หนึ่งคนต้องการแก้แค้นให้สหายรักที่ถูกฆ่าล้างตระกูลอย่างไม่เป็นธรรม อีกหนึ่งคนต้องการเพียงความจริงที่ตนถูกกระทำจากคนที่ไว้ใจ... เมื่อทั้งสองต้องมาร่วมมือกัน เรื่องราวมากมาย นำพามาซึ่งความเห็นใจ ก่อเกิดเป็นความรักระหว่างกัน จนยากที่จะถอนตัว...
Lihat lebih banyakตระกูลเฟย ตระกูลหมอที่ช่วยเหลือผู้คนมามากมายกลับถูกฆ่าล้างตระกูลภายในคืนเดียว
ลานบ้านภายในจวนที่เต็มไปด้วยกระจาดสมุนไพรมากมาย บัดนี้ ทุกอย่างกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด กลุ่มคนชุดดำที่ยืนถือดาบ จ่อดาบไปที่คอของชายชราผู้หนึ่งอยู่นั้นไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะกระทำการลงดาบอย่างเลือดเย็นต่อหน้าหลานสาวและภรรยาของเขาที่ตอนนี้ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง ก่อนที่ร่างของเด็กสาวจะหมดสติไปด้วยความตกใจกลัว
“นี้คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องได้รับ” เสียงเย็นเฉียบราวน้ำแข็งเอ่ยขึ้น
“พวกเราทำผิดอะไร ทำไมถึงทำกับพวกเราเช่นนี้”
หญิงชราแผดเสียงร้องด้วยความคับแค้นใจ ทั้งสะอื้นไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด เมื่อผู้เป็นสามีถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา
“ความผิดของพวกเจ้า คือช่วยคนที่ไม่สมควรช่วย”
น้ำเสียงเหี้ยมเอ่ยขึ้นอย่างเลือดเย็น
“พวกเราเป็นหมอ ตระกูลของพวกเราช่วยเหลือผู้คนมามากมาย เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้”
หญิงชราเอ่ยอย่างหมดแรง ความอัดอั้นไม่อาจระบายออกมาได้ นางหอบหายใจอย่างรุนแรง ก่อนจะหมดสติล้มลงดวงตาเบิกกว้าง แล้วจากไปอย่างไม่เป็นธรรม เหตุใดการที่พวกเขาช่วยเหลือผู้คน ถึงกลายเป็นความผิดด้วยเล่า
“แล้วเด็กนี้เล่า”
ชายชุดดำผู้หนึ่งถามขึ้นพร้อมกับชี้ดาบไปที่เด็กสาว
“ฆ่า” น้ำเสียงเอ่ยสั่งอย่างเลือดเย็น
ปัง! เสียงประตูจวนที่ถูกถีบจนกระเด็น เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ร่างนั้นสั่นเทาไปทั้งตัวกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า
“พวกแกเป็นใคร! ใครส่งพวกแกมา ทำไมต้องทำเช่นนี้ พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน เหตุใดต้องฆ่าพวกเราด้วย”
ร่างสูงโปร่งตะโกนถามด้วยความโกรธจัด มือที่จับด้ามกระบี่สั่นเทิ้ม ก่อนที่สายตาคมจะเห็นร่างเล็กของน้องสาว ที่นอนไม่ได้สติอยู่ ความกลัวพลันก่อเกิดขึ้นในใจทันที ก่อนที่ร่างสูงจะตรงดิ่งเข้าไปหาชายชุดดำเหล่านั้นอย่างไม่เกรงกลัว ทุกการเคลื่อนไหว แม้จะแม่นยำ แต่กลับขาดประสบการณ์ และพลังในการต่อสู้ จึงกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบและพลาดพลั้งในที่สุด
ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผลเล็กใหญ่ตามตัว นอนอ่อนระทวยหมดแรงอยู่กับพื้น ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งไปยังคนกลุ่มนั้นอย่างอาฆาตแค้น
“มองเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์หรอก อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ต้องตายทั้งหมด ฆ่าเสีย”
ดวงตาแข็งกร้าวเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นไม่ยินยอม อย่างไรก็ต้องมีใครรอดสักคนก็ยังดี เขาทำได้เพียงร่ำร้องในใจ ร่างโปร่งมองไปยังร่างเล็กของน้องสาวที่ยังไม่ได้สติ อย่างน้อยก็ขอให้นางได้มีชีวิตอยู่ต่อ ขอร้องล่ะ
“ใครมันกล้า!!” เสียงแข็งกร้าวตะโกนขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งบนหลังคาจวน เป็นจางหยวนเพ่ยนั้นเอง
คนทั้งหมดที่อยู่ ณ ตรงนั้น เพ่งจุดสนใจไปที่ผู้มาใหม่ทันที จางหยวนเพ่ยไม่รอช้า กระโดดลงจากหลังคามายืนอยู่ด้านหน้าของเด็กหนุ่มทันที
“ท่านอาจาง” เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้น จากร่างที่นอนอยู่อย่างไรเรี่ยวแรง แต่กลับเต็มไปด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยม จางหยวนเพ่ยมองไปยังเด็กหนุ่มพร้อมรอยยิ้มบางปลอบประโลม ก่อนจะหันมาสนใจกลุ่มคนชุดดำตรงหน้า ดวงตากลับเข้มขึ้น ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารรุนแรง
“ใครให้พวกเจ้ามา” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบแผ่รังสีสังหารชัดเจน
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน” ผู้ที่ดูมีอำนาจสั่งการในกลุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเครียด ถึงแม้จะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวตนของคนผู้นี้มาบ้าง แต่สิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จนั้นยังไม่อาจทราบได้
“หึ เหตุใดจะไม่เกี่ยวเล่า ในเมื่อครั้งหนึ่งข้าเคยติดค้างพวกเขา อย่างไรเสียก็ต้องตอบแทน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าคงต้องขอล่วงเกินท่านแล้ว” คนชุดดำทั้งหมดพุ่งเข้าหาจางหยวนเพ่ยพร้อมกัน ด้วยหวังอาศัยจำนวนคนที่มากกว่า อาจทำให้พวกมันชนะได้ แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงความหวังเท่านั้น เพียงเมื่อพวกมันขยับพุ่งเข้าหา จางหยวนเพ่ยเพียงแค่สะบัดกระบี่หนึ่งครั้ง ก็สามารถปลิดชีวิตของพวกมันได้ทั้งหมดในคราวเดียว
ร่างไร้วิญญาณของคนตระกูลเฟย ถูกฝังอย่างเรียบง่ายไม่ไกลจากจวนมากนัก สองพี่น้องยืนมองร่างบุคคลอันเป็นที่รักถูกฝังกลบด้วยดวงตาแดงก่ำ ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนสัมผัสได้ถึงความสูญเสีย หดหู่ใจเกินจะบรรยาย
“พี่เฟย ท่านไม่ต้องเป็นห่วง หลานสองคนนี้ข้าจะดูแลพวกเขาแทนท่านเอง ท่านหลับให้สบายเถอะนะ” จางหยวนเพ่ยเอ่ยกับป้ายวิญญาณของเฟยอี้ ผู้ที่เป็นดังสหายและพี่น้องในยุทธภพที่เขาเคารพ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาในใจตน เพื่อบอกกล่าวผู้ที่ล่วงลับ ‘ส่วนพวกมันท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะให้มันได้ชดใช้ ข้าสัญญา’สายตาคมจ้องมองป้ายวิญญาณอย่างแน่วแน่
