ชีวิตก่อนถูกกดขี่ข่มแหง ถูกทำร้ายทารุณมากเพียงใด ข้าจดจำขึ้นใจ ชีวิตนี้ ในเมื่อมีโอกาสใหม่ ที่ผ่านมา ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เคยทำร้ายข้า แค้นนี้ของข้า จะต้องทวงคืน...
view moreลมหนาวโชยมาจากรอบทิศ ใบไม้แห้งกรอบปลิวว่อน พัดกระทบผืนหลังคากระเบื้องที่แตกร้าวเป็นทาง เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันเบา ๆ คล้ายเสียงกระซิบแห่งความตาย
ในเรือนเล็กที่ตั้งอยู่หลังจวนใหญ่ของตระกูลเซียว เสียงไอแผ่วเบาดังขึ้น พร้อมแรงสะอื้นที่สั่นสะท้าน เซียวลี่อิน ลืมตาขึ้นด้วยดวงตาขุ่นมัวและอ่อนแรง ราวกับร่างกายที่นางอาศัยอยู่มิใช่ของตน
“นี่ ที่ใดกัน…”
ปลายนิ้วอ่อนแรงแตะลงบนฟูกเก่า กลิ่นหญ้าแห้ง ผ้าห่มที่หยาบกระด้าง และอากาศเย็นชืดที่แทรกเข้าสู่ร่างทำให้นางรับรู้ได้ทันทีว่านี่มิใช่โลกหลังความตายที่ตนควรอยู่
หากแต่เป็น…
“เรือนของข้า?”
ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย นางยันกายขึ้นช้า ๆ แม้หัวจะปวดร้าวจนคล้ายจะระเบิด
เรือนเล็กนี้อยู่หลังจวนสกุลเซียว เป็นเรือนที่นางเคยอาศัยเมื่อหลายปีก่อน เป็นสถานที่ที่ถูกแยกขาดราวกับไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตระกูล นี่คือที่ซุกหัวของผู้ไร้ค่าที่สุดในบ้าน
“เดี๋ยวนะ…เมื่อไม่นานมานี้ ข้ายังอยู่ที่เชิงหน้าผา ถูกนเซียวถิงฮวาผลักตกลงไปมิใช่หรือ…”
ทันใดนั้น ความทรงจำก็พุ่งเข้าจู่โจมสมองของนางราวกับสายน้ำหลาก
“ท่านแม่! ท่านแม่ฟื้นสิ
อย่าเพิ่งจากข้าไป!!”“เจ้าก็เป็นแค่บุตรสาวที่ไม่มีใครต้องการ
ต่อให้ข้าผลักเจ้าลงไปก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจหรอก!”“น้องสาวเจ้าดีกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า!”
เสียงเหล่านั้น… ใบหน้าพวกมัน… รอยยิ้มร้ายของเซียวถิงฮวา น้ำเสียงเย้ยหยันของเจินซูเม่ย และสายตาเย็นชาของเซียวเฟิงเฉิน บิดาของนาง
นางจำได้ทุกถ้อยคำ ทุกบาดแผล ทุกความเจ็บปวด
ข้าถูกพวกมันหลอกไปที่หน้าผา
ข้าถูกผลักตกลงไปตาย
แต่แล้วทำไม?
“ข้ายังมีชีวิตอยู่?” นางกระซิบ พลางลูบแก้มตนเบา ๆ ความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นชัดเจนเกินจริง
นางรีบมองไปรอบห้อง ทุกอย่างเหมือนในอดีตไม่มีผิดเพี้ยน
“ข้าย้อนกลับมาอดีตงั้นหรือ” เสียงนั้นแทบไร้ลมหายใจ นางแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
เซียวลี่อินค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินโซเซไปยังหน้ากระจกที่วางพิงอยู่มุมห้อง มันแตกร้าวและฝ้าเล็กน้อย แต่นางก็มองเห็นใบหน้าของตนได้ ดวงตากลมโต ผิวซีดเซียว ผมยาวยุ่งเหยิง และแววตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ แต่ซ่อนประกายแข็งกร้าวไว้ลึก
“หกปีก่อน…” นางพึมพำ
“ตอนนั้น ข้ายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังอ่อนแอ งมงาย และเชื่อใจผิดคน…”
“แต่ตอนนี้ ข้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
เสียงประตูไม้ส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ สาวรับใช้คนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามา นางคือ “เสี่ยวจู” สาวใช้ที่เคยรับใช้ลี่อินเมื่อหกปีก่อน
“คุณหนู ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?” เสียงนั้นสั่นพร่า ทั้งตื่นเต้นและตกใจ
ลี่อินมองเสี่ยวจูอย่างพินิจ สาวใช้คนนี้เป็นเพียงคนเดียวในเรือนที่ยังมีเมตตาต่อนาง แม้จะอ่อนแอ ขี้กลัว แต่ก็ไม่เคยหักหลัง
“ข้าหิว...” ลี่อินกล่าวเรียบ ๆ
เสี่ยวจูเบิกตากว้างอย่างดีใจ “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเอาโจ๊กมาให้เดี๋ยวนี้!”
