มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดก็คือยมทูตรับส่งวิญญาณ เขารีบตามหาวิญญาณของเธอเพื่อพากลับเข้าร่างโดยเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างก็สายเกินแก้เพราะเขาเจอเธอเมื่อร่างของเธอถูกเผาไปแล้ว ทางเดียวที่จะแก้ไขความผิดก็คือต้องส่งเธอกลับไปในร่างของคนอื่นที่เพิ่งหมดลมหายใจ และด้วยเหตุผลที่เธอเรียกร้องบางประการ จึงทำให้เธอได้กลับไปเกิดใหม่ในรัชสมัยของราชวงศ์หมิง ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีนามว่า "เฟิ่งต้าชวี่" แต่ "เฟิ่งต้าชวี่" ไม่ใช่ดรุณีแรกแย้มไร้เจ้าของ นางเป็นพระชายาที่แสนบริสุทธิ์ของแม่ทัพผู้เกรียงไกร "อ๋องใหญ่เกาหรงซาน" พระชายาที่เขาเขียนหนังสือหย่าทิ้งไว้ในห้องหอตั้งแต่วันแรกที่แต่งงาน แต่เพราะความรักและหน้าที่ของสตรีชาวฮั่น นางจึงทนอยู่อย่างปวดร้าวในตำหนักของเขาตลอด 2 ปีก่อนจะตรอมใจตาย
View Moreแนะนำตัวละคร
รนิดา / เฟิ่งต้าชวี่ หญิงสาววัย 31 ปีที่ได้ย้อนยุคมาเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีในยุคของราชวงศ์หมิง
เกาหรงซาน อ๋องใหญ่ผู้ถูกขนานนามว่าแม่ทัพใหญ่ใจทมิฬ บุรุษหน้าตายที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัวเพียงแค่ได้ยินเสียง ชีวิตนี้ไม่เคยคิดใฝ่ปองสตรีใดมาเป็นชายา คิดแต่เรื่องปกป้องบ้านเมืองอยู่เรื่องเดียว
ฉางลั่ว ฮ่องเต้แคว้นต้าหมิง น้องชายต่างมารดาของเกาหรงซาน รักและผูกพันกับพี่ชายเป็นอย่างดี
จวงเล่ย รองแม่ทัพคู่ใจของเกาหรงซาน
หลี่ สาวใช้ส่วนตัวของต้าชวี่
หมินหมิ่น น้องสาวของพระมเหสีหมินเม่ย หลงรักอ๋องใหญ่มาตั้งแต่เข้าวังหลวง
เนื้อเรื่อง ตอนที่ 1
“ตั้งรับแบบนี้เป็นท่าที่ไม่ถูกต้องนะนักเรียน นอกจากไม่ช่วยอะไรแล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเล่นงานเราได้ง่ายขึ้นอีก” รนิดาขยับแขนของนักศึกษาหญิงให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมแก่การป้องกันตัว จากนั้นจึงออกคำสั่งให้เธอลองจับนักศึกษาชายทางด้านหลังทุ่มลงพื้น “เห็นไหมว่าง่ายกว่าเดิม”
“ง่ายขึ้นมากเลยค่ะอาจารย์” นักศึกษาสาวคลี่ยิ้มจนตาหยี แล้วเริ่มตั้งท่าประมือกับเพื่อนชายอีกครั้ง
รนิดามองดูนักเรียนที่กำลังฝึกฝนวิชาป้องกันตัวจากตนอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นคนไหนอยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้องก็รีบเข้าไปแก้ไขและอธิบายให้ฟังอย่างใส่ใจจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนจึงบอกลา
“อาจารย์หงส์คะ” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาอาจารย์ผู้ฝึกสอนยูโดให้ตน “หนูได้ยินเพื่อนๆ เขาพูดกันว่าอาจารย์สอนมวยไทยด้วยเหรอคะ”
“ก็ไม่เชิงสอนซะทีเดียวหรอกจ้ะ แต่ที่ฟิตเนสของอาจารย์มีไว้ให้ออกกำลังกายด้วยเท่านั้นเอง”
“แล้วอาจารย์มีสอนอะไรบ้างคะ หรือว่ามีให้ออกกำลังกายอย่างเดียว”
“เธอสนใจเหรอ”
“ค่ะ พ่อหนูเขาอยากให้หนูเรียนพวกศิลปะป้องกันตัวเอาไว้บ้าง เพราะบ้านหนูมันค่อนข้างอยู่ลึกเข้าไปในซอยค่ะ พ่อกลัวว่าจะถูกพวกขับวินมอเตอร์ไซค์ทำมิดีมิร้ายค่ะ เพราะวินแถวบ้านหนูมันชอบนั่งดื่มเหล้าเวลารอรับผู้โดยสารค่ะ”
ได้ยินดังนั้นจึงหยิบแผ่นพับเล็กๆ ยื่นให้ลูกศิษย์สาว “อาจารย์มีสอนตามรายละเอียดนี้แหละจ้ะ สนใจจะเรียนอันไหนก็เลือกเอาเลย”
“หนูอยากเรียนเทควันโดนะคะอาจารย์แต่หนูไม่ว่างวันอังคาร” หญิงสาวมองตารางเรียนในแต่ละวันบนแผ่นพับ
“เธอเรียนยูโดอยู่แล้ว ครูแนะนำให้เรียนศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่าเพิ่มจะดีกว่านะ มันสามารถมาประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่เธอเรียนจะมีประโยชน์ก็ต้องพึ่งสติด้วยนะ ถ้าถึงเวลาคับขันแล้วเธอคุมสติตัวเองไม่ได้ ต่อให้เรียนสารพัดวิชาป้องกันตัวก็ไม่สามารถช่วยเธอได้หรอก” รนิดาที่ถูกทางมหาวิทยาลัยว่าจ้างให้มาเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาพละศึกษาแนะนำนักเรียนของตน
“ก็น่าสนใจนะคะ หนูขอแผ่นพับนี้ไปให้พ่อดูนะคะอาจารย์”
“จ้ะ”
หลังจากแยกกับนักศึกษาสาวแล้วเธอก็รีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อกลับไปร่วมฉลองงานวันเกิดของพี่ชายที่บ้าน.. ระหว่างเดินทางเธอโทรศัพท์หาน้องสาว เพื่อบอกว่าจะเป็นคนแวะไปรับเค้กที่สั่งไว้เอง แต่ปรากฏว่าน้องสาวไปถึงที่ร้านแล้ว เธอจึงเปลี่ยนใจโทรหาคนรักแทน
(สวัสดีค่ะอาจารย์หงส์)
คิ้วโก่งดำเป็นธรรมชาติของหญิงสาว ขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินเสียงใสๆ ดังมาตามสายโทรศัพท์ของคนรัก แต่ก็ไม่ติดใจสงสัยอะไรเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของอีกฝ่าย
(อาจารย์ติ๊กไปไหนไม่ทราบค่ะ โทรศัพท์ก็วางไว้บนโต๊ะ มันส่งเสียงดังรบกวนสมาธิเพื่อนๆ จ๋าก็เลยเสียมารยาทรับสายแทนค่ะ)
คิ้วโก่งขมวดอีกครั้ง เมื่อคืนเขาบอกเธอเองว่าวันนี้มีสอนถึงบ่ายสาม แต่ตอนนี้มันเกือบห้าโมงเย็นแล้วนะ “อาจารย์ติ๊กมีสอนเหรอจ๊ะ”
(ค่ะอาจารย์ อาจารย์จะให้หนูไปตามหาอาจารย์ติ๊กให้ไหมคะ)