“ท่านปู่ ท่านย่า ท่านอาทั้งสองขอรับ ข้าให้สัญญาว่าจะดูแล หรงหรงให้ดีไม่ให้นางต้องลำบากแน่นอน”
เฟยเทียนคุกเข่าลงตรงหน้าป้ายหลุมศพของผู้เป็นปู่พร้อมกับเฟยหรงทั้งสองคำนับพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย
พิเศษส่งท้ายเช้าอันสดใสมาเยือน หลงฝูหยางตื่นมาด้วยหน้าตาสดใสทั้งยังอารมณ์ดีไม่น้อย มองคนที่นอนทับตนเองอยู่ก็ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข“เพ่ยเพ่ย” เสียงทุ่มเข้มเอ่ยเรียกร่างบางเสียงเบาราวกับกำลังหยอกล้อ“อืม” จางหยวนเพ่ยที่ถูกรบกวนส่ายหน้าไปมากับอกของหลงฝูหยางก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง“หึหึ” เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูนี้คงมีแต่จางหยวนเพ่ยเท่านั้นที่ได้รับมัน เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมตื่นง่าย ๆ หลงฝูหยางก็ไม่คิดจะก่อกวนต่อ แขนแกร่งโอบคนบนตัวเอาไว้หลวม ๆ มือหนาลูบแผ่นหลังบางเป็นการกล่อมไปด้วย“อืม” เสียงครางแผ่วอย่างพอใจดังขึ้นให้ได้ยินจนอดเอ็นดูไม่ได้ ริมฝีปากหนาจึงกดจูบเบา ๆ ที่กลุ่มผมดำนุ่มนั้นหนึ่งทีในช่วงสายของวัน หลี่อิงกับเฟยเทียนจึงแวะมาดูอาการหลงฝูหยางอีกครั้งหลังจากที่ตอนแรกตั้งใจจะมาตั้งแต่เช้าแล้วแต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน ในตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พอมาเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็อยากจะเดินกลับเรือนเสียเดี๋ยวนั้น“นี้ใจคอพวกท่านไม่คิดจะลุกขึ้นมาต้อนรับแขกหน่อยหรือเจ้าคะ”หลี่อิงเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยใจ เมื่อเดินเข้ามาภายในเรือนแล้วพบว่าทั้งสองคนยังนอนกอดกันกลมไม่ปล่อ
งานเทศกาลหยวนเซียวที่คึกคักไปด้วยผู้คน สองร่างในชุดสีแดงดำเดินเคียงกันอย่างมีความสุข สองมือผสานกันเอาไว้แน่นอย่างไม่เกรงสายตาใคร หนึ่งงดงามหนึ่งคมคายเป็นเป้าสายตาของผู้คนเสียเหลือเกินแต่ก็มิได้รู้สึกแปลกตาแต่อย่างไรเพราะก็มีแบบนี้ให้เห็นอยู่เนื่อง ๆ อีกทั้งขุนนางบางคนยังมีฮูหยินรองหรืออนุที่เป็นบุรุษด้วย“เจ้าเคยมาเดินงานเทศกาลหยวนเซียวบ้างหรือไม่” จางหยวนเพ่ยเอ่ยถามคนที่จับจูงมือกันอยู่“ไม่เคย” หลงฝูหยางส่ายหน้าก่อนจะหันมาตอบร่างเพรียวบางด้านข้าง“แล้วมาที่นี่บ่อยหรือไม่ จำได้ว่าตอนนั้นที่เจอกันก็เป็นที่ต้าถงนี้” จางหยวนเพ่ยยังคงถามอีกต่อเรื่อย ๆ“ไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอยู่ที่พรรคเป็นหลักหรือไม่ก็ไปที่อื่นเสียมากกว่าที่ต้าถง แต่เมื่อสองปีก่อนปรากฎสมุนไพรหายากขึ้นเลยเข้ามาที่นี่บ่อยขึ้น”“หืม”“โรงประมูลชิงหลงนั้นอย่างไร” หลงฝูหยางเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ เมื่อเห็นสีหน้าฉงนของจางหยวนเพ่ย“เอ๋ ของเจ้าหรือ” ร่างบางเอี้ยงคอถามอย่างน่ามอง ดวงตาใสแวววาวอย่างตื่นเต้น“ใช่ ให้เว่ยเหลียงเป็นคนดูแล” หลงฝูหยางไขข้อกระจ่างให้ร่างบาง“ถ้านังหนูหลี่อิงรู้ว่าท่านเป็นเจ้าของคงโดนป่วนแน่” จางหยวนเพ่ยเอ
