นให้ได้!
ดูเพิ่มเติมช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนหลังจากพ้นช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านหลายคนต่างกำลังพักผ่อนหย่อนใจหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลานานหากแต่ยังไม่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ไปตามสายลมที่กำลังเย็นสบายก็ต้องพากันสะดุ้งเมื่อมีเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังลั่นหมู่บ้าน
“ทำไมห้ะ สามีของฉันหาเงินมาไม่ใช่น้อยกับอีแค่เงินสองหยวนทำไมให้ฉันไม่ได้” เสียงแหลมสูงที่เป็นที่คุ้นชินของชาวบ้านดังลั่น “เธอโวยวายอะไรอีกแล้ว” ชาวบ้านที่กำลังพักผ่อนอยู่พูดคุยกันอย่างมึนงง เธอได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงปากร้ายเป็นที่นินทาสนุกปากของชาวบ้าน “คงทะเลาะกับแม่สามีอีกแล้ว” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น “ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเงิน” “อั๊ยยา ผู้หญิงที่วันๆ เอาแต่โวยวายด่าทอไม่สมควรที่จะเก็บเงิน จางจื่อหานส่งเงินมาเดือนนึงไม่ใช่น้อยหากให้เธอเก็บคงมีแต่ผลาญจนหมด ดูสิตอนนี้ยังกล้าขอเงินมากถึงสองหยวน” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยอย่างเยาะหยัน “แต่แม่เฒ่าจางก็ลำเอียงเกินไป จางจื่อหานไปเป็นทหารอยู่ที่กองทัพส่งเงินมาทุกเดือนแต่ลูกเมียของเขากับใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น แล้วดูลูกๆ ของจางจื่อซวานสิใส่เสื้อผ้าใหม่ใส่ทุกปี แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเอาเงินของจื่อหานไปเลี้ยงครอบครัวพี่ชายแทนลูกเมียเขาเหรอ” ชาวบ้านอีกคนเอ่ย “จื่อหานไม่ค่อยได้กลับบ้าน กลับมาก็มาทีก็แค่วันสองวันแค่ใช้เวลากับผู้เป็นแม่ก็หมดแล้วจะเอาเวลาไหนมาสนใจลูกเมีย” ชาวบ้านต่างพากันนินทากันสนุกปาก เดากันไปต่างๆ นาๆ ว่าตอนนี้หญิงปากร้ายกับแม่ผัวจะปะทะกันไปถึงไหนบ้าง นี่แทบจะเป็นเรื่องสนุกปากของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ “อึก” ซิ่วอิงกรีดร้องออกมาด้วยอาการเจ็บศรีษะ ตอนนี้เธอรู้สึกมึนหัวเป็นอย่างมากจนไม่อยากที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา “แม่ แม่เป็นยังไงบ้าง” เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยสร้างความมึนงงให้กับซิ่วอิงเป็นอย่างมาก เด็กมากจากไหน? เธอจำได้ว่าเธอเสียชีวิตจากการถูกรถชนแล้วไม่ใช่เหรอ “แม่ เจ็บมากไหมจ๊ะ” เสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้น