Masuk“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านเลี้ยงดูข้ามาเป็นอย่างดี ข้ามิให้ท่านเดือดร้อนเป็นอันขาด” นางตอบรับบิดาด้วยใจยินดี รู้หน้าที่ตนในฐานะบุตรผู้มีคุณธรรม เป็นหญิงก็ต้องมีสามีแต่งงานเมื่ออายุสิบห้าปีแล้วด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นก็ตาม ด้วยความงามของนางมีผู้มาทาบทามให้ไปคัดเลือกนางสนม เป็นเพราะบารมีของบิดา นางจึงได้ทำตัวเปล่าประโยชน์ไปวัน ๆ
“... ข้าไม่อาจมีข้อโต้แย้งเรื่องออกเรือน หากท่านพ่อเห็นสมควร ข้าเชื่อใจท่าน ย่อมเลือกชายที่ดีที่สุดให้ลูกสาว แต่ข้าขอเสียมารยาทถามหน่อยเถิด เหตุใดเจ้าบ่าวข้าถึงได้รีบร้อนมาสู่ขอ ข้าเคยพบหน้าเขามาก่อนหรือไม่เจ้าคะ?”
“ท่านอ๋องกลัวจะพลาดฤกษ์งามยามดี สมควรจัดการตบแต่งให้เร็วที่สุด ท่านโหราในราชสำนักทำนายว่าเป็นปีมังกรทอง ฤกษ์งามยามดี แต่งงานมีบุตรได้ในปีนี้ ก็ยิ่งดี”
ถึงอยู่แต่ในเรือน ไป๋เหม่ยหลานได้ยินเรื่องการตบแต่งของผู้ดีในระยะนี้ บ่าวรับใช้กระซิบนินทากันว่าบุตรสาวบ้านไหนจะตบแต่งกับใคร ถึงนางไม่รู้จักใคร ก็อาศัยลอบฟังเอา นางรู้ตนว่าอายุครบสิบแปดปี ล่วงเลยเวลาแต่งงานมามาก นางควรแต่งงานตั้งแต่อายุสิบห้าปี นางลุกขึ้นไปรินชาใส่ลงในถ้วยให้บิดาอย่างกุลสตรี ด้วยกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน ไม่แสดงท่าทีไม่พอใจแม้แต่น้อย
“ข้าจะทำหน้าที่ลูกสาวท่านฉางผิงโหวเป็นอย่างดี งานบ้านเรือนมิให้ขาดตกบกพร่องให้ใครมาต่อว่าได้ ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวล”
“เจ้าเป็นเด็กดี ลูกสาว” นัยน์ตาคู่คมเอ่อคลอหยาดน้ำใส เพียงคิดว่าจะต้องลาจากบุตรสาว ยอมให้นางไปอยู่กับชายหนุ่มผู้ซึ่งเขาไว้วางใจเป็นอย่างมาก
“ข้าคงคิดถึงเจ้า...”
“ข้าจะมาเยี่ยมเยียนท่านพ่อบ่อย ๆ หากเป็นไปได้ข้าก็... ขอให้ได้อยู่เรือนใกล้เคียงกัน”
“ไม่ไกล เดินเท้าก็ได้ รถม้าก็รวดเร็ว เจ้ามาหาข้าได้ทุกวันหากว่าเจ้าพอมีเวลาจากการดูแลงานบ้านงานเรือน งานดูแลสามี”
ฉางผิงโหวเอื้อมมือไปลูบศีรษะน้อยอย่างเอ็นดู พอตระหนักได้ว่าบุตรสาวจะต้องจากอกตนไปก็อดเศร้าหมองใจมิได้
จะว่าเศร้าก็แสนเศร้านัก แม้นไม่รู้ด้วยเหตุใด อยู่ดี ๆ เขากลับหัวเราะออกมา
“บุตรสาวผู้ดี ล้วนอยากตบแต่งกับเฉียนฟานอ๋อง ท่านมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เก่งฉกาจเรื่องงานรบอย่างชายชาตรี วิชากระบี่ไม่เป็นรองผู้ใด ผู้คนต่างเล่าขานกันว่าเจ้าผู้ครองแคว้นเว่ยรูปงามหล่อเหลาปานหยักสลัก”
‘ท่านอ๋องผู้นี้ อยู่ดี ๆ ก็ปลูกเรือนไม่บอกกล่าว แถมใกล้บ้านท่านโหวเสียด้วย บทจะมาสู่ขอ กลับไม่เคยพบหน้าค่าตา ไม่มาพูดจากันเสียหน่อย ประหลาดนัก’
นางคิดในใจ มิได้โตแย้งบิดาที่ยกย่องสรรเสริญท่านอ๋องอย่างออกหน้าออกตา ราวกับว่าอ๋องผู้นี้เป็นเทพบุตรกลับชาติมาเกิด เรื่องราวต่าง ๆ จากปากบิดาล้วนมีแต่เรื่องดี นางสิกำลังคิดว่าท่านอ๋องจะมาสู่ขอนางไปเป็นภรรยาเพื่ออะไร ไปเลือกบุตรสาวผู้อื่นไม่ดีกว่าหรือ แล้วพ่อม่ายอย่างฉางผิงโหวรึจะไม่หวงบุตรสาว เขาเลี้ยงดูนางมาลำพัง ทะนุถนอมเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน อะไรทำให้บิดาเข้าข้างชายแปลกหน้าถึงเพียงนี้ หรือจะเป็นเรื่องการเมือง?
