นักเขียนสาวยุคสองพันตื่นขึ้นในร่างคุณหนูตัวประกอบผู้อาภัพ ซ้ำยังบ้าใบ้จากนิยายเรื่องหนึ่ง เดิมทีต้องไร้บทบาทตั้งแต่ต้นเรื่อง ไฉนจึงมีระบบผุดขึ้นมายัดเยียดให้เธอทำภารกิจหนีตายจากพระรองตัวร้ายด้วยเล่า!
더 보기รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมสีทองอร่ามปางประทานบุตรองค์ใหญ่โตตั้งตระหง่านอยู่ด้านในโถงกราบไหว้ของวัดเจาเจิน เสียงสวดภาวนาดังกระฉ่อนไปทั่วสารทิศ ควันสีขาวพวยพุ่งดั่งหมอกหนาจากธูปหอมลอยตลบอบอวล บ่งบอกว่าวัดแห่งนี้มีผู้คนหลั่งไหลมากราบไว้อย่างไม่ขาดสาย
"พระแม่ได้โปรดประทานบุตรแก่พวกเราทีเถิดเจ้าค่ะ"
สองสามีภรรยากราบไหว้วิงวอน ต่อรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ พลางโขกคำนับด้วยความศรัทธา ส่วนใหญ่ผู้ที่มาขอพรจะเป็นบรรดาเศรษฐีมีเงินทั้งสิ้น ทว่าคนยากจนนั้นไม่อยากมีบุตรกลับมีอย่างง่ายดาย เพราะเช่นนี้ใครก็ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้มีบุญวาสนาย่อมถือกำเนิดยากเสมอ
แค่ก แค่ก
เสียงเล็กกระแอมดังมาจากหลังรูปปั้น สองสามีภรรยามองหน้ากันหลุกหลิก ยามนี้อาทิตย์ก็เริ่มอัสดงแล้วเสียด้วย ผู้คนบางตาลงไปมาก ภายในโถงกราบไหว้จึงดูวังเวงชอบกล
"ท่านพี่ ท่านได้ยินเหมือนกันหรือไม่เจ้าคะ"
สามีพยักหน้าเป็นการตอบกลับ เขาเหลือบซ้ายแลขวาเพื่อมองดูว่ายังมีผู้คนอยู่บริเวณนี้หรือไม่ หลังจากสำรวจก็พบว่ายังหลงเหลือสองสามคนที่กำลังแขวนผ้าแดงศักดิ์สิทธิ์กับต้นไม้อยู่ด้านหน้า ส่วนข้างในมีเพียงเขาและภรรยาสองคนเท่านั้น เพราะเส้นทางมาวัดเจาเจินแสนเปลี่ยว ยามนี้ผู้คนจึงต่างเตรียมตัวทยอยกลับเรือนเกือบหมด
"บางทีเราอาจจะหูฝาดก็ได้"
แค่ก แค่ก
เสียงไอโขลกดังขึ้นอีกระลอก สองสามีภรรยาสะดุ้งโหยง โผเข้ากอดกันกลม
"ท่านพี่เจ้าคะ ข้าว่าองค์โพธิสัตว์คงศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย บางทีเราอาจได้บุตรในไม่ช้า" ภรรยาเอ่ยตะกุกตะกัก
สามีพยักหน้ารัวเร็ว ยามนี้ภายในใจของคนทั้งสองกำลังเต้นระส่ำด้วยความหวาดกลัว "ชะ...เช่นนั้นเรากลับกันเลยดีกว่า นี่ตะวันจะลับขอบฟ้าอยู่แล้วด้วย"
ผู้เป็นภรรยาพยักหน้าตอบ จากนั้นคนทั้งสองก็โขกศีรษะเพื่อคำนับรูปปั้นองค์โตสามครั้งด้วยใจไหวระทึก
สามีค่อย ๆ ประคองภรรยาตนลุกยืน ยังไม่ทันหมุนกายกลับ ก็มีมือขาวซีดโผล่ขึ้นมาจากเบื้องล่างโต๊ะเซ่นไหว้
ปึง!
