หน้าที่ล่าม(แบบไม่ธรรมดา) ของ 'มัทรี' ว่ายากแล้ว แต่เวลามองหน้า 'คุณทิม' คนที่เธอเป็นล่ามให้แล้วพยายามทำใจให้ไม่สั่นนี่สิ ยิ่งยากกว่า!!
View More“เราพยายามกันเต็มที่แล้ว ผลประกอบการไม่ดีขึ้นมาสองปีแล้ว มีคำสั่งมาแล้วว่าให้ลดจำนวนคนลง มีผลสิ้นเดือนนี้”
หลังหัวหน้าพูดจบภายในห้องประชุมเล็กเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงแอร์ที่เปิดเย็นฉ่ำ ทว่าเวลานี้หลายคนคงรู้สึกว่ามันหนาวเกินไป สีหน้าทุกคนในห้องประชุม ว่างเปล่า งุนงง หวาดหวั่นระคนกัน
สิ้นเดือน นั่นหมายถึงหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้านี้เอง
“ความจริงเรื่องนี้ต้องเก็บไว้ก่อน แต่พี่ไม่สบายใจ พี่อยากให้พวกเรารู้เอาไว้ก่อนบ้าง ดีกว่าฟ้าผ่าลงมาทีเดียวเลย”
มัทรีกลืนน้ำลายพร้อมถอนหายใจ ทีมของเธอเป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในบรรดาทีมครีเอทีฟทั้งสี่ทีมในบริษัทเพราะขายงานได้บ่อยครั้งกว่าทุกทีม ได้แต่หวังว่าคงจะไม่มีผลกระทบถึงทีมของพวกเธอ
สามวันก่อนวันสิ้นเดือน
“ผู้บริหารกำหนดจำนวนคนให้มาจัดการเอาเอง จะทำยังไงก็ได้แต่ต้องเหลือคนเท่านี้ ผู้ใหญ่ก็ประชุมเครียดกันมาสองสามวันเลย สรุปคือจะเหลือทีมครีเอทีฟแค่สองทีม โปรดักชั่นสองทีม แล้วก็ลดจำนวนคนในทีมให้น้อยลง”
คนฟังเม้มปากมองสบตาหัวหน้างานนิ่ง ในห้องประชุมเล็กมีเพียงเธอถูกเรียกเข้ามาคุย ความรู้สึกบางอย่างเริ่มเข้ามาในความคิด ไม่ใช่ลางสังหรณ์หรอก มันเป็นสิ่งที่สามารถเดาได้
“มัทเหรอคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามออกไปเสียงเบา
หัวหน้างานสาวใหญ่วัยสี่สิบถอนหายใจสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะพูดออกมาในที่สุด
“พี่พยายามแล้ว จะให้โยกย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ยาก เพราะส่วนอื่นก็โดนลดคนเหมือนกัน”
ลดคน...ทั้งที่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเพิ่งประกาศรายชื่อพนักงานใหม่ ตลกร้ายเหลือเกิน
เวลานี้มัทรีมึนงง เบลอ ใจหาย ทุกอย่างรุมเร้ามาพร้อมกันเลยทีเดียว
“ทำไมเป็นมัท”
“หลังการประชุมผู้ใหญ่ลงความเห็นว่าตำแหน่งประสานงานไม่จำเป็นน่ะจ้ะ”
คำบอกที่ได้ยินทำให้มัทรีถึงกับอึ้งงัน เจ็ดปีที่ผ่านมากับการทำงานในบริษัทโฆษณาชื่อดังในเครือของบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ ได้เห็นการโยกย้ายปรับโครงสร้าง ปรับลดพนักงานสามครั้ง และครั้งที่สี่นี้มีเธออยู่ในนั้น
สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในหัวมัทรีคือ การตั้งใจใส่ใจในงานของตัวเอง แก้ปัญหางานได้ ทำงานเร่งได้ตามคำสั่ง ประสานงานดีไม่เคยมีปัญหากับใคร ประวัติการเข้างานดี ทุกอย่างที่เธอทำมาตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ มันเป็นตำแหน่งที่ไม่จำเป็นอย่างนั้นหรือ?