“แล้วท่านอ๋องจะเมตตาข้าเท่ากับท่านพ่อไหมเจ้าคะ? เขาจะเฆี่ยนตีข้าหรือไม่ หากข้ากระทำความผิด”
“ดีสิ... ดี ต้องดีแน่...”
“ท่านอ๋องจะรับอนุไหม?”
“ท่านอ๋องชื่นชมเจ้ามาก เขารับปากกับข้าว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเสียใจเป็นอันขาด”
บิดาเบี่ยงประเด็น หัวเราะร่าเริงแล้วเดินจากไป บุตรสาวเก็บความสงสัยนั้นไว้ ตั้งใจจะไปถามบ่าวรับใช้ดีกว่าถามจากบิดาในเมื่อเขาไม่ยอมบอกนาง จึงเข้าไปในห้องครัว ถือโอกาสตระเตรียมอาหารเย็นให้บิดาและคนอื่น ๆ นึกขึ้นได้ว่าอาจไม่ได้ไปคุมงานชาวไร่ชาวนาอีก นางบอกให้แม่ครัวห่ออาหารสำรับใหญ่สำหรับทั้งครอบครัวไปให้พวกเขาด้วย ถือเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาจะมีกินกันมื้อใหญ่ อิ่มท้องกันทั้งบ้าน
“ลูกสาวคนเดียวได้ออกเรือนกับท่านอ๋องรูปงาม มีหน้ามีตาในราชสำนัก ท่านโหวเลยหัวเราะร่าเริง ท่านอารมณ์ดีทุกวันเลยนะเจ้าคะ คุณหนู...” สาวใช้พูดจาเอาใจนาง ยังตามมารับใช้นางด้วย ไป๋เหม่ยหลานหยิบอาหารใส่ปิ่นโตเรียบร้อย ส่งให้สาวใช้ทั้งสองคนละตะกร้าให้ครอบครัวของพวกนาง ก่อนจะตัดสินใจถามบ่าวรับใช้ทางด้านซ้ายมือนาง
“ตกลงว่า... ท่านอ๋องเขาเป็นคนอย่างไร ข้ามิได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเลย”
“ท่านอ๋อง...”