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ แค่บอกว่าอาจารย์โทรมาก็พอแล้ว แค่นี้นะ” เธอกดตัดสายแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงที่ช่องข้างเบาะ ขับรถมุ่งตรงสู่อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และคิดว่าคนรักคงขับรถตามมาเมื่อสอนหนังสือเสร็จ เพราะคุยกันไว้แล้วว่าเขากับเธอต้องคุยเรื่องเตรียมงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้ากับครอบครัวด้วยกันในวันนี้
“ติ๊กเขาไม่รับสายเหรอพี่หงส์” อารียาถามพี่สาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายกดโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง
“อือ พี่โทรไปตั้งหลายรอบแล้วนะ ทำไมไม่รับก็ไม่รู้ หรือว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่มหาลัยอีกแล้ว” ฝ่ายพี่สาวตอบคำถามของน้องสาวคนที่สองจากน้องสาวทั้งหมดสี่คน ซึ่งน้องสาวคนนี้อายุยี่สิบแปดปีเท่ากับคนรักของเธอ และพวกเขาก็เป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย
“แล้วจะเอายังไงล่ะลูก จะรอเขาก่อนหรือว่าจะคุยกันก่อน”
“ไม่ต้องรอหรอกจ้ะเตี่ย เราคุยกันเองก็ได้” ลูกสาวคนโตคลี่ยิ้มกว้างเอาใจบิดา เดินกลับมานั่งร่วมโต๊ะกับครอบครัว เริ่มคุยถึงแผนงานที่วางเอาไว้คร่าวๆ และกำหนดหน้าที่ให้น้องสาวทั้งสี่คนทำในวันงาน
“มีอะไรให้เฮียกับซ้อช่วยก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ” เจ้าของวันเกิดเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทุกคนได้รับมอบหมายงานกันถ้วนหน้า ยกเว้นเพียงตนกับภรรยาเท่านั้น
“เฮียคอยช่วยดูแลอาซ้อที่กำลังท้องกำลังไส้ก็แล้วกัน” เจ้าของงานแต่งมอบหมายงานตามคำขอให้พี่ชายแล้วหัวเราะดังลั่นตามคนอื่นๆ
“ทำไมเตี่ยทำหน้าเครียดๆ อย่างนั้นล่ะเตี่ย ไม่อยากให้พี่หงส์แต่งงานเหรอ” ลูกสาวคนสุดท้องถามบิดาที่เพียงแต่คลี่ยิ้มแห้งๆ
“บอกตรงๆ ว่าเตี่ยเสียดายลูกสาว ยังทำใจไม่ค่อยได้ที่ต้องเสียลูกสาวให้กับไอ้หนุ่มคนนั้น” จะให้เขาพูดความในใจออกไปได้อย่างไรเล่า ว่าไม่ต้องการลูกเขยที่อายุน้อยกว่าลูกสาวของตนถึงสี่ปีคนนั้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกสาวตนรักฝ่ายนั้นมากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็มีตัวเลือกที่ดีอยู่ในใจแล้วด้วย
“พี่ติ๊กเขาก็เป็นคนดีออกเตี่ย สุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว แล้วเขาก็เป็นครูเหมือนเตี่ยด้วย เตี่ยน่าจะชอบพี่ติ๊กเป็นพิเศษนะ”
“เตี่ยไม่ได้บอกซะหน่อยว่าไม่ชอบเขา เตี่ยแค่เสียดายพี่หงส์ของลูกต่างหากล่ะลูกเจี๊ยบ”