รุ่งเช้ามาเยือนเหล่าศิษย์ทั้งหลายผู้เป็นเด็กดีทำตัวเป็นห่วงอาจารย์ผู้เป็นที่รักยิ่งมายืนรออยู่หน้าเรือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคนจนกระทั่ง“ข้าง่วง พวกเจ้ากลับไปเลยไม่ต้องมาก่อกวนข้า” เสียงทุ้มนุ่มลอยออกมาจากในเรือนไม้แต่กลับไม่เห็นตัวคนจนเหล่าเอ่ยแซวกันเป็นแถบ“แม้อาจารย์ ผู้ชายมาเยือนเรือนลูกศิษย์ถึงกับไม่มีความหมายเลยหรือขอรับ” หวังเลี่ยงรุ่ยเอ่ยน้ำเสียงหยอกเย้าผู้เป็นอาจารย์จากนอกเรือน“ไปไกล ๆ เลยเจ้าเด็กพวกนี้”“หึหึ ขอท่านประมุขอย่าหนักมือนักเล่า” หลิวหยางเอ่ยขึ้นกั่วเสียงหัวเราะชอบใจก่อนจะพากันสลายตัวไปทำหน้าที่ของตนเองกลับมาภายในเรือนตอนนี้ร่างเพรียวบางของจางหยวนเพ่ยกำลังนอนทับอกของหลงฝูหยางอยู่ใบหน้าคมสวนงอง้ำอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อถูกก่อกวนตั้งแต่เช้าทั้งที่พึ่งได้นอนไปเพียงนิดเดียว“ถ้าง่วงก็หลับต่ออีกหน่อยเถอะ” หลงฝูหยางเอ่ยเสียงนุ่มทั้งยังลูบแผ่นหลังเนียนเป็นการกล่อมอีกคน“ไม่เอา ข้าอยากคุยกับเจ้ามากกว่า” จางหยวนเพ่ยเอ่ยเสียงอ่อยนิ้วเรียวลูบไล้ไปบนแผ่นอกชายหนุ่มเล่นอย่างไม่รู้จะทำอันไร“เรื่องของเราหรือ” หลงฝูหยางก้มหน้าลงมาถามเสียงแผ่ว“อืม”“ว่ามาเถอะ ข้าเชื่อฟังท
หนึ่งเดือนต่อมาเรื่องที่อินจางเหว่ยได้ก่อเอาไว้ถูกชำระความเรียบร้อยแล้ว จ้าวจางเว่ยและหลงจ้าวอินจบชีวิตตนเองลงในหอลงทัณฑ์ ส่วนอินจางเหว่ยนั้นหลงฝูหยางไม่ยอมให้อีกคนตายง่ายดายถึงเพื่อนั้น เขาถูกขังเอาไว้ในส่วนพิเศษในหอลงทัณฑ์ตรึงร่างด้วยโซ่ตรวนไม่ให้คิดฆ่าตัวตาย ให้ทดทุกข์ทรมานกับพิษที่ได้รับรวมถึงพิษที่เจ้าตัวปรุงขึ้นอย่างเพลิงผลาญฤทัยเก้าสุริยันจนกว่าจะตายจากมันไปข้างหนึ่งเรื่องที่ต้องสะสางก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ก็คงเหลือในเรื่องของหัวใจที่ยังไม่มีความกระจ่างอะไรเลย และตอนนี้บรรยากาศภายในเรือนพักของหลงฝูหยางนั้น ช่างชวนให้คนที่อยู่ด้วย อยากจะหนีออกไปเสียจริง แต่ก็ทำไม่ได้“เอ่อ ท่านประมุขขอรับ ข้าว่าถ้าไม่มีใจจะอ่าน ไป ไป ที่นี่อยากไปดีหรือไม่ขอรับ” จางเฉินเอ่ยขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะได้รับสายตาคมที่ตะวัดมองมาจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง“ข้าเห็นด้วยกับจางเฉินนะขอรับ ไปหาสักหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นอะไรไม่ใช่หรือ ดีกว่านั่งจมอยู่อย่างนี้แล้วตนเองไม่มีความสุขนะขอรับ” จางหลินเองก็เห็นด้วยกับความคิดของจางเฉิน ตั้งแต่ที่อีกคนกลับไปหลังจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ผู้เป็นนายของพวกเขาก็เอาแต่นั้งท