ทันทีที่เสี่ยวจูวิ่งออกไป ลี่อินก็พิงฝาอย่างหมดแรง ดวงตาคมกริบจ้องไปยังท้องฟ้าด้านนอก
“ขอบคุณสวรรค์ ที่ให้ข้าได้มีชีวิตใหม่”
“ครานี้…ผู้ใดที่เคยทำร้ายข้ากับท่านแม่ ข้าจะทำให้พวกมัน ตกนรกทั้งเป็น!”
สายลมเย็นยะเยือกยังคงพัดผ่านหน้าต่างเก่า ๆ ในเรือนซอมซ่อ เสียงเสื้อผ้ากระทบกันเบา ๆ ขณะลี่อินเดินไปหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายบางที่แขวนอยู่ตรงมุมห้อง แม้จะเป็นผืนเก่า ซีด และขาดวิ่น แต่นางก็ดึงมันมาสวมไว้แน่น
“ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมจนข้ารู้สึกคลื่นไส้”
นางกระซิบเบา ๆ พลางหันมองเรือนเล็กด้วยสายตาเยียบเย็น
ในชีวิตก่อน นางเคยคิดว่าสักวันบิดาจะเมตตา แม้เพียงครึ่งหนึ่งที่เขามีให้เจินซูเม่ยกับเซียวถิงฮวาก็ยังดี แต่สุดท้ายกลับพบว่าความหวังนั้นมันช่างโง่เง่า
“ข้าเฝ้ารอความเมตตาจากคนที่ใจโหดเหี้ยม ข้าเชื่อใจนางที่ยิ้มด้วยดาบซ่อนหลัง แต่สุดท้าย…”
…ก็ถูกพวกมันผลักตกหน้าผาทั้งที่ยังมีลมหายใจ…
นางหลับตาลง สูดหายใจเข้าให้ลึกที่สุด เสียงกระซิบของหัวใจยังคงก้องในอก
“ครั้งนี้ ข้าจะไม่ใจอ่อนอีก”
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เสี่ยวจูก็กลับมาพร้อมชามโจ๊กข้าวโพดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในมือ
“คุณหนู รีบกินเถิดเจ้าค่ะ ข้าแอบไปขอของเหลือจากห้องครัวใหญ่มาให้ท่าน” เสี่ยวจูยื่นชามให้ พลางทำท่าลอบมองประตูอย่างหวั่น ๆ
ลี่อินรับชามมา พลางพยักหน้าเบา ๆ “ขอบใจนะเสี่ยวจู ข้าจะจดจำน้ำใจของเจ้าไว้”
เสี่ยวจูพยักหน้าเล็กน้อย นางชอบคุณหนูของตนอยู่แล้ว แม้จะอยู่ในเรือนเล็ก แต่คุณหนูก็ยังใจดี ไม่เคยตวาดด่าเหมือนคนในเรือนใหญ่
“ข้าจะไปต้มน้ำให้อาบนะเจ้าคะ”
เมื่อเสี่ยวจูออกไป ลี่อินก็ค่อย ๆ วางชามโจ๊กลงพลางถอนหายใจเบา ๆ
“ข้าอาจต้องเริ่มทุกสิ่งใหม่ แต่สิ่งที่ข้าจะไม่ลืม คือทุกแผล ทุกหยดน้ำตา และทุกศพที่ข้าจะเหยียบผ่านเพื่อขึ้นไปให้สูงที่สุด”
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นนอกรั้วไม้ผุที่ล้อมเรือน เสียงกระซิบดังมาจากทางมุมสวนด้านหลัง
“เซียวลี่อินยังไม่ตายรึ?”
“นางสลบไปหลายวันแล้วนี่”
เสียงแหลมคุ้นหู…
ลี่อินขมวดคิ้วทันที นั่นคือเสียงของ “ซูหรู” สาวใช้ของเจินซูเม่ย ผู้มักคอยสอดส่องและส่งข่าว
“คุณหนูรองบอกว่า อย่าปล่อยให้นางฟื้นง่าย ๆ ครั้งก่อนแค่สะดุดล้มเอง ยังไม่เข็ดอีกงั้นรึ?”