“จางลี่!” เสียงตะคอกพร้อมการปรากฏตัวของบิดา มองไปทางบ่าวรับใช้เป็นนัยว่าห้ามพูด! สาวทั้งสองยกมือป้องปากตน ถอยหลังเดินไปไม่อยู่ให้รกสายตาท่านโหว มองพวกนางปานจะกินเลือดเนื้อ ก่อนหันไปพูดกับบุตรสาว
“ข้าว่าเจ้ารอพบเขาด้วยตัวของเจ้าเองจะดีกว่าลูกสาว อย่าได้ฟังความจากใครทั้งสิ้น จะเกิดเข้าใจผิดกัน อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งกับท่านอ๋อง”
ตอนพิเศษ : เศษใบชาในถ้วยกระเบื้องที่มีควันลอยฉุยสลายไปในเวหา อาภรณ์สีนิลสะบัด ยินเฟิงปัดมือเบา ๆ ร่ายเวทปีศาจอย่างระวัง หลังปัดชาใบเล็กไม่ให้ระคายคอภรรยา ขณะก้มหน้ามองนางชักชวนเขาสนทนาไปเรื่อยเปื่อยในฝั่งตรงกันข้าม ชาบนโต๊ะไม้ไม่พร่องไป นางไม่ดื่มมันเสียที“ไยเจ้าไม่รีบดื่มชาให้หมดถ้วยเสีย เย็นหน่อยก็จะไม่อร่อยแล้ว”“เจ้าค่ะ” นางยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปาก เหลือบตามองสามีที่ชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกท้องนทีมืดสนิท บิดาสงสัยว่าบุตรชายของเขาออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ไหน ไม่ทันสังเกตเห็นน้ำในถ้วยหายไป“เจ้าไม่ควรลืมดื่มชาเป็นอันขาด”“ข้าอาจลืมก็ได้”“ไม่ได้”ยินเฟิงได้คำตอบจากภรรยาในรอยยิ้มมีเลศนัย“ข้าจะลืมแน่...”หลังจากนั้นเขาก็เฝ้าอธิบายเหตุผลของตน ไม่ใช่ว่าไม่อยากตามใจนาง ซึ่งไม่เป็นผล เมื่อได้พูดคุยเรื่องบุตรกันทีไร ยากจะหาข้อสรุป...ไป๋เหม่ยหลานมิได้เชื่อฟังสามี นางกำลังนึกถึงช่วงเวลาสำคัญ ร้อยกว่าปีที่ผ่านพ้นมา ความเจ็บปวดทรมานจากการคลอดบุตรเพียงครั้ง ไม่เทียมเท่าความสุขล้นในอกมารดาบุตรชายตัวน้อย ‘อี้เฉิน’ เป็นบุตรชายที่น่ารักใคร่ นางเฝ้ามองเจ้าตัวน้อยนอนหลับใหล ในร่างของทารกและเ
หลังผ่านพ้นงานวิวาห์ในภพภูมิปีศาจ ร่างอรชรในอาภรณ์สีชาดงดงามพลันหายไปพร้อมกลุ่มไอหยินไป๋เหม่ยหลานตั้งใจไปนำของวิเศษมาให้สามี เพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงาน นางใส่ใจกับการเป็นปีศาจและปรมาจารย์ปีศาจ สามีของนักเป็นอย่างมากทว่าระหว่างทางมีปีศาจจิ้งจอกฝีมือเก่งฉกาจเข้ามาขวางทาง ยื้อแย่งก้อนหินน่าอัศจรรย์ไป นางตบะไม่ถึงปีศาจตนนั้น ไม่ได้ของวิเศษจากถ้ำประหลาดที่ได้ยินมาว่ามันเพิ่มกำลังวังชา ทำให้ร่างกายแข็งแรงอายุยืนนานไปอีกนับหมื่นปี นางกลับเมืองเหยียนมือเปล่า พร้อมความเศร้าหมองจนนางเกือบจะร้องไห้ออกมาอย่างผู้อ่อนแอ ขณะปลายเท้าล่องลอยในเวหา หยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง“วันนี้ข้าไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง ไปทำเรื่องสำคัญก็คว้าน้ำเหลว ข้าควรมีวันหยุดเสียบ้าง” เสียงหวานบ่นพึมพำ กรงเล็บสีนิลสะอาดกรีดกรายผ่านริมฝีปากสีชาด การผัดหน้างดงามของนางจึงกลายเป็นเรื่องง่ายดาย นางหันไปกล่าวกับสามีที่เหยียบยืนบนพสุธาตามหลังนางมาไม่นาน“ปีศาจควรมีวันหยุดพักผ่อน”“ปีศาจไม่มีวันหยุด”“แล้วจะต้องเหน็ดเหนื่อยไปตลอดกาลเลยหรือ? แค่เฉพาะการบำรุงบำเรอใจสามีอสรพิษในภพภูมิปีศาจ ร่างของข้าแทบป่นเป็นเถ้าธุลี”“นับตั้งแต่เราส