“ข้าจะรับเอาไว้เอง และจะให้เขาชดใช้อย่างสาสม” หลงฝูหยางกล่าวให้คำมั่น หวังเลี่ยงรุ่ยจึงหันไปมองศิษย์น้องของตนเองเมื่อเห็นแววตาของทุกคนแล้ว เขาจึงหันกลับมาหาหลงฝูหยาง“ได้ พวกข้าจะให้ท่านเป็นคนจัดการ”ปึ้ง!ร่างของอินจางเหว่ยถูกเหวี่ยงไปที่ปลายเท้าของหลงฝูหยางทันทีด้วยน้ำมือของจางหยวนเพ่ย นั้นยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับฝ่ายของอินจางเหว่ยมากยิ่งขึ้น“พวกเจ้าอยากรู้ใช่หรือไม่ ว่าข้าเป็นใคร นามของข้าคือ หยวนเพ่ย แช่ จาง ผู้ที่เคยท่องไปทุกที่แล้วในยุทธภพนี้ ชื่อเสียงมากมายที่ข้าได้รับ ข้าล้วนไม่เคยหลงในอำนาจของมัน แล้วเจ้าเป็นใคร อินจางเหว่ย ถึงได้คิดจะขึ้นเป็นใหญ่ควบคุมทั้งยุทธภพได้” สายตาคมสวยปรายมองอินจางเหว่ยก่อน จะเชิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งราวกับมองมดปลวกก็มิปาน“เป็นไปไม่ได้ คนผู้นั้นเป็นใคร ใช่คนที่เจ้าจะเอามาล่อเล่นได้หรือ”อินจางเหว่ยกล่าวอย่างเหยียดหยัน ที่อีกคนกล้ายกตนขึ้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดังคนผู้นั้น“ข้าเป็นพยานได้ นั้นคือ จางหยวนเพ่ย ตัวจริงไม่ผิดแน่” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นแต่กลับไม่เห็นตัวคนพูด กำลังภายในมากมายที่กดทับอยู่เหนือบริเวณนี้ บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเป็นผู้มีกำลังภายใ
ในขณะที่พวกเขากำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า คนกลุ่มหนึ่งก็ได้ทำการเก็บกวาดศัตรูอย่างเงียบเชียบก่อนจะส่งคนของตนเองเข้ามาแทนจนที่สุดทุกอย่างก็พร้อมแล้วจางหยวนเพ่ยได้รับสัญญาณจากเหล่าลูกศิษย์แล้วจึงมองสบตากับหลงฝูหยางที่เล่นถ่วงเวลาอยู่กับหลงจ้าวอิน ร่างสูงรับรู้ได้ทันทีก่อนจะปิดจบฉากการต่อสู้นี้ปลายกระบี่แหลมคมชี้ไปที่ร่างสูงโปร่งของหลงจ้าวอินก่อนจะเปลี่ยนเป็นตะวัดครึ้งวงกลมแฝงกำลังภายในเต็มเปี่ยม อินจางเหว่ยที่เห็นท่าไม่ดีรีบเข้าช่วยบุตรชายทันที แต่ก็ยังต้านพลังของหลงฝูหยางเอาไม่ไม่อยู่สองพ่อลูกกระเด็นไถลไปกับพื้นก่อนจะกระอักเลือดออกมา อาการบาดเจ็บของอินจางเหว่ยนั้นไม่หนักหนานักเพราะก็เป็นผู้ที่มีกำลังภายในสูงส่งผู้หนึ่ง จึงพอป้องกันตนเองเอาไว้ได้ แต่กับหลงจ้าวอินนั้นไม่ใช่ร่างกายที่แสนเจ็บปวดรวดราวบ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บที่ทำลายลึกถึงตันเถียน ร่างสูงโปร่งนอนงอตัวกอดตนเองแน่นแค่ขยับเพียงนิดก็เจ็บปวดทรมานเกินจะทานทน เสียงคำรามต่ำในลำคอนั้นแฝงความมายินยอมอยู่ด้วยหากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในขณะเดี๋ยวไป๋ซีหมิงก็สลัดออกจากการควบคุ้มมาได้อย่างง่ายดาย“เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะมีกำลังภายในถึงเพียง
Komen