“ลูกเจี๊ยบอย่าไปแหย่เตี่ยสิ เดี๋ยวเตี่ยก็ร้องไห้หรอก” ฝ่ายมารดาที่นั่งฟังพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนแกล้งต่อว่าลูกสาว แต่ในใจนั้นรับรู้ความรู้สึกของสามีดีกว่าใคร “รีบคุยกันให้รู้เรื่องแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนดีกว่านะลูกๆ จ๋า ช่วงนี้แม่อยากให้เตี่ยเขาปรับเวลาการนอนหน่อย เพื่อให้คุ้นเคยกับเวลาของประเทศจีน”
“แม่เขาทำเหมือนเตี่ยแก่แล้วอย่างนั้นแหละ”
“ฉันเป็นห่วงสุขภาพเตี่ยนี่นา บอกตามตรงว่าไม่อยากให้เตี่ยไปเลย ไว้รอไปพร้อมกันหน่อยก็ไม่ได้”
“ทำไงได้ล่ะ เพื่อนๆ ฉันมันว่างช่วงนั้นกันพอดี ฉันก็อยากให้แม่ไปด้วยกันนะ” ถ้าไม่ติดว่ามันฉุกละหุกเพราะงานแต่งงานของลูกสาว เขาก็อยากให้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเดินทางไปพักผ่อนด้วยกัน
จนกระทั่งวันนี้ หลังจากกินข้าวกลางวันด้วยกันแล้วเขาก็บอกว่าจะไปพบนายอำเภอและชวนนางไปด้วยกัน แต่นางก็หาข้ออ้างเพื่อปฏิเสธ เพราะอยากช่วยเหลือนักฆ่าเคราะห์ร้ายคนนี้มากกว่า“ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะทรมานเจ้าไปเพื่ออะไร ทำไมไม่ฆ่าเจ้าให้ตายๆ ไปเลยจะได้หมดเวรหมดกรรม” นางสงสารเขามากแต่ก็ไม่มีปัญญาจะช่วยเหลือได้มากไปกว่านี้“ข้าเคยบอกแล้วไงว่าสามีของเจ้าต้องการคำตอบจากข้า เขาจึงทรมานข้าอยู่อย่างนี้ เมื่อใดที่เขาได้คำตอบข้าก็ไร้ความหมาย”“ดังนั้นท่านจึงไม่ยอมเปิดปาก”“บอกก็ตายไม่บอกก็ตาย”“ถ้าอย่างนั้นสู้กินให้อิ่มแล้วค่อยตายดีกว่า เพราะถ้าตายก่อนท้องอิ่มมันคงทรมานน่าดู”“ข้าขอตายอย่างมีศักดิ์ศรีดีกว่าพระชายา” คำตอบของนักฆ่าก็คือปฏิเสธอาหารที่นางหยิบยื่นให้“ศักดิ์ศรีของท่านไร้ค่าตั้งแต่วันที่ท่านเลือกใช้ชีวิตเป็นนักฆ่าแล้ว คนดีเท่านั้นที่คู่ควรกับคำว่าศักดิ์ศรี ส่วนนักฆ่าอย่างท่านเขาเรียกว่าคนเลว”“ข้าไม่เข้าใจท่านเลย ท่านเหมือนโกรธเคืองข้าแต่ท่านก็แอบ
“คารวะท่านอ๋อง” จวงเล่ยตามหลังผู้เป็นนายเข้ามาในกระโจมในเวลาเกือบจะไล่เลี่ยกัน“ข้ามีเรื่องส่วนตัวให้เจ้าไปทำ”“ขอรับท่านอ๋อง” รองแม่ทัพคนสนิทน้อมรับคำสั่งและรู้ว่าเรื่องนี้มีเพียงตนเท่านั้นที่รู้ เพราะในกระโจมหลังนี้มีเพียงตนและเขาเท่านั้นแม่ทัพใหญ่เกาหรงซานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทาง และแผนการที่วางไว้ให้จวงเล่ยฟัง“ข้าจึงอยากให้เจ้าสะกดรอยตามมัน สืบให้รู้ว่ามันติดต่อกับใคร หลังจากนั้นก็ส่งมันไปรับโทษที่นรก โทษฐานที่มันคิดจะฆ่าชายาของข้า”“ขอรับท่านอ๋อง แล้วเมื่อไหร่ท่านอ๋องจะปล่อยมันไปขอรับ”“อีกเจ็ดวัน”“ท่านอ๋องจะปล่อยมันในวันที่เราเคลื่อนทัพกลับเมืองหลวงหรือขอรับ”“ใช่ ข้าคิดว่าวันนั้นเหมาะสมที่สุด เพราะพวกเราทุกคนจะวุ่นวายกับการเตรียมตัวเดินทาง ความวุ่นวายจะทำให้มันคิดไม่ถึงว่าเราแกล้งปล่อยให้มันหนี แต่หลังจากนั้นเจ้าต้องคอยติดตามมันอย่างใกล้ชิด ห้ามคลาดสายตาเด็ดขาด”“เรื่องนั้นท่านอ๋องโปรดไว้ใจข้า ถ้ามันไม่ถ