ซิ่วอิงพยายามลืมตาเธอกวาดตามองไปรอบๆ เห็นเด็กหน้าตามอมแมมสามคนยืนเฝ้าเธออยู่ คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยสิบขวบกอดอกพิงผนังหน้าตาเย็นชา อีกสองคนเป็นเด็กผู้หญิงวัยเก้าขวบและเด็กผู้ชายวัยเจ็ดขวบกำลังมองมาที่เธออย่างเป็นห่วง ซิ่วอิงตกใจดีดตัวลุกขึ้นทันที เธอเริ่มมองไปรอบๆ อีกครั้งพบว่าภายในห้อง ทั้งข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงเตียงที่เธอนอนอยู่นั้นไม่คุ้นตา ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะไหลเวียนเข้ามาในหัว เจ้าของร่างมีชื่อว่า ซิ่วอิง เช่นเดียวกันกับเธอ ถูกพ่อและแม่บ้านเดิมจับแต่งงานกับคนที่ชื่อว่า จางจื่อหาน เพื่อที่จะนำเงินค่าสินสอดไปจัดงานแต่งให้น้องชาย จางจื่อหานเป็นทหารรับใช้ในกองทัพและส่งเงินมาที่บ้านทุกเดือนเพียงแต่เงินทั้งหมดอยู่ในความดูแลของแม่เฒ่าจาง ครอบครัวสามีไม่ชอบเธอทั้งของเอาเงินที่สามีของเธอแลกมาด้วยชีวิตนั้นปรนเปรอครอบครัวลูกชายคนโตอย่างจางจื่อซวาน ชื่อเสียงของซิ่วอีในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ค่อยจะดีนักเธอขึ้นชื่อว่าเป็นคนปากร้าย ชอบโวยวาย และไร้เหตุผล ร่างเดิมกับจางจื่อหานมีลูกด้วยกันสามคน คนโตเป็นผู้ชายอายุ 10 ขวบ ชื่อว่า ซีซวน คนรองเป็นเด็กผู้หญิงวัย 9 ขวบ ชื่อว่า ซูเม่ย คนเล็กเป็นเด็กผู้ชายอายุ 7 ขวบ ชื่อว่า ซีห่าว พวกเขาไม่เคยได้รับการดูแลที่ดีจากผู้เป็นย่านักแตกต่างจากลูกๆ ของลุงและป้าสะใภ้เป็นอย่างมาก เหตุการณ์ล่าสดที่เกิดขึ้นคือเจ้าของร่างไปขอเงินแม่สามีจำนวนสองหยวนเพื่อไปหาหมอในเมือง ผลคือแม่สามีนอกจาไมใหแล้ววด่าว่าเธอสิ้นเปลือง ด้วยความที่เจ้าของร่างมีสกิลปากไม่ธรรมดาจึงเกิดการโต้เถียงกันใหญ่โตจนในที่สุดเจ้าของร่างก็ถูกสะใภ้ใหญ่ของบ้านผลักจนหัวชนผนังบ้านหมดสติไป ไม่สิ ต้องเรียกว่าเสียชีวิตเลยเพราะมันทำให้เธอโผล่มาอยู่ในร่างนี้ ซิ่วอิงที่ได้รับรู้เรื่องราวก็อดที่จะสงสารเจ้าของร่างและเด็กๆ ไม่ได้ ไม่แปลกเลยที่เธอจะเป็นคนอารมณ์ร้ายก็ในเมื่อเธอถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรมมาตลอด “แม่ครับ” ลูกชายคนเล็กเอ่ยเรียกแม่อย่างกล้าๆ กลัวๆ ด้วยว่าหากเจ้าของร่างอารมณ์ไม่ดีก็มักจะด่าทอลูกของตนเองเช่นกัน “แม่ไม่เป็นไร ลูกๆ ไปเล่นเถอะ” ซิ่วอิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เล่นไม่ได้จ้ะ ป้าสะใภ้ให้พวกเราไปตัดหญ้าเพื่แลกกแต้มคะแนน” ซูเม่ยเอ่ยบอก ป้าสะใภ้มักจะบอกให้พวกเขาไปทำงานแลกคะแนนกลับมาก็ต้องทำงานบ้านผิดกับลูกชายลูกชายของตนเองที่วันๆ ไม่ต้องหยิบจับอะไร “งั้นอาเม่ยกับอาซวนก็ไปทำก่อนเถอะ เดี๋ยวงานบ้านแม่จัดการเอง อาห่าวยังเด็กเกินไปให้อยู่กับแม่ที่บ้านนี่แหละ” ทันทีที่ซิ่วอิงพูดจบลูกชายคนโตกับลูกสาวก็ทำหน้าราวกับเห็นผี แม่ของพวกเขาแปลกไป! นี่ยังใช่แม่ของพวกเขาอยู่หรือไม่! นอกจากจะไม่ด่าแล้วยังพูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีก นี่มันผิดปกติที่สุด ซีซวนมองอย่างแปลกใจครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากบ้านไป ซูเม่ยเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งตามหลังพี่ชายไปทันที ส่วนซีห่าวเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจอะไรเมื่อเห็นว่าแม่อ่อนโยนในใจเขาก็มีความสุข “เอาล่ะ หิวหรือยัง” ซิ่วอิงเอ่ยถามลูกชายคนเล็ก เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเด็กๆ ได้กินข้าวหรือยังเมื่อครู่เธอก็ลืมถามเด็กสองคนนั่น “กินได้เหรอครับ” ซีห่าวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมจะกินไม่ได้ล่ะ” ซิ่วอิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ก็บ้านเรากินอาหารแค่วันละหนึ่งมื้อ มีแค่ปู่ย่าและครอบครัวลุงที่ได้กินวันละสามมื้อ” ซีห่าวเอ่ยตอบผู้เป็นแม่ “….” จริงสินะ แม่สามีให้เธอและลูกๆ กินอาหารวันละหนึ่งมื้อโดยให้เหตุผลว่าพวกเขาสิ้นเปลืองเกินไป ผิดกับครัวครัวของลูกชายคนโตที่ได้กินอาหารวันละสามมื้อ เรื่องนี้เจ้าของร่างเดิมทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายและด่าทอในทุกวัน “ไม่เป็นไร ถ้าหิวก็แค่กิน” ซิ่วอิงลูบหัวเด็กน้อย ริมฝีปากสวยยกยิ้มที่มุมปากคิดจะให้เธออยู่แบบอดๆ อยากๆ เหรอ ฝันไปเถอะ ซิ่วอิงพาลูกชายคนเล็กมาที่ครัวก่อนจะแอบหยิบเอาไข่ไก่เอามาต้มให้ลูกชายคนเล็ก ในเวลานี้แม่สามีพาครอบครัวลูกชายคนโตไปซื้อของในเมืองส่วนพ่อสามีคงจะไปพูดคุยกันที่ลานประชุม เมื่อเป็นช่วงหยุดหลายคนมักจะไปนั่งเล่นจับกลุ่มพูดคุยกันที่นั่นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่เธอะทำอาหารและซ่อนไว้ให้ลูกๆ ซิ่วอิงมองดูเด็กน้อยที่มองมาที่เธอตาแป๋วก็นึกสงสาร เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ เนื้อตัวมอมแมมร่างกายก็ผอมแห้งจากการขาดสารอาหาร ดูสิคนเป็นพ่อเข้าร่วมกองทัพส่งเงินมาแทนที่ลูกเมียจะได้ใช้แต่กลับเอาไปเลี้ยงดูครอบครัวลูกชายคนโต มันน่าโมโหนัก! ซิ่วอิงจัดการต้มไข่จำนวนห้าฟองก่อนจะรีบพาลูกกลับไปที่ฝั่งห้องของตนเอง ในยุคที่อดอยากไข่ห้าฟองนับเป็นของมีค่ามาก “นังตัวดี แกอยู่ไหน!” เสียงตะโกนของแม่เฒ่าจางดังลั่นจนเพื่อนบ้านต่างพากันชะโงกหน้าออกมาดู ตอนนี้แม่เฒ่าโกรธจนตัวสั่น ซีห่าวที่ได้ยินก็ตกใจกลัวจะถูกตีอีกรีบเข้าไปกอดคนเป็นแม่ทันที “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ซิ่วอิงปลอบเด็กน้อยเธอใช้มือบางลูบหลังเขาอย่างอ่อนโยน “แก นังตัวดี แกขโมยไข่ฉันไปใช่ไหมห้ะ” แม่เฒ่าจางเข้ามายังห้องของบ้านรอพร้อมกับตะคอกใส่ลูกสะใใภ้คนรองด้วยความโมโห “อะไร กล่าวหาอะไร” ซิ่วอิงตอบกลับ “แม่ แม่ เกิดอะไรขึ้น” ซูเม่ยกับซีซวนเพิ่งกลับมาจากตัดหญ้าเมื่อได้ยินเสียงโวยวายก็พากันรีบวิ่งเข้ามา “ก็แม่ของแกขโมยไข่ไก่ของฉัน ไข่ไก่ที่ฉันเก็บไว้ให้อาถิงกับอาเฉิงตัวน้อยๆ ตอนนี้มันหายไป!” แม่เฒ่าจางพูดอย่างโมโห ซูเม่ยกับซีซวนได้ยินถึงกับตะลึงแม่ของพวกเขาน่ะหรือจะกล้าขโมยไข่ปกติถ้าไม่มีกินอย่างมากก็แค่โวยวายและด่าทอ เรื่องนี้มันเหนือความคาดหมาย “ย่า ฉันว่าอาจจะเป็นการเข้าใจผิด” ซูเม่ยเอ่ยกับผู้เป็นย่า “เข้าใจผิดอะไร พวกแกมันหมาป่าตาขาวฉันให้ข้าวกินยังกล้ามาขโมยไข่” แม่เฒ่าจางด่าทอจะเข้าไปตีซูเม่ย ซิ่วอิงเห็นดังนั้นจึงรีบดึงตัวลูกกสาวมาหลบหลัง “น้องสะใภ้ทำไม่ถึงเลวแบบนี้ ไข่ของอาถิงกับอาเฉิงยังกล้าขโมย” เหมยลี่สะใภ้ใหญ่พูดขึ้น เธออิจฉาซิ่วอิงที่มีรูปร่างหน้าตาดี ผิวขาวเนียนละเอียดและงดงามยิ่งกับหญิงสาวในเมือง ผิดกับพวกเธอที่ผิวดำแห้งก้านอีกทั้งยังอวบอ้วนขึ้น เรื่องความงามของผู้หญิงมันจะยอมกันได้อย่างไร “พี่สะใภ้ ลูกชายกับลูกสาวพี่หิวได้แต่ลูกๆ ของฉันหิวไม่ได้งั้นเหรอ แม่ พวกเขาก็เป็นหลานของแม่เหมือนกันทำไมถึงลำเอียงแบบนี้!” ซิ่วอิงตอบกลับ เรื่องนี้เธอไม่ผิดทีเด็กสองคนนั้นยังกินได้แล้วทำไมลูกๆ ของเธอถึงจะกินไม่ได้ “แก แกพูดแบบนี้ได้ยังไง” แม่เฒ่าจางชี้หน้าโกรธจนตัวสั่น “ฉันพูดผิดตรงไหน พ่อของลูกไปเป็นทหาร เงินที่ส่งกับมาแลกด้วยชีวิตของเขาแต่ลูกของเขาไม่แม้แต่จะได้กินอิ่มท้อง แม่ดูพวกเขาสิ ร่างกายผอมแห้งเสื้อผ้าก็เก่าจนขาดแต่ดูครอบครัวลูกชายคนโตของแม่กับอยู่ดีกินดี พวกเขามีสิทธิอะไรมาใช้เงินของพ่อเด็กๆ” “ผมอยากคุยเรื่องพ่อของผม” จางจื่อหานเห็นว่าคนเป็นภรรยานิ่งเงียบก็รู้สึกใจเสีย เขาไม่น่าพูดเรื่องนี้ออกมาจริงๆ คิดได้ดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้น“คุณลืมมันไปเถอะครับ” เขาไม่อยากให้ภรรยารู้สึกไม่ดี“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรคุณสักหน่อย