เสียงฝ่ามือกระทบแผ่นไม้ดังสนั่น กายคนทั้งสองสั่นระริกอยู่เหนือการควบคุม สีหน้าแตกตื่นหวาดผวา
สองสามีภรรยาเหลือบมองมือปริศนาช้า ๆ บริเวณลำแขนมีรอยเขียวเป็นจ้ำ ฟกช้ำน่ากลัวยิ่ง ขาทั้งสองข้างจึงพร้อมใจสั่นผับผับ อยากก้าวเท้าออกจากบริเวณนี้เดี๋ยวนั้น แต่ขาเจ้ากรรมดันก้าวไม่ออก
"ทะ...ท่านพี่ นะ...นั่น นั่น คนหรือเจ้าคะ"
สามีกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ เขาพยายามข่มอาการหวาดหวั่นเอาไว้ "ต่อหน้าองค์โพธิสัตว์ คงไม่มีผีปีศาจใดหรอกกระมัง เช่นนั้นเจ้ารอข้าตรงนี้นะ"
"เจ้าค่ะ ท่านพี่ระวังตัวด้วย"
สามีปล่อยมือที่โอบประคองภรรยาออก เท้าทั้งสองเยื้องย่างเข้าใกล้โต๊ะไม้สักซึ่งห่างจากตนไม่มากนักด้วยท่าทีดุจแมวขโมย หยาดเหงื่อเม็ดละเอียดเริ่มผุดพราวขึ้นเต็มหน้าผาก แผ่นหลังเปียกโซมราววิ่งอ้อมวัดมานับสิบรอบ
"ผะ...ผู้ใด" เสียงทุ้มสั่นเครือ
ยามนี้อากาศด้านนอกก็ช่างหนาวเย็น ประตูไม้บานใหญ่ที่แง้มอยู่ถูกลมโกรกเข้ามาเป็นเหตุให้ขนบนกายพร้อมใจลุกชัน
มือปริศนาอีกด้านถูกยกขึ้นวางเสียงดัง
ปึง!
คนทั้งสองสะดุ้งโหยง
"...ท่านพี่ กลับเถิดเจ้าค่ะ บางทีอาจเป็นพวกไม่ประสงค์ดี"
ผู้เป็นสามีก็ชักไม่อยากสอดรู้เสียแล้ว เขาพยักหน้าระรัว แล้วจึงถอยห่างพลางถลันเข้าประคองภรรยาเอาไว้อีกครั้ง
"เช่นนั้นเรากลับกันดีกว่า"
คนทั้งสองตั้งท่าหมุนกายกลับ ทว่าหางตาดันเหลือบเห็นคนผู้หนึ่งโผล่ศีรษะขึ้นมาก่อน เหตุใดคนผู้นี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงนัก ซ้ำยังสวมอาภรณ์สีขาวซีดขาดกะรุ่งกะริ่งไปหมด
ผู้เป็นภรรยากรีดร้องเสียงหลง
กรี๊ด...
ขาที่แข็งทื่อจู่ ๆ ก็ติดไฟขึ้นมาเสียอย่างนั้น ส่วนสามียังคงยืนตัวค้างเฉกเช่นหุ่นไล่กา กระทั่งเขาเผลอสบดวงตาของอีกฝ่ายก็แทบเกิดลมจับ
"ผะ...ผะ...ผี"
ผู้เป็นสามีวิ่งตามภรรยาอย่างไม่คิดชีวิต แม่ชีห่มขาวที่กำลังเข้ามาสำรวจความเรียบร้อยเช่นเคยมองตามแผ่นหลังคนทั้งสองด้วยความงุนงง
"เกิดอันใดขึ้น"
จากนั้นแม่ชีชุดขาวก็เดินถือโคมไฟมุ่งตรงไปยังโถงกราบไหว้ทันใด
"ฮื่อ...หนาวจัง ทำไมถึงหนาวอย่างนี้เนี่ย"
ร่างปริศนาที่โผล่ขึ้นจากโต๊ะบูชาเปล่งวาจาเป็นครั้งแรก นัยน์ตากลมโตมองตามหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษด้วยอาการฉงน ทว่านางไม่มีเวลาใส่ใจท่าทีประหลาดของคนเมื่อครู่อีก เพราะยามนี้หญิงสาวรู้สึกว่าตนหนาวเหลือเกิน มันช่างเย็นเยียบราวกับถูกปลายมีดน้ำแข็งเสียบลึกลงยันแก่นวิญญาณ
แขนทั้งสองถูกยกขึ้นทีละฝั่ง หญิงสาวย้ายสายตากวาดมองสลับไปมา "นี่เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมแขนเรามีแต่รอยเขียวช้ำแบบนี้ล่ะ"
ครั้นลองสัมผัสดูหนึ่งจุด เสียงเล็กก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
"โอ๊ย เจ็บ เจ็บ" เท้าเปลือยเปล่าค่อย ๆ ขยับเชื่องช้า เปลือกตาบางหลุบลงเบื้องล่าง "เอ๋...รองเท้าก็ไม่ใส่ บ้าไปแล้ว เท้าแข็งจนเกือบหักได้"
เท้าเล็กเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า แต่ดูเหมือนว่าการขยับเขยื้อนช่างไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย ก้าวหนึ่งครั้งก็ราวกับว่ากระดูกกำลังจะแหลกละเอียดอย่างไรชอบกล "โอ๊ย...เดิน...ไม่ไหว เจ็บจัง...นี่เราไปถูกใครทารุณมาเนี่ย"
