ลี่มี่มี่นางงิ้วชื่อดังและบิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อก้องถูกย้อนเวลากลับไปเมื่อ 600กว่าปีก่อน ณ.จวนสกุลหลินซึ่งถูกพระราชโองการสั่งประหาร 9 ชั่วโคตร จนหมดสิ้นตระกูล และเธอคือคุณหนูสิบหกนามว่าาหลินลี่ชา ซึ่งถูกไฟคลอกตายภายในบ่อน้ำร้าง ท่ามกลางสายตาคู่หนึ่งขององครักษ์เสื้อแพรซึ่งเป็นว่าที่คู่หมั้นของเธอในชาติอดีต "ข้าจะกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน...ซือหม่าเยี่ยคัง ข้าจะต้องได้กลับมาแน่!!! ครั้นเธอถูกนำกลับมาอีกครั้งในฐานะลี่มี่มี่ นางงิ้วชื่อดังแห่งหอเลี่ยงเฟิ่ง และวางแผนที่จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาของท่านโหวจอมโหด เพื่อเข้ามาอยู่ในจวนตงฉ่างโหวให้ได้ ลี่มี่มี่ต้องการคิดบัญชีแค้นกับทุกคนที่ทำให้ตระกูลหลินต้องสูญสิ้นโดยเฉพาะตงฉ่างโหวหรือซือหม่าเยี่ยคัง ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนปัจจุบัน ท่านโหวจอมโหด ตาหนวดหน้าเหี้ยมที่ลี่มี่มี่ใช้เรียก แต่แล้วกลับถูกซ้อนแผนอย่างย่อยยับจากที่จะต้องเข้ามาเป็นอนุภรรยา ดันกลับกลายมาเป็นฮูหยินของท่านโหวจอมโหดแทน
Lihat lebih banyakรัชศกเจี้ยนเหวิน ปีที่ 4
รัชสมัยจักรพรรดิหมิงฮุ่ยตี้(ฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน) จักรพรรดิหมิงฮุ่ยตี้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงหลังจากจักรพรรดิหงหวู่ พระราชอัยกาเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ทรงใช้พระนามว่าฮุ่ยตี้ และใช้ศักราชประจำพระองค์ว่าเจี้ยนเหวิน ทรงดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจของบรรดาหวางต่างๆ อย่างเข้มงวด อ๋อง 5 พระองค์ถูกย้ายออกจากเมืองที่ประทับ บางพระองค์ถูกปลด บางพระองค์ต้องฆ่าตัวตาย และเยี่ยนอ๋องจูตี้เองก็ถูกแพ่งเล็งเนื่องจากเป็นผู้ที่มีบทบาทมากในการศึกคราวก่อนๆ และก่อนที่จักรพรรดิหงหวู่จะเสด็จสวรรคตนั้น จักรพรรดิเจี้ยนเหวินทรงมีพระราชโองการห้ามให้อ๋องต่างๆ เข้ามาถวายบังคมพระบรมศพ ด้วยเหตุที่ว่าเกรงจะมีการก่อรัฐประหาร แต่มีอ๋องพระองค์หนึ่งคือเยี่ยนอ๋องไม่ยอมทำตามราชโองการนั้น พร้อมกับนำทหารราชองครักษ์เดินทางมายังเมืองหลวงนานกิง แต่ด้วยมีราชโองการของจักรพรรดิส่งมาห้าม พระองค์จึงจำเป็นต้องกลับไปที่เมืองเป่ยจิง หลังจากสะสมอาวุธและฝึกซ้อมทหารจนใช้ชำนาญแล้ว เยี่ยนอ๋องจึงตัดสินพระทัยชิงลงมือยกทัพจากเป่ยจิงลงใต้เผชิญหน้ากับหลานชาย โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดเหล่าขุนนางกังฉินสอพลอที่อยู่รอบข้างองค์จักรพรรดิ มีบันทึกว่าก่อนที่พระองค์จะนำกองทัพยกออกจากเมืองนั้น ได้เกิดพายุพัดแรงจนกระทั่งหลังคาวังหักพังเสียหายซึ่งพระองค์กล่าวว่าเป็นเพราะได้เวลาที่พระองค์จะได้เสด็จเข้าไปประทับที่พระราชวังหลังคาเหลืองแล้ว การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 1942 (ค.