น้ำเสียงหยามหมิ่นของพวกนางทำให้แววตาลี่อินเย็นลงทันที
“นี่พวกเจ้าคิดจะลองดีกับข้าหรือ?”
นางเดินไปยังหน้าต่าง เอาผ้าคลุมบังตัวเองไว้ แต่แง้มบานไม้แคบ ๆ เห็นคนสองคนยืนลับ ๆ ล่อ ๆ ซูหรูกำลังทำท่าจะเข้ามาภายในเรือน ทว่า…
“เอี๊ยด!” เสียงประตูบานหลังดังขึ้น
เสี่ยวจูหิ้วถังน้ำร้อนเดินกลับมา
“อ๊ะ! ซูหรู? เจ้ามาทำอะไรตรงนี้?” น้ำเสียงหญิงสาวเต็มไปด้วยความสงสัย
ซูหรูะดุ้งโหยงก่อนรีบยิ้มแห้ง ๆ “ข้าแค่ผ่านมาเฉย ๆ…” กล่าวจบก็รีบลากแขนสาวใช้อีกคนเดินหายลับไป
สายตาของเซียวลี่อินมืดดำ หมอกแห่งความแค้นที่ค่อย ๆ เกาะกุมหัวใจนาง แม้ริมฝีปากจะนิ่งเฉย แต่เปลวไฟในใจกลับพร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่ง
“สวรรค์ให้โอกาสข้าได้กลับมา”
“ครั้งนี้ข้า จะให้พวกเจ้าชดใช้หมื่นเท่า ทรมานยิ่งกว่าตาย!”
ค่ำคืนคลี่คลุมจวนสกุลเซียว บรรยากาศภายในเรือนใหญ่เต็มไปด้วยความกดดัน เจินซูเม่ยนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องหอม มือกำถ้วยชาแน่นจนสั่น น้ำชาเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว นางกัดฟันสะกดความโกรธ“ไม่ได้! ข้าไม่มีวันยอมให้ทุกสิ่งที่ข้าสร้างมาพังลงเพียงเพราะนังเซียวลี่อินแน่!”เซียวถิงฮวานั่งอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียวจากเหตุการณ์ในท้องพระโรง“ท่านแม่ เราจะทำเช่นไรต่อดีเจ้าคะ หากถูกสอบสวนต่อไป สกุลเซียวคงถูกลากลงเหวแน่”เจินซูเม่ยหรี่ตาลงอย่างอำมหิต“แม้จะถูกบีบแทบจนมุม แต่ยังมีหนทาง หากหลักฐานที่มันถืออยู่ถูกทำลายเสีย ต่อให้เป็นท่านอ๋องเจ็ดก็ไม่อาจทำอะไรได้!”....ขณะเดียวกัน ภายในตำหนักอ๋อง จิ้งอ๋องนั่งพินิจรายงานที่กองอยู่ตรงหน้า ข้างกายมีเซียวลี่อินนั่งสงบนิ่ง ดวงตาไล่ตามทุกบรรทัดอย่างตั้งใจ เสียงทุ้มของเขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“ศัตรูกำลังดิ้นรน พรุ่งนี้อาจมีการเคลื่อนไหว เจ้าต้องอยู่ใกล้ข้าไว้ ห้ามเสี่ยงคนเดียว”เซียวลี่อินแย้มยิ้มบาง พลางตอบเสียงเบา“เพคะท่านอ๋อง แต่บางครั้งหมากตัวสำคัญ ก็ต้องใช้เหยื่อล่อให้อีกฝ่ายเผยพิรุธออกมาเองนะเพคะ”สายตาทั้งคู่สบกัน ความแน่วแน่และความไว้วางใจเริ่
เช้าวันใหม่ท้องพระโรงคลาคล่ำไปด้วยเหล่าขุนนางที่ยืนเรียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดัน ข่าวการจับคนของเจินซูเม่ยเมื่อคืนแพร่ไปทั่วแล้ว ทำให้ราชสำนักปั่นป่วนขันทีขานเสียงกังวาน “ถวายพระบังคมฝ่าบาท ท่านอ๋องเจ็ดได้นำพยานและหลักฐานเข้ามากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังจิ้งอ๋องผู้ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม เบื้องหลังเขามีองครักษ์นำคนร้ายที่ถูกจับได้คุมตัวเข้ามา พร้อมเอกสารบันทึกคำสารภาพเสียงซุบซิบดังไปทั่วท้องพระโรง“ครั้งนี้จวนสกุลเซียวคงรอดยากแล้ว”“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีขุนนางคอยหนุนหลัง หากพวกนั้นออกหน้า เรื่องอาจไม่ง่ายเช่นกัน”จริงดังว่า เมื่อจิ้งอ๋องยื่นรายงานต่อหน้าฮ่องเต้ทันใดนั้น ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายหนึ่งก็ก้าวออกมาขัดทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ฝ่าบาท! แม้จะมีบ่าวรับใช้สารภาพ แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้ หากทั้งหมดเป็นการจัดฉากเพื่อกำจัดสกุลเซียวเล่าพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย!”