=====
บ้านสวนส้มโอที่นครปฐมที่มัทรีอยู่มาตั้งแต่เล็กกลายเป็นสถานที่ที่เธอไม่ค่อยชินเท่าไรนัก เมื่อโตขึ้นและไปเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ นานครั้งหญิงสาวถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้าน แต่บ้านก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นนอนหลับทุกครั้งที่กลับมาตอนนี้เธอเริ่มเปิดช่องสำหรับสอนภาษาอังกฤษแล้ว รอเพียงวิดีโอแรกตัดต่อเสร็จเธอก็จะได้อัปโหลด และเริ่มเส้นทางยูทูบเบอร์ของตัวเอง โดยหญิงสาวได้รับคำแนะนำจากฐิติกรหลายอย่างในเรื่องเทคนิคการนำเสนอ เรื่องค่าตอบแทนและความปลอดภัย ออกแบบโลโก้ รวมทั้งวิดีโอชายหนุ่มก็เป็นคนตัดต่อให้ ทั้งคู่คุยกันทุกวันแม้จะห่างกันก็ตามทว่าแม้จะคุยกันทุกวันมัทรีก็ยิ่งคิดถึงชายหนุ่ม เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าคนที่เป็นแฟนกันพออยู่คนละจังหวัดหรือคนละประเทศทำไมถึงเลิกกันยิ่งห่างก็ยิ่งต้องเอาใจใส่กันและกันให้มากขึ้นสำหรับเธอกับฐิติกรเองก็ดูเหมือนความรู้สึกในหัวใจจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปด้วยเช่นกันส่วนเรื่องร้านกาแฟของเธอ ชายหนุ่มให้ยั้งเอาไว้ก่อน พอถามว่าทำไมเขาก็เพียงยิ้มแต่ไม่ตอบขณะทั้งคู่วิดีโอคอลคุยกัน และเธอก็ไม่สามารถเค้นคำตอบจากอีกฝ่ายได้“วันนี้ไปวัดไหมมัท”มารดามาเคาะประตูเรียกในตอนเช้า แม้จะเพิ่งห
ร่างสองร่างบดเบียดเข้าหากัน ทั้งที่บนร่างสาวยังมีเสื้อผ้าครบพร้อมทว่าความร้อนซ่านก็ครอบคลุมแทบทั่วตัวฐิติกรรุกจูบเร่าร้อนแผดเผาชนิดที่ไม่เคยจูบมัทรีแบบนี้มาก่อน ปกติเขาค่อนข้างจะทะนุถนอมเธอ ทว่าในตอนนี้ใจหนุ่มเตลิดมาไกลแล้ว แถมความร้อนกร้าวก็อยากหาทางระบายให้เร็วที่สุด แต่เพราะเป็นมัทรีถึงจะใจร้อนแค่ไหนชายหนุ่มก็พยายามระมัดระวัง ดึงความต้องการของตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้มือหนาลูบไล้เรือนกายบอบบางนุ่มมือทุกส่วนแผ่วเบา ลากไล้บีบคลึงทั้งอกอวบ เอวบาง ต้นขา กลางร่าง แล้ววกกลับขึ้นยังหน้าอกเคร่งครัดเต็มไม้เต็มมืออีกครั้งโดยครั้งนี้สอดเข้ามาภายในเสื้อเกาะกระชับเคล้นเป็นจังหวะตามใจตัวเองอกอวบสะท้อนเล็กน้อยตามจังหวะหอบหายใจของคนตัวเล็ก มัทรีลูบไล้แขนกำยำบ่าไหล่หนาระบายอารมณ์ร้อนรุ่มที่สุมในร่างกายด้วยไฟเสน่หาที่ถูกจุดจากชายหนุ่ม เธอพยายามผ่อนคลายจิตใจของตัวเองเพื่อลดความกังวลกับสัมผัสแปลกใหม่ อยากลองให้โอกาสตัวเองได้รู้จักความใคร่ในอารมณ์ที่ตื่นเร่าเพราะกามารมณ์ ทว่าหากไม่ใช่ฐิติกรเธอคงไม่ยินยอมเช่นกันปลายนิ้วแข็งแรงสะกิดตะขอด้านหลังแล้วเลื่อนมาดันผ้าลูกไม้ด้านหน้าสูงขึ้น ก้อนเนื