ศ. 1399) เป็นเวลานานถึง 3 ปี ในระยะแรกฝ่ายเยี่ยนอ๋องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเนื่องจากฝ่ายจักรพรรดิมีกองทหารปืนไฟ ซึ่งมีอานุภาพสูงทำให้ต้องทรงถอยทัพกลับไปทางเหนือแต่ทหารทางใต้ไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาวทางภาคเหนือจึงล้มป่วยเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก จนกระทั่ง พ.ศ. 1945 (ค.ศ. 1402) กองทัพของพระองค์ก็ได้ยกมาถึงชานกรุงหนานจิง ซึ่งกองทัพฝ่ายวังหลวงไม่สามารถต้านทานได้อีกเนื่องจากไม่มีแม่ทัพที่ชำนาญศึกเพราะถูกประหารไปตั้งแต่ปลายรัชกาลของจักรพรรดิหงหวู่ เหล่าขุนนางต่างพากันมาสวามิภักดิ์มากขึ้น และเมื่อถึงวันที่สาม เยี่ยนอ๋องก็สามารถบุกเข้าสู่ภายในเมืองได้ ปรากฏว่าเกิดเพลิงไหม้ภายในวังหลวง และมีผู้พบพระศพของฮองเฮากับพระราชโอรสของหมิงฮุ่ยตี้ถูกเพลิงครอกภายในวังชั้นในแต่ไม่มีใครพบพระศพของหมิงฮุ่ยตี้แม้แต่น้อย และนั่นจึงทำให้มีผู้สันนิษฐานว่าพระองค์ลอบหนีออกไปจากวังหลวงได้โดยการอารักขาจากกองทหารองครักษส่วนพระองค์ซึ่งกลุ่มขุนนางที่มีความจงรักภักดีนำเสด็จหนีออกมาจากวังหลวงได้เป็นผลสำเร็จและทรงผนวชก่อนที่จะเสียเมือง ภายหลังต่อมาอีก 39 ปี ในรัชศกจ้งถ่ง มีผู้พบพระภิกษุชรารูปหนึ่งที่มีคนจำได้ว่าคือจักรพรรดิฮุ่ยตี้ หมิงอิงจงจึงมีราชโองการให้เชิญพระองค์มาประทับที่กรุงปักกิ่ง ที่ประทับของพระองค์ถูกปิดเงียบและสวรรคตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งในเวลาต่อมา เยี่ยนอ๋องซึ่งมีชัยชนะเหนือกองกำลังของอดีตองค์จักรพรรดิเจี้ยนเหวินสถาปนาตนเองขึ้นปกครองเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง เฉลิมพระนามว่าหมิงเฉิงจู่ ใช้ศักราชว่าหย่งเล่อ หลังจากที่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง พระองค์ทรงมีราชโองการให้ประหารขุนนาง เนื่องจากทรงระแวงว่าขุนนางเหล่านั้นจงรักภักดีต่อพระนัดดาของพระองค์ซึ่งมีจำนวนกว่า 870 คน นอกจากนี้ยังดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจเจ้าองค์อื่น ๆ อย่างเข้มงวด เช่น ห้ามมีกองทหารประจำเมืองให้มีได้แต่ทหารรักษาพระองค์จำนวนหนึ่ง ห้ามเจ้าแต่ละเมืองติดต่อกันเองโดยไม่ได้รับพระราชานุญาติ ภารกิจแรกที่พระองค์ทรงทำคือดำริย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เป่ยจิงอันเป็นฐานที่มั่นของพระองค์ด้วยเหตุผลว่าเพื่อป้องกันการรุกรานของชนกลุ่มน้อยทางเหนือ ทรงมีพระราชโองการให้อพยพคนมากมายหลายแสนคนจากเมืองหนานจิง มณฑลซานซีและมณฑลเจ้อเจียง โดยแบ่งเป็น 5 สายเข้ามายังเมืองเป่ยจิงหรือเมืองปักกิ่งในยุคปัจจุบัน พร้อมกับเป็นการหาแรงงานเพื่อสร้างพระราชวังที่ประทับของจักรพรรดิในเมืองหลวงซึ่งก็คือ พระราชวังกู้กง หรือเป็นที่รู้จักกันดีนั่นก็คือ "พระราชวังต้องห้าม" ในการนี้พระองค์ต้องเกณฑ์คนหนึ่งแสนพร้อมกับช่างฝีมืออีกหลายพันคน การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามนี้กินระยะเวลานานถึง 15 ปี พระองค์ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้เป็นอย่างมาก และจะเสด็จมาตรวจตราการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 1956 (ค.ศ. 1413) พระองค์จึงทรงย้ายเมืองหลวงจากกรุงหนานจิงมาประทับที่กรุงปักกิ่ง เป็นการถาวร และในช่วงของเหตุการณ์จลาจลดังกล่าว บรรดาขุนนางที่จงรักภักดีในรัชสมัยของจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ซึ่งถูกคำสั่งให้ประหารชีวิต จำนวนกว่า 870 คนนั้น หาใช่ประหารเพียงตัวขุนนางแต่เป็นการประหารทั้งตระกูล สายเลือดเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ถูกกำจัดและฆ่าล้างโคตรล้มตายนับหลายพันชีวิต และในการสำเร็จโทษประหารครั้งใหญ่กองกำลังองครักษ์เสื้อแพร ซึ่งเป็นหน่วยอารักขาขององค์จักรพรรดิที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความโหดเหี้ยมและอำมหิตอย่างยิ่งยวด องครักษ์เสื้อแพรถวายความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นและเป็นหน่วยงานรับหน้าที่สนองพระราชโองการ จัดการกวาดล้างเหล่าขุนนางที่เป็นปรปักษ์ต่อองค์จักรพรรดิหย่งเล่อ ทั้งสอบสวน จับกุม กักขัง ทรมานตลอดจนสำเร็จโทษ สาเหตุที่จักรพรรดิหยงเล่อทรงกระทำเช่นนี้นั้นก็เพราะเมื่อครั้งเข้ายึดครองเมืองหนานจิงได้แล้ว จั่วเชียนโตวยวี้ซื่อ ซึ่งเป็นเจ้ากรมสืบสวนฝ่ายซ้าย ส่งจิ่งชิงพยายามที่จะลอบสังหารพระองค์ จักรพรรดิหย่งเล่อจึงสั่งประหารเก้าชั่วโคตร พร้อมทั้งทำลายหลุมฝังศพบรรพบุรุษทั้งหมด รวมทั้งสมาชิกคนอื่นๆ ในหมู่บ้านถูกถ่ายโอนออกนอกหมู่บ้านจนหมด หมู่บ้านนี้ถูกทำลายทิ้ง ภายหลังได้กลายเป็นการกล่าวอ้างถึงจักรพรรดิหย่งเล่อว่าทรงจัดการกับขุนนางซึ่งจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินอย่างโหดเหี้ยม ดั่งเช่นฟางเสี้ยวหรู ถูกประหารชีวิตสิบชั่วโคตร ครอบครัว 873 คนถูกเนรเทศ ผู้มีสายเลือดเกี่ยวดองเป็นญาติห่างๆถูกประหารมากกว่าพันคน ฟางเสี้ยวหรู ซึ่งเป็นยอดมหาบัณฑิตแห่งต้าหมิง เคยเป็นพระอาจารย์สอนหนังสือให้แก่รัชทายาทจูอวิ่นเหวิน ภายหลังคือจักรพรรดิเจี้ยนเหวินแห่งราชวงศ์หมิง เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้เจี้ยนเหวินเป็นที่สุด และยังเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านแผนชิงบัลลังก์ของเยี่ยนอ๋องจูตี้ แต่สุดท้ายเมื่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินได้ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เยี่ยนอ๋องได้ครองบัลลังก์แทน สถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิหย่งเล่อ พระองค์ได้บีบให้ฟางเสี่ยวหรูเขียนหนังสือขอขมา ทว่าฟางเสี้ยวหรูยอมตายแต่ไม่ยอมจำนน ฮ่องเต้หย่งเล่อจึงทรงมีพระราชโองการรับให้สั่งประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร แต่ฟางเสี้ยวหรูยังกล่าวออกมาจนกลายเป็นวาทะอันโด่งดังที่สุดในชีวิตของเขาคือ "เก้าไม่พอ ต้องสิบต่างหาก" ชั่วโคตรที่สิบหมายถึงลูกศิษย์ของเขา ก่อนตายเขายังกัดเลือดจากนิ้วตัวเองเขียนอักษร (ช่วน) หมายถึง การแย่งชิง เพื่อประณามการกระทำของฮ่องเต้หย่งเล่อที่ได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม การตายของเหลี่ยนจีหนิง ทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างล้มตายไป1051คน ครอบครัวและญาติพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันถูกประหารเก้าชั่วโคตร รวมทั้งเนรเทศคนเป็นหลักร้อยเช่นเดียวกัน การตายของเฉินตี๋ เนรเทศคนไปถึง180 คนโดยประมาณ ในบรรดาคนที่ถูกประหารเป็นครอบครัวที่ถูกประหาร 80 กว่าคน การตายของหูหรุ่นครอบครัวทั้งหมด270 คนถูกประหารทั้งหมดการตายของต่งย้งครอบครัวทั้งหมดโดนประหาร 230 คน จั้วจิ้น ฮวงกวน ฉีไท่ ฮวงจีเฉิง หวางตู้ ลู๋หยวนจื่อ และขุนนางคนอื่นๆ ที่ถวายความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินล้วนถูกประหารทั้งสิ้น นับได้ว่าเป็นการสั่งประหารครั้งใหญ่ที่ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิง ชีวิตของขุนนางที่ถวายความภักดีให้แก่อดีตองค์จักรพรรดิผู้สาบสูญและครอบครัวของผู้คนเหล่านั้นต้องถูกปลิดชีพด้วยคมดาบจนมิเหลือสิ้น เพื่อตัดรากถอนโคนไม่ให้เหลือผู้สืบทอดที่จะกลับมาเป็นผู้ก่อการกบฏและล้างแค้นต่อจักรพรรดิหย่งเล่อในภายหลัง ยามเมื่อลมพัดหวนมิอาจคืนกลับมาได้ดั่งเช่นกาลก่อนอีกต่อไป เมื่อรัชสมัยของจักรพรรดิเจี้ยนเหวินล่มสลายผลัดเปลี่ยนไปสู่แผ่นดินใหม่ของจักรพรรดิหย่งเล่อ หน่วยตงฉ่างองครักษ์เสื้อแพรรับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ และจำต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง สังหารขุนนางที่เป็นปรปักษ์และไม่ถวายจงรักภักดี ฆ่าอย่าให้เหลือทั้งตระกูล!!!และถ้อยคำดังกล่าวทำให้ลี่มี่มี่ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “นอกจากตู้เหมิ่งห้าวแล้วพรรคพวกของมันยังมีเหล่าขุนนางผู้ใดบ้างเจ้าคะที่ร่วมมือด้วย”หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ซือหม่าฉีและเว่ยชุน รวมไปถึงซือกงกง ขันทีที่ทำตนเป็นนกสองหัว หมาสองรางผู้ใดให้ประโยชน์สูงสุดก็จะอยู่กับคนผู้นั้นไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงไว้วางพระทัยให้คอยรับใช้อย่างใกล้ชิด”ลี่มี่มี่นั่งเอามือเท้าคางพร้อมใช้มือจับปลายคางตัวเองพลางครุ่นคิดตาม “แล้วซือหม่าเยี่ยคังไม่ได้ร่วมมือด้วยอย่างนั้นเหรอเจ้าคะท่านน้า ในเมื่อซือหม่าฉีเป็นพวกเดียวกับตู้เหมิ่งห้าว”หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้อะไรบางอย่าง “ตงฉ่างโหวไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของขุนนางคนใด เพราะเป็นคนมีอุดมการณ์และหนักแน่น ถวายความจงรักภักดีและรับคำสั่งจากฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นนอกนั้นอย่าหวังว่าจะชี้นิ้วสั่งได้ และเพราะท่านโหวเป็นแบบนี้ไงตู้เหมิ่งห้าวจึงพยายามที่จะยัดเยียดตู้หรูอี้ให้มาเป็นฮูหยิน พยายามที่จะเข้าครอบงำอำนาจหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพรซึ่งมีสิทธิขาดในการไล่ล่า ไต