ฉันเองก็กำลังคิดอยู่ว่าเราควรที่จะแบ่งอาหารให้ที่บ้านเดิมของคุณบ้างอย่างน้อยปีละครั้งยิ่งตอนนี้พ่อเฒ่าต้องทำงานอยู่คนเดียวแล้วยังต้องดูแลเด็กๆ ไม่ด้วยเขาคงลำบากไม่น้อยเลย” อย่างไรก็ตามตอนนี้จางจื่อหานเป็นถึงรองผู้อำนวยการกรรมการปฏิวัติและผู้บัญชาการทหารชุมชนเขาไม่ควรมีชื่อเสียงเรื่องความไม่กตัญญู ซิ่วอิงคิดถึงเรื่องนี้ เธอคิดว่าควรให้ทุกคนได้เห็นว่าแม้ว่าเขาจะมีความซื่อตรงจับคนผิดไปลงโทษไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวตัวเองแต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีความกตัญญูช่วยเหลือครอบครัวเดิมอยู่เสมอ นี่คือแนวคิดที่ถูกต้อง เป็นลูกก็ต้องกตัญญู เป็นคนผิดก็ต้องถูกลงโทษ ต่อไปจะไม่มีใครมาพูดถึงเขาในแง่ร้ายได้“ผมนึกว่าคุณจะไม่พอใจซะอีก” สิ่งที่ซิ่วอิงพูดทำให้จางจื่อหานรู้สึกแปลกใจ“ทำไมฉันจะต้องไม่พอใจล่ะคะ ยังไงการกตัญญูต่อพ่อแม่ก็เป็นสิ่งที่ลูกหลานควรทำอยู่แล้ว” เธอย่อมทำดีต่อเขาทำให้เขเห็นว่าเธ
จางจื่อหานใช้เวลาไม่นานก็เดินกลับมาถึงบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้านก็พบว่าภรรยากำลังเช็ดตัวให้ลูกชายเล็กอยู่เขาจึงเดินไปใกล้ๆ แล้วยืนดู ในตอนนี้เขารู้สึกว่าเธออ่อนโยนมากแตกต่างจากคนก่อนเป็นอย่างมากหัวใจของจางจื่อหานสั่นไหวเขาไม่สามารถห้ามมุมปากที่ยกขึ้นได้“กลับมาแล้วเหรอคะ” ซิ่วอิงรู้สึกถึงสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมาจึงหันไปดูพบว่าเป็นจางจื่อหานที่กำลังยืนมองเธออยู่“ให้คุณเลือก” จางจื่อหานยื่นแผนผังให้กับภรรยา ซิ่วอิงรับมาแล้วเปิดออกดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามเขา“อนุมัติการสร้างบ้านแล้วเหรอ?” ไม่ใช่เขาบอกเธอว่าอาจใช้เวลาอย่างน้อยสองสามปีหรอกเหรอ“ผู้อำนวยการกรรมการปฏิวัติอนุมัติให้เราเป็นกรณีพิเศษ” เขาบอกพร้อมกับมองเธอที่กำลังยิ้มดีใจ หัวใจของเขาเต้นแรงอีกแล้ว“ดีจริงๆ คุณกลับมาครอบครัวเราก็มีแต่เรื่องดีๆ” ทั้งเงินเดือนและอาหารไหนจะสร้างบ้านใหม่ จางจื่อหานนี่คือขาทองคำชัดๆ จางจื่อหานได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ“คุณชอบตรงไหน” เขาเอ่ยถามเธอพร้อมกับก้มลงมามองกระดาษแผ่นเดียวกัน“ฉันคิดว่าที่ตรงนี้ดี” ซิ่วอิงชี้ไปที่กระดาษ ที่นั่นห่งจากบ้านอื่นหน่อยดูไม่แออัดและเป็นพื้นที่กว้างอีกทั้งยังอยู่ไม่ไกล