“ย่อมได้ เมื่อใดก็ได้ทั้งนั้น เราจะไปเยี่ยมบิดาของเจ้าด้วยกัน เราสาม...” รับปากแล้วมือหนาพลันปลดเปลื้องอาภรณ์ กองหล่นบนพื้นไม้เป็นเงามัน เลื่อนสายตามองไปทั่วทุกอณูกายขาวผ่องงาม หน้าท้องแบนราบปรากฏกลุ่มอายสีดำวนเวียนอยู่เหนือสะดือสวยยินเฟิงเข้าใจภรรยาว่าคงไม่คุ้นชินกับร่างกายซึ่งค่อย ๆ กลายเป็นอสรพิษร้าย ที่มีความอิจฉาริษยาเช่นปีศาจสตรี นางใจร้อน ไม่โอนอ่อนตาม นางกำลังตั้งครรภ์ อารมณ์แปรปรวนไม่น้อยขณะมือเรียวลูบบ่ากว้างของบุรุษร่างกำยำ สตรีในอาภรณ์งดงามสีนิลปักทอด้วยลวดลายอสรพิษ เผยอริมฝีปากรับจูบอ่อนหวานของสามีจูบของนางกลับกลายเป็นเร่าร้อนเมื่อเขาเป็นฝ่ายริเริ่ม หลังมื้ออาหารในทุกเช้าค่ำ นางคืบคลานเข้าหา หากสามีไม่เป็นฝ่ายเปิดศึกสู้รับกับนางบนฟูกนอนยับเยิน พร่ำบอกคำรักด้วยการสานราคะ จนกว่าจันทราสีชาดจะลับคล้อยไปในความมืดของเมืองเหยียนในภพภูมิปีศาจ ซึ่งไม่เคยพบแสงตะวันเมื่อสะโพกกลมกลึงยกขึ้น บุรุษร่างกำยำถูกผลักติดกับหัวเตียงไม้สนแดง นางใช้พลังเวททั้งหมดบังคับให้เขาอยู่ใต้อาณัติ ลวดลายที่สลักอย่างงดงามเหล่านั้นกลายเป็นอสรพิษที่มีชีวิต เลื้อยไหลผ่านฟูกนอนและสองเรือนร่างที่สอดประสาน
“ท่านจะไม่สูญเสียข้าไป ส่วนข้าก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้าติดตามท่าน ข้ามีความคิดว่า...” สองมือเรียวผลักอกสามีให้ออกห่างนาง นัยน์ตาสีชาดเบิดกว้างทอประกายชิงชัง “ทำลายใบหน้าหล่อเหลาของท่านเสีย น่าจะสิ้นเรื่องกระมัง”ไม่พูดเปล่า กรงเล็บสีนิลผงาดกางขึ้น ขณะดวงตาคู่สวยสีชาดสั่นไหวลังเล แม้ใจนางปรารถนาจะกรีดใบหน้าหล่อเหลาให้เสียโฉมนัก ด้วยความโง่เง่าของนาง ยังคิดว่าสมควรตัดเจ้ามังกรร้ายทิ้งไปให้หมดทั้งยวง เพราะคงมิใช่เพียงใบหน้าคมคาย บุรุษผู้นี้สามารถสรรค์สร้างความสำราญใจให้สตรีสามีเพียงจับข้อมือเล็ก ๆ ของนางไว้ จูบกรงเล็กและเขี้ยวขาวคมตรงมุมปากสีชาด“เก็บเขี้ยวเล็บของเจ้าไว้ขบกัดสามีจะดีกว่าไหมเล่า? ข้ายังมิได้ต้อนรับการกลับมาของเจ้าเลย ศิษย์ไป๋”แววตารุ่มร้อนทอประกาย จ้องมองแก้มแดงซ่านของภรรยา หลบเลี่ยงสายตาของเขาไปไป๋เหม่ยหลานอดกลั้นจิตใจ มองผ่านหน้าตาบานกว้างสลักลายอสรพิษและปีศาจ สุดสารพัดจะจินตนาการ ท้องนภาปรากฏดวงดาราทอแสงระยิบระยับ ไม่ต่างไปจากยามราตรีโลกมนุษย์ ทว่ากลางนภากว้างมีจันทราสีชาด ส่องสว่างงดงาม สะท้อนลงบนผืนน้ำสีนิลสะอาด------------บทสุดท้าย终章สามียินยอมพร้อมรับการจิกข่วนจากก