เพราะเครื่องของรติยากับพิสินีออกช่วงค่ำ ฐิติกรจึงเลือกพักต่อในโรงแรมที่เชียงใหม่แทนที่จะตรงกลับเชียงรายทันที และแน่นอนว่ามัทรีต้องพักกับชายหนุ่มร่างบางออกมายืนมองวิวของเมืองเชียงใหม่เวลากลางคืนหลังจากกอาบน้ำแล้ว พร้อมกับคิดถึงเพื่อนรักที่อวยพรให้เธอโชคดี‘จับคุณทิมให้อยู่หมัดนะมัท’พิสินีบอกพร้อมชูหมัดให้เธอก่อนที่ทั้งคู่จะกลับไปรวมกลุ่มกับทุกคนหญิงสาวยิ้มกับตัวเองคนเดียว เธอเองก็ดีใจกับเพื่อนที่มีคนคบหาอย่างจริงจัง ทั้งที่ตอนแรกพิสินีคิดว่าคุณพรรษเป็นเกย์แต่สุดท้ายแล้วไม่รู้ไปสะดุดรักกันได้อย่างไร สงสัยคงต้องไปเค้นถามทีหลังอ้อมแขนอุ่นที่โอบกอดจากด้านหลังทำให้มัทรีสะดุ้งนิดๆ แต่ก็รู้ว่าเป็นใครจึงไม่ได้หันมองหรือตกใจ“ยิ้มอะไรหืม?”“คิดถึงสินีน่ะค่ะ”“เพื่อนคุณทำไมเหรอ”“ฉันดีใจที่สินีมีแฟนแล้ว”เธอบอกไปตามตรง เรื่องน่ายินดีแบบนี้บอกฐิติกรไปพิสินีคงไม่ว่าอะไร“หืม? เพิ่งมีพร้อมกันเหมือนคุณเลยน่ะเหรอ สมกับเป็นเพื่อนกันดีจริง”คำพูดของอีกฝ่ายทำให้มัทรีสะดุดใจ เธอพยายามหันกลับไปมองชายหนุ่ม ทว่าอีกฝ่ายวางคางบนผมเธอไม่ขยับ“ไม่เหมือนนี่คะ เราแค่เพิ่งเดตกัน”เมื่อพูดออกไปแบบนั้นร่างสูงใหญ
เช้าวันต่อมามัทรีรีบตื่นตอนใกล้สว่างแม้จะถูกฐิติกรดึงกลับไปนอนด้วยกันแต่เธอก็ปฏิเสธ“จะปล่อยผมให้นอนหนาวคนเดียวเหรอ ยังเช้าอยู่เลย”“ฉันนัดกับคุณแยมแล้วก็สินีเอาไว้น่ะค่ะ ว่าจะไปนั่งแพด้วยกัน”“นอนต่ออีกหน่อยก็ได้ แยมมาค่อยลุกออกไป ข้างนอกหนาวออก”มือหนาพยายามยื้อตัวเธอเอาไว้ ทว่ามัทรีแกะออกพร้อมบอกเสียงเบา“ไม่ได้ค่ะ ฉันไม่อยากให้คุณแยมกับสินีสงสัยว่าเราทำอะไร”“นี่คุณยังคิดอีกเหรอว่าคนอื่นจะคิดว่าไม่มีอะไร ทั้งที่คุณนอนกับผมทั้งคืนแบบนี้”ฐิติกรถามกลั้วหัวเราะ ทำเอามัทรีหน้างอ“รู้น่า แต่ฉันก็อยากทำตัวให้พร้อม ไม่ใช่มัวขลุกอยู่กับคุณข้างในนี้”เธอมีเหตุผลของเธอเอง แม้จะเข้าใจดีว่าสำหรับคนอื่นเธอคงไม่เหลือความบริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่มัทรีไม่อยากให้คนคิดว่าตนเองมัวแต่ติดผู้ชายจนลืมนัดกับเพื่อน“โอเค ตามใจคุณ อยากรอข้างนอกก็รอ เอาเสื้อกันหนาวผมใส่เพิ่มด้วย”ชายหนุ่มไม่อยากเอาแต่ใจให้หญิงสาวหงุดหงิดจนเสียบรรยากาศดีๆ ระหว่างกันจึงยอมปล่อยอีกฝ่ายโดยง่าย แต่ไม่ลืมยื่นเสื้อที่ถอดออกตั้งแต่เมื่อคืนส่งให้ด้วยความเป็นห่วงมัทรีมองเสื้อตัวใหญ่ก่อนจะตัดสินใจรับมาพร้อมกับยิ้มบางส่งให้เขาแล้วพึมพำขอบ