“เจ้าเล็ก ยังไงพวกเขาก็เป็นแม่และพี่ชายของลูก” พ่อเฒ่าจางพาหลานทั้งสองมาที่บ้านท้ายหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับซิ่วอิง ระหว่างที่เดินมาเขารู้สึกหนักใจไม่น้อยกลัวว่าลูกสะใภ้เล็กจะไม่ยอมและอาละวาดแต่เมื่อเดินมาถึงก็พบว่าลูกชายคนเล็กได้อยู่ที่บ้านด้วยเขาจึงรู้สึกโล่งคิดว่าลูกชายคนเล็กคงเห็นแก่แม่อยู่บ้าง“ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรกับพวกเขา” จางจื่อหานตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าเล็กตอนนี้พี่ชายของลูกกำลังบาดเจ็บ” พ่อเฒ่าจางยังไม่ยอมถอย เขาต้องการกดดันลูกชายคนเล็กให้ช่วยลูกชายคนโตออกมา“พ่อ พ่อบอกว่าพี่ใหญ่เจ็บแล้วซีห่าวของเราไม่เจ็บเหรอ เขาป่วยอยู่แล้วยังถูกพี่ใหญ่ที่เป็นลุกของเขาทำร้ายจนหัวแตกอีก” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้น เธอไม่พอใจเป็นอย่างมากที่จนถึงขนาดนี้คนพวกนี้ยังไม่รู้จักสำนึกอีก“สะใภ้เล็กเจ้าใหญ่คงไม่ได้ตั้งใจ” พ่อเฒ่าจางเอ่ยแก้ต่างแทนลูกชาย“ฉันเห็นกับตาว่าเขากำลังเข้าไปทำร้ายร่างกายของลูกชายฉันซ้ำ แบบนี้เรียกไม่ได้ตั้งใจเหรอ พ่อควรบอกให้เขาสำนึกผิดไม่ใช่มาขอให้เราไม่เอาผิดพวกเขาไม่งั้นชาวบ้านจะมองพ่อเป็นอะไร รักลุกชายคนโตรังแกลูกชายคนเล็กเหรอ” ซิ่วอิงจี้จุดพ่อเฒ่า เธอรู้ดีว่าของสามีห่วงหน้าตาตัวเอ
จางจื่อหานพาลูกและภรรยามาที่บ้านโดยมีจางจื่อชิงติดสอยห้อยตามมาด้วย จางจื่อหานวางลูกชายคนเล็กลงบนเตียงเตาก่อนจะถอยออกมาให้ซิ่วอิงได้เข้าไปดู“ห่าวห่าว เป็นยังบ้าง” ซิ่วอิงเอ่ยถามอีกครั้ง“แม่ ฉันไม่เป็นไร” ซีห่าวเอ่ยตอบ ซิ่วอิงที่เห็นเด็กน้อยยืนยันเธอก็รู้สึกผ่อนคลายลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขามองดูเธอด้วยสายตามีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น“ห่าวห่าว ลูกนอนพักก่อนนะ” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนเตียง เธอรู้สึกสงสารซีห่าวมากทั้งป่วยแล้วยังจะมีบาดเจ็บอีก เมื่อซีห่าวทำตามที่เธอบอกเธอจึงพยักหน้าให้สามีว่าออกไปคุยกันข้างนอก“พี่จื่อหาน ทำไมพี่กลับมาเร็วจัง” จางจื่อชิงทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม“จัดการธุระเสร็จแล้วเลยรีบกลับมา” จางจื่อหานเอ่ยเสียงนิ่งตามนิสัยของเจ้าตัว“วันนี้ขอบคุณมากเลยนะจื่อชิง” ถ้าวันนี้ไม่มีจื่อชิงเธอคงพาซีห่าวไปถึงอนามัยไม่เร็วเท่านี้“พี่สะใภ้ไม่ต้องเกรงใจ เราคนกันเองว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น?” จางจื่อชิงถามด้วยความสงสัย“ฉันก็ไม่รู้ ฉันกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าเด็กๆ ถูกรังแกและซีห่าวหัวแตก ฉันก็เลยโมโหเอาไม้ไล่ตีพวกเขา” เธอเหลือบตามองจางจื่อหาน เขาจะคิดว่าเธอ