ในน้ำเสียงเศร้าหมองนั้น มือหนาเฝ้าลูบไล้ผิวกายนุ่มเนียน ละเอียดไปทั่วทุกอณู ซึ่งถูกหยุดอายุขัยไว้เพียงสิบเก้าปี ถึงแม้ว่าอารมณ์ราคะกำหนัดจะรุมเร้าอย่างหนัก เขาขยับอ้อมแขนกระชับกอดนางให้รู้สึกอุ่นปลายจมูกโด่งเป็นสันคมเฝ้าซุกไซ้หาความสำราญจากเรือนร่างนุ่มหอม ราวกับว่านางเป็นปั้นดิน แตกต่างที่นางยังคงเป็นนาง เป็นกลิ่นของนางยินเฟิงมีความเชื่อว่านางเพียงหลับใหลในนิทรา อันจะนำพาสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากที่พบเห็นว่านางพักผ่อนมากขึ้นเมื่อจำต้องต่อสู้กับพลังอาฆาตแค้นและราคะของปีศาจ นับตั้งแต่ปลูกถ่ายกระดูกเซียนให้นางบนโลกมนุษย์มาเจ็ดเดือนกว่า ครั้งสุดท้ายนั้นเป็นลูกแก้วอสรพิษนางควรลืมตาขึ้นในอีกไม่ช้า เขาจำต้องเฝ้ารอนางอย่างใจเย็น‘หากข้าเศร้าหมองใจ เจ้าคงเป็นทุกข์ไปด้วย เมื่อใดเจ้าลืมตาตื่น ก็ควรจะเป็นวันที่ดีของเจ้า ไป่ไป๋...’สตรีในอ้อมแขนเป็นผู้เดียวในทั่วทุกพรหมโลกที่ทำให้บุรุษร่างกำยำโศกศัลย์อาลัย เขาจ้องมองใบหน้างดงามนิ่งสงบเช่นเดิม มือหนาสะบัดไปมาในอากาศ ปรากฏผ้าผืนใหญ่สีนิลสนิท ห่มคลุมเรือนกายอรชรมิดชิด ร่างกายของนางเย็นเฉียบราวเหมันต์ ผ่อนลมหายใจเข้าออกแผ่วเบา“อื้อ...”
เมื่อมองอีกครั้งหนึ่งงูเหล่านั้นกลับกลายเป็นสีนิลสนิท ในห้วงฝันนางพบสตรีในอาภรณ์งดงามหัวเราะร่าเริง นางมีใบหน้างดงามอ่อนหวาน‘โอ้... ไป๋เหม่ยหลาน... ศิษย์ไป๋ของท่านเหลือเพียงโครงกระดูก’‘ท่านอาจารย์จะยอมลืมเลือนเรื่องราวระหว่างท่านและนางหรือ?’สตรีอสรพิษคลับคล้ายคลับคลาที่นางเคยพบจากโถดึงความทรงจำ แลเห็นอาจารย์ยินเฟิงในสภาพน่าอดสู ร่างกายผ่ายผอมเหลือเพียงหนังติดกระดูก ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้น ทำร้ายหัวใจดวงน้อย ๆ ของนางนักนางได้ยินทั้งสองยื่นข้อเสนอต่อรอง ซึ่งสำหรับอาจารย์ยินเฟิงขอเพียงจดจำนางไว้ในห้วงความทรงจำ หากเป็นไปได้ก็จะออกตามหานางสุดท้ายแล้วนางก็ยังไม่เข้าใจ...ไยท่านอาจารย์ไม่ลืมนางไปเสีย เมื่อมีวาสนาต่อกันย่อมได้กลับมาพบกันอีกในภพหน้า เขากลับยอมกลายเป็นอสรพิษ เพื่อเก็บความทรงจำระหว่างอาจารย์-ศิษย์ เพื่อให้ได้กลับมาครองคู่นางอย่างสามีภรรยา...---------------ยินเฟิงคงไม่อยู่รอพบหมอหลวงจากราชสำนัก เพียงรอท่านโหวผู้มาเยี่ยมเยียนบุตรสาว ก่อนที่จะหันหลังกำมือแน่นแล้วเดินจากไปฉางผิงโหวรู้แก่ใจดีว่าวันนี้จะมาถึงในสักวัน ไม่สามารถรั้งบุตรสาวซึ่งไม่ใช่บุคคลบนโลกมนุษย์เอาไว้ได้ นาง