เสียงถกเถียงเริ่มระอุขึ้นอีกครั้ง คล้ายไฟที่พร้อมลุกโชนกลางท้องพระโรงเซียวลี่อินที่ยืนอยู่ด้านหลังม่านกั้นสำหรับสตรีสูงศักดิ์กำพัดแน่น ดวงตาเย็นยะเยือกพวกขุนนางหนุนหลังพวกนั้น พวกมันคือ
ผลการสอบสวนยังไม่ทันประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข่าวของบ่าวที่เรือนเจินซูเม่ยยอมรับสารภาพต่อหน้าท่านอ๋องเจ็ดก็แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักแล้วราวกับคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดเข้าใส่ จวนสกุลเซียวเริ่มสั่นคลอน ในห้องประชุมขุนนางยามเช้า เสียงถกเถียงดังไม่หยุด ขุนนางฝ่ายหนึ่งลุกขึ้นคารวะ“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวพันต่อความปลอดภัยของราชสำนัก หากไม่ลงโทษผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ย่อมกระทบพระเกียรตินะพ่ะย่ะค่ะ”อีกฝ่ายหนึ่งรีบโต้“แต่ยังไม่มีพระราชโองการตัดสิน ขืนเร่งรีบไป จะไม่กลายเป็นว่าราชสำนักไม่ยุติธรรมหรอกหรือ!”เสียงถกเถียงดังระงมจนท้องพระโรงแทบสั่นสะเทือนฮ่องเต้นั่งนิ่ง ดวงพระเนตรลึกล้ำราวกับกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียในอีกฟากหนึ่ง เซียวลี่อินยืนอยู่หลังม่านกั้นสำหรับสตรีสูงศักดิ์นางฟังเสียงถกเถียงทั้งหมดด้วยสายตาเยือกเย็น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ยิ่งคลื่นแรงเพียงใด ย่อมยิ่งกัดเซาะเกียรติของสกุลเซียวให้พังทลายไวขึ้นเท่านั้นขณะเดียวกัน จิ้งอ๋องนั่งอย่างมั่นคงบนเก้าอี้ขุนนาง แม้จะไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด แต่เพียงการมีตัวตนของเขาอยู่ในห้องนี้ ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าเอ่ยวาจาเกินเลยยามบ่ายในจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ยสี
ราชโองการเพิ่งประกาศไปทั่ววัง ข่าวว่าจิ้งอ๋องได้รับอำนาจสอบสวนเรื่องสมุนไพรปนเปื้อนแพร่ไปอย่างรวดเร็วเหล่าขุนนางทั้งหลายต่างจับตามองด้วยความตื่นตระหนก บางคนลอบหวาดหวั่นว่าตนเองอาจถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องในจวนสกุลเซียว บรรยากาศอึมครึมจนบ่าวไพร่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เจินซูเม่ยเดินวนไปมาในห้องใหญ่ มือกำชายเสื้อแน่น แววตาแดงก่ำด้วยความโกรธและหวาดหวั่น“ท่านอ๋องเจ็ด เหตุใดต้องเป็นเขา! หากเป็นขุนนางคนอื่น ข้ายังพอจะหาทางล่อลวงได้”เซียวถิงฮวาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัดฟันจนเลือดแทบซึม“ท่านแม่ อย่าเพิ่งสิ้นหวังไปเจ้าค่ะ เราต้องหาทางป้ายสีคืนให้ได้ หากไม่อย่างนั้นพวกเราจะตกนรกทั้งครอบครัวแน่”..