“หยุด!” ซิ่วอิงตะโกนดังลั่น หลังจากไปทำงานเธอรู้สึกเป็นห่วงซีห่าวมากกลัวว่าจะไข้ขึ้นสูงเธอจึงรีบเร่งทำงานพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายให้เสณ้จโดยเร็วหลังจากผ่านไปพักใหญ่หน้างานของเธอเหลือไม่มากซีซวนที่มองอาการของผู้เป็นแม่ออกก็อาสาทำที่เหลือแทนและให้เธอกลับมาที่บ้านก่อนหลังจากทำงานเสร็จเขาจึงจะตามมาทีหลัง เมื่อซิ่วอิงเดินมาใกล้จะถึงบ้านเธอได้ยินเสียงของซูเม่ยตะโกนขอความช่วยเหลือเธอตกใจกลัวว่าซีห่าวอาจจะไข้ขึ้นสูงจนช็อคจึงรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วแต่สิ่งที่เห็นคือคนชั่วทั้งสาวคนนั่นกำลังรังแกลลูกของเธอทำให้เธอตะโกนบอกให้พวกเขาหยุดด้วยอารมณ์ที่โมโห ยิ่งเมื่อเธอมองเห็นเลือดที่ไหลอาบใบหน้าของซีห่าวดวงตาของเธอก็เริ่มดำมืดขึ้น ซิ่วอิงคว้าไม้กวาดที่อยู่ไม่ไกลมาถือไว้ในมือแล้วก้าวฉับๆ ไปหาทั้งสามคนทันที“กล้าดียังไงมารังแกลูกของฉันห้ะ” ซิ่วอิงพูดพร้อมกับง้างไม้กวาดไล่ฟาดทั้งสามคนโดยไม่สนว่าจะเป็นครอบครัวของสามี“กรี๊ดด อย่านะ” เหมยลี่กรีดร้องอย่างหวาดกลัว“นังปากร้ายจะฆ่าคนแล้ว ช่วยด้วย จะฆ่าคนแล้ว โอ้ย!” จางจื่อซวานที่โดนตีก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกหวาดกลัวมากจึงวิ่งไปชนประตูอย่างแรงจนทำให้
“เรื่องนี้อย่าให้พ่อของแกรู้” แม่เฒ่าจางเอ่ยบอกลูกชายคนโต แม้ว่าพ่อเฒ่าจางจะลำเอียงรักลูกชายคนโตแต่เขาก็มักจะไว้หน้าตัวเองเสมอไม่แสดงออกถึงความลำเอียงมากเกินไป วันนี้พ่อเฒ่าจางมัววแต่ไปพูดคุยกับเพื่อนฝูงทำให้ทั้งสามคนคิดวางแผนที่จะทำเรื่องนี้“คุณแม่คะ แล้วนังนั่นจะไม่ไปแจ้งสันติบาลเหรอคะ” เหมยลี่เองก็อยากได้เงินห้าร้อยหยวนแต่เธอก็กังวลไม่ได้ หากนังปากร้ายนั่นไปแจ้งสันติบาลหรือคณะกรรมการปฏิวัติพวกเธออาจจะถูกจับ“มีลูกสะใภ้ที่ไหนจะแจ้งจับแม่สามี” จะสามารถทำแบบนั้นได้ยังไง ไม่เคยมีสะใภ้คนไหนกล้าแจ้งจับแม่สามีแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่โดนทุบตีก็ตามมันถูกมองว่าเป็นปกติเว้นเสียแต่ว่าจะมีคนตาย“แต่มันแยกบ้านไปแล้วนะคะ” เหมยลี่ไม่แน่ใจว่าสามารถทำแบบนั้นได้ เธอไม่อยากถูกจับ“นี่สะใภ้ใหญ่ เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่เฒ่าจางพูดอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะแม่” เหมยลี่ที่เห็นแม่สามีเริ่มไม่พอใจก็ไม่กล้าที่จะแย้งอีก ในใจก็แอบเห็นด้วยว่าจางจื่อหานคงไม่แจ้งจับแม่ตัวเองหรอก“แม่ครับ ผมว่าเราควรไปตอนที่มันออกไปทำงาน” เวลานั้นชาวบ้านจะออกไปทำงานแลกคะแนนกันหมดไม่มีใครอยู่บ้านถือว่าทางสะด
ความคิดเห็น