“นะ..นี่เจ้าคือ...ก็คือคุณหนูสิบหกหลินลี่ชาจริงๆ อย่างนั้นหรอกเหรอ แต่ว่าตระกูลหลินไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลยนะ ผู้คนภายในจวนทั้ง 228 ชีวิตถูกประหารจนหมดสิ้น และคุณหนูสิบหกก็ถูกไฟคลอกตายพร้อมคุณหนูสิบเจ็ดภายในบ่อน้ำ”ฉู่ฉิงเยี่ยนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เด็กสาวตรงหน้าบอกกับนาง “ก็เหมือนที่ท่านเป็นภรรยาลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เช่นกัน จึงทำให้รอดชีวิตมาได้ ส่วนข้านั้นที่ผู้คนบอกว่าถูกไฟคลอกตาย สภาพศพจะต้องไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโกจนไม่เหลือร่องรอยของข้าอยู่เลยใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นแน่ใจได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วข้านั้นตายจริง” ลี่มี่มี่ตั้งใจให้ตัวของเธอที่กลับชาติมาเกิดใหม่ในยุคอนาคตเข้ามาแทนที่ตัวเองในภพชาติอดีต จึงต้องสร้างสถานการณ์เท็จขึ้น “เป็นจริงหรือนี่! ที่คุณหนูสิบหกยังไม่ตายเหลือเชื่อเสียจริงเหลือเชื่อจริงๆ ”ฉู่ฉิงเยี่ยนกล่าวออกมาอยู่เช่นนั้นก่อนจะเอ่ยถามกลับไป “แล้วนี่เจ้ารอดตายมาได้อย่างไรกัน”เจ้าหอเลี่ยงเฟิ่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ปาฏิหาริย์จากสวรรค์เบื้องบน ซึ่งมันยากที่จะอธิบายให้ผู้ใดเข้าใจได้ แต่ท่านน้าจงเชื่อเถอะว่าข้าคือหล
ยามโหย่วณ.หอเลี่ยงเฟิ่ง ร่างสูงระหงเดินไปตามทางที่ทอดยาวมุ่งหน้าไปยังห้องพักของตัวเอง หอเลี่ยงเฟิ่งในเวลานี้มีแต่ความเงียบงันด้วยเป็นช่วงเวลาหยุดพักผ่อนเป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้บรรดาคณะงิ้วได้กลับบ้านไปพักผ่อนกับครอบครัว บางคนที่บ้านเกิดอยู่ไกลและต้องเสียเวลาเดินทางทั้งไปและกลับซึ่งใช้เวลานานก็จะไม่ไปไหน ต่างพากันใช้เวลาว่างไปทำประโยชน์อย่างอื่นที่นอกเหนือจากการนอนหลับเอาแรงจนเต็มที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ตามห้องพักของแต่ละคน บางห้องก็มืดมิดเพราะกลับบ้านและบางห้องก็มีแสงสว่างจากโคมไฟซึ่งปรากฏให้เห็นเพียงไม่กี่ห้องอยู่ในขณะนี้รวมไปถึงห้องพักของลี่มี่มี่ด้วยเช่นกันที่ภายในห้องปรากฏแสงสว่างจากโคมไฟกำลังลุกโชนอยู่ในขณะนั้น ลี่มี่มี่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องพักของตัวเองที่เห็นแสงสว่างปรากฏขึ้นอยู่ภายในห้องด้วยความแปลกใจ ดวงตากลมโตคู่งามมองลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มเอาไว้เพียงน้อยนิดและพบว่า ภายในห้องนั้นมีร่างของฉู่ฉิงเยี่ยนกำลังนั่งหันหลังมาทางประตูอยู่ในขณะนั้นอยู่เพียงลำพัง “ท่านน้ารออยู่ในห้องเสียด้วย
“อดีตฮ่องเต้ทรงมีเงินในท้องพระคลังหลวงมากมายถึงเพียงนี้เลยเหรอ ถ้าเช่นนั้นจะต้องมีคนบางกลุ่มต้องการเงินมหาศาลก้อนนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ หากข้าเดาไม่ผิด”ลี่มี่มี่เอ่ยขึ้นตามความคาดเดา แต่แล้วกลับต้องขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีเพราะโรงแลกเงินจินหมิงตามที่เธอล่วงรู้มาผู้ที่เป็นเจ้าของไม่ใช่ราชสำนักของอดีตฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน “ท่านน้ามีบางอย่างที่ข้าสงสัยเกี่ยวกับโรงแลกเงินจินหมิง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าล่วงรู้มาเป็นเรื่องจริงหรือว่ามีการบันทึกบิดเบือนไปจากความเป็นจริงที่ถูกต้อง”ลี่มี่มี่เอ่ยถามกลับไป “เจ้าสงสัยสิ่งใดถามมาได้เลย