ขณะเดียวกัน ในตำหนักอ๋อง จิ้งอ๋องนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะยาว บนโต๊ะเต็มไปด้วยเอกสารรายงานและเบาะแสที่องครักษ์สืบมาในหลายวัน เขาเพ่งมองด้วยสายตาคมกริบเซียวลี่อินก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น“ท่านอ๋องเพคะ หมากนี้กำลังเคลื่อนไปตามที่เราวางไว้”เขาเงยหน้ามองนาง เพียงเสี้ยววินาทีที่สายตาประสานกัน หัวใจของทั้งคู่เหมือนสะท้อนเสียงเดียวกันนี่ไม่ใช่เพียงการสอบสวนหากแต่เป็นศึกที่จะชี้ชะตาของ
รุ่งสางวันถัดมา บรรยากาศภายในราชสำนักหนักอึ้งกว่าปกติข่าวลือเรื่องสมุนไพรปนเปื้อนที่แพร่สะพัดมาหลายวัน บัดนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่เหล่าขุนนางทั้งหลายรอคอยการพิสูจน์กลางท้องพระโรง ฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์สูง แววตาเคร่งขรึมเหล่าขุนนางต่างหมอบเรียงราย ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยเสียงดังเกินจำเป็นเสียงขันทีสูงวัยประกาศลั่น“มีผู้ถวายฎีกา กล่าวหาว่าจวนสกุลเซียวมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมุนไพรปนเปื้อนที่ส่งเข้าวัง บัดนี้พยานถูกนำตัวมาแล้ว!”ประตูท้องพระโรงเปิดออก ชายชราพ่อค้าสมุนไพรที่ร่างกายยังอ่อนแรงแต่สายตาแน่วแน่ก้าวเข้ามาในความคุ้มครองขององครักษ์ เสียงซุบซิบดังสะท้อนขึ้นรอบท้องพระโรงทันที“พยานยังมีชีวิตอยู่จริงหรือ”“เช่นนี้ตระกูลเซียวมิใช่ตกที่นั่งลำบากแล้วหรือ”ในเงาของแถวขุนนาง เซียวลี่อินก้มศีรษะเล็กน้อย สายตาเยือกเย็นจับจ้องไปยังเจินซูเม่ยที่ยืนเคียงบิดาของนางริมฝีปากนางคลี่ยิ้มบาง ถึงเวลาแล้วที่เสียงของพยานผู้นี้ จะเป็นคมดาบที่ฟาดลงบนพวกเจ้าเสียเอง!ชายชราพ่อค้าสมุนไพรคุกเข่าลงกลางท้องพระโรง แม้น้ำเสียงจะสั่นเครือแต่กลับเปี่ยมด้วยความกล้าหาญ“ฝ่าบาท โปรดทรงพระเมตตา! กระหม่อมคือผู้ค้าสมุนไพรที
ยามเช้าในเมืองหลวงคราคร่ำๆปด้วยข่าวลือใหม่ว่ามีผู้พบเห็นพ่อค้าสมุนไพรชราที่ควรถูกเก็บเงียบหายไปกลับปรากฏตัวอีกครั้งในความคุ้มครองของผู้ลึกลับ เสียงร่ำลือแพร่สะพัดไปตามตลาดและร้านน้ำชา ราวกับคลื่นที่ซัดสาดเข้าหาฝั่งในเรือนเล็ก เซียวลี่อินจิบชาช้า ๆ แววตาเยือกเย็น ตรงหน้าคือชายชราพยานคนสำคัญที่นั่งก้มศีรษะ สวมชุดใหม่สะอาดสะอ้านนางเอ่ยเสียงเรียบ“จากนี้ไป ท่านไม่ต้องหวาดกลัวอีก ข้าจะให้ท่านอยู่ในเงาของข้า แต่เสียงของท่านจะดังไปถึงในวังหลวง”ชายชราน้ำตาคลอ“คุณหนูใหญ่ ข้าพร้อมสู้ แม้ชีวิตจะไม่เหลือข้าก็ไม่เสียดายแล้ว”ประตูเปิดออกเงียบ ๆ จิ้งอ๋องก้าวเข้ามา ร่างสูงสง่าภายใต้ชุดสีเข้ม สายตาคมกริบปรายมองพยาน ก่อนมาหยุดที่เซียวลี่อิน“เจ้าคิดจะใช้เขาเป็นหมากตัวใหญ่สินะ”เซียวลี่อินวางถ้วยชา ริมฝีปากยกยิ้มบาง“ใช่เพคะ นี่คือหมากที่จะทำให้เจินซูเม่ยหนีไม่พ้น!”แววตาของเขาฉายแสงประหลาด ทั้งชื่นชม ทั้งห่วงใยนางก้าวสู่เส้นทางอันตรายเกินไป แต่เขากลับไม่อาจห้ามได้เลยเซียวลี่อินกางแผนที่เล็ก ๆ บนโต๊ะไม้เก่า เสี่ยวจูยืนถือโคมไฟส่องให้สว่าง นิ้วเรียวของนางลากเส้นผ่านตรอกเล็กและทางลับในเมืองหลวง ก่อ
Mga Comments