มัทรีพยายามทั้งผลักทั้งข่วนคางกับหน้าชายหนุ่มให้ห่างจากตนเอง แต่ก็ไม่เป็นผลนัก“ออกไปนะคนบ้า อย่ามาทำหยาบคายแบบนี้”เมื่อทนรำคาญกับมือบางไม่ไหว ชายหนุ่มจึงขยับตัวขึ้นจับข้อมือเล็กทั้งสองข้างแยกออกกดลงกับพื้น“วันนี้กระต่ายเปลี่ยนเป็นแมวหรือไง ข่วนไม่หยุดเลย”ฐิติกรเข่นเขี้ยว ทั้งเสียงและแววตาดุ ทว่าในใจกลับไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใดมัทรีเม้มปากมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจที่เขาล่วงเกินเธอ ไม่ได้สนใจมุกแขวะของเชา“ปล่อยฉัน”เธอสั่งเสียงเครียดทั้งที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์ เพราะหากเขาไม่ปล่อยอย่างไรเธอก็คงหลุดไปไม่ได้“คุณอย่าทำให้มันยุ่งยากได้ไหมมัท”น้ำเสียงชายหนุ่มทุ้มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย“คุณบอกตัวเองดีกว่าไหม เพราะคุณต่างหากที่ไม่ยอมจบ แล้วก็หาเรื่องแกล้งฉัน ทั้งที่คุณเป็นคนบอกเลิกก่อนแท้ๆ”มัทรีโพล่งความรู้สึกนึกคิดในใจออกมาด้วยไม่อยากเก็บกดเอาไว้อีกต่อไปแล้ว“ผมพูดเมื่อไร”พอขยับปากจะพูดต่อหญิงสาวก็ชะงัก พยายามนึกหาประโยคคำพูดของอีกฝ่าย แต่กลับนึกไม่ออก“คุณคิดไปเอง”เขาบอกราวกับเธอเป็นคนผิดทำให้มัทรีต้องหาเหตุผลมาแย้ง“คุณไม่พูดกับฉัน ไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ แล้วคุณก็บอกเองว่าไม่ไว้ใจ
ทุกอย่างมาเร็วและจบลงเร็วจนมัทรีปรับความรู้สึกไม่ทัน สิ่งที่ปลอบใจตัวเองได้มีเพียง เธอยังไม่ถลำลึก เธอยังไม่สูญเสียสิ่งใดให้ฐิติกรแม้แต่ใจของตัวเอง มัทรีบอกตัวเองอย่างนั้น แม้จะกังขาอยู่ลึกๆ ว่าใจเธอยังเป็นของตัวเองอยู่จริงหรือ?หญิงสาวตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยท่าทางที่ไม่สดชื่นนัก เธอมองตัวเองในกระจกแล้วยิ้มไปเรื่อยๆ หลายแบบซ้ำๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดเพื่อให้หน้าตัวเองชิน ก่อนจะหน้าเศร้าลงทั้งที่คิดว่าทำใจได้ แต่ทำไมรู้สึกหงอยอย่างไรก็ไม่รู้“แกเป็นอะไรหรือเปล่ามัท”พิสินีถามขึ้นเมื่อนั่งข้างกันในรถขณะมาเที่ยวกับรติยา โดยฐิติกรไม่ได้มาด้วยอีกเช่นเคย“วันนี้ทั้งวันแกยิ้มเยอะอย่างกับคนบ้า”เพื่อนสาวถามพร้อมสีหน้าสงสัยสุดๆ ทำเอามัทรีถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว ไม่คิดว่าการพยายามทำตัวสดชื่นของตนมันจะกลับกลายเป็นเกินเหตุไปหน่อย เมื่อคิดตามแล้วเธอก็ขำออกมา“แกนี่ เปรียบเทียบเกินไปหรือเปล่า”“ก็มันจริงนี่ ปกติแกเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม ถึงชอบแค่ไหนแกก็แค่ตาวาวหรือไม่ก็ยิ้มบางๆ ไอ้ยิ้มกว้างเห็นเหงือก หัวเราะทุกเรื่องที่คุยกันแบบนี้แกไม่เคยเป็น”พิสินีวิเคราะห์ให้ฟังละเอียดยิบ ทำเอาคนที่พยายามสนุกถอนห
Comments