หากข้าล่วงรู้ก็จะตอบเจ้าตามความเป็นจริง”เจ้าพอเลี่ยงเฟิ่งตอบกลับไป ลี่มี่มี่พยักหน้าขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้นพร้อมเอ่ยขึ้น “ที่ข้าล่วงรู้มาก็คือเจ้าของโรงแลกเงินจินหมิงคือตระกูลเว่ย แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือตู้เหมิ่งห้าว หัวหน้าสภาขุนนางในราชสำนักของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่ใช่เหรอท่านน้า คำถามของลี่มี่มี่ทำให้ฉู่ฉิงเยี่ยนมองหน้านางเขม็งเพราะความจริงของเรื่องนี้เกี่ยวกับโรงแลกเงินจินหมิงมีเพียงเกาจิ้งหยวนและหลินเ
มือของตัวเองเข้าหากันจนแน่น เพื่อไม่ให้บ่าวไพร่ต่างพากันมองนางว่าเป็นสตรีที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจ รวมไปถึงบ่าวจากจวนตงฉ่างที่กำลังยืนตัวลีบตัวงอด้วยความตกใจและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอยู่ในขณะนั้น “พูดต่อไป! ข้าบอกให้เจ้าหยุดตั้งแต่เมื่อไรกันเชียว”ตู้หรูอี้พยายามปรับเสียงของนางให้กลับมาเป็นปกติดั่งเดิม “จะ..จะ..เจ้าค่ะ!”บ่าวคนดังกล่าวรับคำเสียงเบาก่อนจะรีบรายงานเหตุการณ์ตามที่นางได้เห็นเต็มสองตา “ท่านโหวไม่มีท่าทีขับไล่นางให้ห่างออกจากกายเลยเจ้าค่ะ มิหนำซ้ำยังให้นางสัมผัสชนิดที่ว่าถึงเนื้อถึงตัวได้เช่นกัน สองมือของนางเฝ้าคอยประคองใบหน้าของท่านโหวอยู่บ่อยครั้งด้วยเจ้าคะ” ตู้หรูอี้ถึงกับสูดลมหายใจเขาปอดด้วยความโกรธและริษยาสตรีที่กำลังกล่าวถึงอย่างยิ่งยวด ในขณะที่ตัวนางเองนั้นจะเข้าใกล้ท่านโหวหนุ่มในรัศมีสิบฉื่อยังไม่สามารถทำได้แม้แต่น้อย ด้วยเพราะตงฉ่างโหวจะทำตัวไม่เคยว่างทุกครั้ง เวลาที่นางไปเยี่ยมฮูหยินฮัวที่จวนผิงอันกั๋วกง ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปในสิ่งที่นางต้องการล่วงรู้ “เจ้าล่วงรู้หรือไม่ว่าหญิงผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน บุตรีขอ
จวนสกุลตู้ เรือนส่วนตัวของคุณหนูคนงามตู้หรูอี้ ถูกสร้างขึ้นอย่างหรูหราเต็มไปด้วยความประณีตและงดงามวิจิตรยิ่งนัก เทียบเท่ากับตำหนักในพระราชวังหลวงก็ว่าได้ ทุกอย่างต้องดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือน อาภรณ์ที่สวมใส่และเครื่องประดับอันมีค่า ตู้เหมิ่งห้าวเลือกเฟ้นมาประเคนให้แก่บุตรสาวคนโปรดชนิดที่ว่านางอยากได้อะไรไม่มีคำว่าไม่ได้แต่อย่างใดในชีวิตของนาง “เจ้าว่าอะไรนะ!”เสียงแหลมสูงของคุณหนูคนสวยดังแทรกขึ้นมาทันที ภายในเรือนนอนส่วนตัว เมื่อบ่าวที่นางใช้เงินซื้อข่าวเพื่อให้รายงานความเคลื่อนไหวทุกอย่างของตงฉ่างโหว หลังจากที่ได้รับพระราชทานจวนพำนักมาจากองค์จักรพรรดิแยกมาอยู่ต่างหาก จากจวนของสกุลซือหม่าหรือที่รู้จักกันดีนั่นก็คือคือจวนผิงอันกั๋วกง ซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของตงฉ่างโหวหรือซือหม่าเยี่ยคังนั่นเอง ซึ่งเดิมทีมีคนของตู้หรูอี้คอยส่งข่าวภายในจวนดังกล่าวมาให้นางล่วงรู้อยู่ทุกวี่วันเป็นประจำ ไม่ว่าจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไรตลอดจนถึงเรื่องของฮูหยินฮัว ท่านแม่ของตงฉ่า
Komen