นักฆ่าผู้โชคร้ายคลี่ยิ้มขมขื่น อยากหัวเราะเยาะให้แก่ตัวเองแต่ก็เจ็บที่ลำคอจนไม่สามารถทำได้“ประทังชีวิตไปเพื่ออะไร เพื่อให้สามีเจ้าทรมานข้าหรือ” เขามองใบหน้างามตราตรึงนั้นด้วยสายตาอ่อนแสง “อย่าทำดีกับข้าเลย เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่งให้สังหารเจ้า ข้าแค่รับคำสั่งมาจากเจ้าสำนักเท่านั้น”“ถ้าอย่างนั้นข้าถามท่านหน่อยเถอะ ท่านกล้าสังหารข้าด้วยเหรอ ในเมื่อข้ากับท่านไม่เคยบาดหมางใจกันมาก่อน”“ข้าเป็นนักฆ่า การฆ่าคนคืองานของข้า ต่อให้ข้ารอดไปได้ข้าก็ต้องตามฆ่าเจ้าให้สำเร็จจนได้” มือสังหารประกาศจุดยืนของตัวเอง “สวรรค์ลิขิตชีวิตมาให้ข้าแบบนี้ ข้าเลือกเองไม่ได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองเหมือนกัน”“สวรรค์บ้าที่ไหนจะลิขิตคนให้เป็นคนเลว เจ้าเลวเพราะเจ้าอยากเลวเองต่างหาก แล้วถ้าเจ้าเลวเจ้าก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์หรอกนะ นรกใต้ดินนี่ต่างหากที่เหมาะกับคนเลวอย่างเจ้า!” นางกล่าวอย่างเดือดดาลแล้วโยนหมั่นโถวไว้ตรงหน้านักฆ่าหน้าโง่ “ชีวิตเป็นของเจ้า เจ้าตัดสินใจเอาเองก็แล้วกันว
คำพูดของนางกัดเซาะหัวใจที่เคยแข็งกระด้างจนอ่อนปวกเปียกเหมือนก้อนเต้าหู้ เขาไม่ตอบรับเพียงแต่กอดนางไว้แล้วมองพื้นที่รอบๆ ในห้องครัว“ถ้าอย่างนั้นข้าจะฝังผู้เฒ่าไว้ตรงนั้นก็แล้วกัน” ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการให้นางออกไปเผชิญกับความหนาวเหน็บ โดยที่ไม่มีเขาคอยโอบกอดเพื่อถ่ายเทลมปราณสร้างความอบอุ่นให้หรอก “เจ้านั่งรอข้าอยู่ตรงนี้นะ จะได้ไม่หนาว” จับร่างบางให้นั่งลงใกล้ๆ เตา เดินไปยังจุดหมายแล้วหยิบกระบี่ออกมาสะบัดใส่หน้าดินไม่กี่ทีก็ได้หลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งหลุมเฟิ่งต้าชวี่มองสามีที่กำลังเดินกลับมา ลุกขึ้นแล้วยกแขนซับเหงื่อที่หน้าผากให้เขาอย่างเอาใจใส่“เหงื่อท่านออกเยอะมาก”“ข้าแค่ใช้กำลังเยอะไปหน่อย” ตั้งแต่เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้เขาก็ต้องหาบน้ำให้นางอาบ หลังจากนั้นก็มัวเมาอยู่กับความสุข ยังไม่ทันเรียบร้อยดีก็เกิดเรื่องขึ้น เสร็จแล้วก็ต้องมาขุดหลุมฝังศพอีกแต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ทำให้เขาเหนื่อยจนต้องเสียเหงื่อ สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะเขาตกใจตอนที่นางจะถูกแทงด้วยมีดสั้นต่างหาก จึงทำให้ล
คำตอบของมันทำให้แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ตวัดปลายกระบี่ปาดลำคอของมันเป็นทางยาว แต่ก็ไม่ลึกจนถึงขั้นจะเอาชีวิต มองเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาอย่างเย็นชา แล้วรีบใช้ฝักกระบี่ที่ถือไว้ด้วยมืออีกข้างปัดยาพิษที่มันหยิบขึ้นมา“ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ตาย เจ้าได้ตายสมใจอยากแน่ เพียงแต่ไม่ใช่เวลานี้เท่านั้น ข้าจะให้เจ้าตายอย่างทรมานถ้าเจ้าไม่บอกว่าใครส่งเจ้ามา แต่ถ้าเจ้ายอมบอก ข้าจะให้เจ้าตายในดาบเดียว” เขาให้เวลาอีกฝ่ายตัดสินใจเลือกวิธีตายอยู่สามลมหายใจเข้าออกแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเลือกเองนะ” แล้วใช้ฝักกระบี่จี้สกัดจุดให้มันยืนหยิ่งอยู่แบบนั้น ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องพักทันทีที่ผลักประตูเข้าไป มือที่จับกระบี่ก็กำแน่นจนเห็นเส้นเลือดโปนที่หลังมือ เมื่อเห็นนางผู้เป็นที่รักกำลังถูกมีดสั้นเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่ลำคอระหงตรงกลางห้อง เขาตกใจจนไม่กล้าปริปากถามออกไปด้วยซ้ำ เพราะกลัวนางจะถูกทำร้ายเฟิ่งต้าชวี่ถอนหายใจออกมาดังๆ ด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นเขาปลอดภัยดีกลับมา“ข้าดีใจที่ท่านปลอดภัย ข้านึกว่าท่านเสียท่าให้พวกมันแล้วซะอีก” ตอนที่นางถูกสตร
เขาใช้ความเงียบเป็นคำตอบ มองใบหน้าเรียวที่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง“เจ้าทำให้ข้าคลั่งอีกแล้วสาวน้อยของข้า” จูบคิ้วข้างนั้นแล้วเริ่มไล่ไปที่ส่วนอื่นๆ บนใบหน้าโดยเก็บใบหูไว้เป็นสิ่งสุดท้าย‘ท่านก็ทำให้ใจข้าเต้นผิดจังหวะเช่นกันท่านอ๋องใหญ่’ มือเล็กเรียวเอื้อมไปโอบท้ายทอยของเขา ขยับริมฝีปากเรียวอิ่มไปประกบริมฝีปากเรียวบาง มอบจูบดูดดื่มแทนคำขอบคุณ จูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จูบจนได้ยินเสียงครางบ่งบอกความพึงพอใจของเขา จึงพลิกกายขึ้นเป็นฝ่ายควบคุมเขาบ้างลากริมฝีปากอิ่มผ่านซอกคอแกร่งไปยังลาดไหล่หนา แล้วต่ำลงไปที่หน้าอกแน่นตึงด้วยมัดกล้าม ใช้ปลายลิ้นเรียวเล็กแตะตุ่มสีชมพูแล้วเลียไล้สลับกับการใช้ฟันขาวสะอาดขบเม้มทั้งสองข้างมือข้างหนึ่งเลื่อนต่ำจากกล้ามอกไปตามหน้าท้องเป็นลอนแน่น ลากไปตามไรขนเป็นระเบียบตั้งแต่สะดือลงไปจนได้จับกุมแก่นกายอุ่นร้อน หยอกเย้าด้วยการกำแน่นแล้วรูดขึ้นลงจนสุดขนาด เรียกเสียงครางกระเส่าจากคนตัวใหญ่ได้ไม่หยุดปาก“อา.. เจ้าคือนางปีศาจจิ้งจอกหรืออย่างไร ถึงได้สะกดใจข้าให้ลุ่มหลงได้เช่นนี้ อา.. ชายาที่รักของข้า” แล
Comments