นัยน์ตากลมโตช้อนขึ้น จากนั้นหญิงสาวจึงตั้งสติ พยายามประมวลความคิดและกวาดสายตาเพื่อสำรวจโดยรอบ
ด้านในมีเพียงแสงจากเปลวเทียนที่ยังวูบไหวส่องสว่าง ดูเหมือนยามนี้กำลังเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ อกด้านซ้ายเริ่มกระเพื่อมถี่ด้วยอาการประหวั่น
"นี่มัน น่ากลัวชะมัด วัดร้างหรือไงทำไมมันดูโบราณมาก อย่าบอกนะว่าอ่านนิยายจีนโบราณมากไปจนเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ"
คิ้วสวยขมวดแน่นแทบผูกได้ปมหนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวที่ยังพอหลงเหลือในโซนสมอง
ณ จวนกั๋วกงหลังเกิดเรื่องในคืนนั้นหลิวซือเหว่ยไม่อาจสงบใจได้เลย คุณหนูรองเมิ่งนางช่วยคลายกำหนัดให้เขาจริง ทว่านางใช้วิธีการดูดเลียประหนึ่งกำลังทานของหวานแสนอร่อย ยิ่งหวนนึกถึงก็ยิ่งใจเต้นระส่ำ ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำดั่งป่วยไข้"นายท่าน""...""นายท่านขอรับ""...""ท่านกั๋วกง"หลิวซือเหว่ยหลุดจากภวัง เขากระแอมเล็กน้อยเพื่อคลายความเก้อกระดาก"มีอะไร""เอ่อ...นายท่านยังรู้สึกไม่สบายตัวหรือขอรับ" โจวฉีเองก็ประดักประเดิดไม่ต่างกัน เขาไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดสิ่งใดขึ้นบาง ต่อให้คุณหนูรองบอกว่านางไม่คิดว่าเสื่อมเสียใด และยังไม่ได้มอบความบริสุทธิ์ให้กั๋วกง โจวฉีกลับไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียวหนำซ้ำตั้งแต่นายของเขาหายจากอาการคลุ้มคลั่งใคร่อยากจนขาดสติก็ทำตัวประหลาดไปราวกับคนละคน"ข้าหายดีแล้ว""...นี่เป็นหยกของท่านขอรับ" โจวฉียื่นหยกลายวิจิตรไปเบื้องหน้า"อืม" หลิวซือเหว่ยรับอย่างขอไปที เขาหย่อนมันลงลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานโจวฉีงุนงง เดิมทีนายของเ
"ท่านพ่อหากท่านไม่เชื่อท่านก็มาดูให้เห็นกับตาเลยเจ้าค่ะ"เมิ่งลี่น่าพาบรรดาบ่าวไพร่ พร้อมบิดาและมารดาของตนแห่แหนมายังเรือนเล็ก เลี่ยงหรงเห็นเมิ่งเว่ยก็เบิกตาโต"เอ่อ นายท่าน คุณหนูยังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ""หึ ก็แหงล่ะ นังเด็กบ้านั่นกำลังจะทำตระกูลเมิ่งเสื่อมเสีย" เมิ่งลี่น่ายังไม่หยุดปากตั้งแต่ขามาเลี่ยงหรงนิ่วหน้า "คุณหนูใหญ่หมายความว่าอย่างไรเจ้า""เจ้าก็อย่ามาทำเป็นไขสือ คุณหนูของเจ้ากำลังกกอยู่กับพวกนายโลมโคมเขียว เจ้าเองก็รู้เห็นไม่ใช่หรือไง""ไม่จริงนะเจ้าคะ""เอาล่ะน่าเอ๋อร์ เจ้าก็พอได้แล้ว น้องทำหรือไม่เดี๋ยวก็รู้เอง" เมิ่งเว่ยเหลียวมองเบื้องหลัง เอ่ยต่อด้วยความละเหี่ยใจ "แล้วนั่น ไยต้องให้บ่าวไพร่ยกโขยงกันมาด้วยเล่า""ทุกคนจะได้เห็นกระจะตาไงเจ้าคะ ว่าคุณหนูรองทำงามหน้าเพียงใด บุตรสาวไม่ทำตัวให้อยู่ในกรอบ ท่านพ่อว่าควรลงโทษหรือไม่ หรือว่าท่านก็จะลำเอียงอีก"เหตุการณ์ครั้งนี้หาใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนนางลอบเห็นเมิ่งเว่ยตั้งหน้าตั้งตาทำน้ำแกงรากบัวด้วยสีหน้าแช่มชื่น กระทั่งสอบถามบ
"ไม่ต้องร่ำไรแล้ว เอาเขานอนลง" เมิ่งเหยียนซินตะเบ็งเสียงโจวฉีพยักหน้า เลี่ยงหรงมาช่วยยื้อยุดร่างกำยำอีกแรง แขนล่ำสันถูกกางออกทั้งสองฝั่ง โจวฉีกดแขนนายของตนติดเสาหัวเตียงด้านขวา ส่วนเลี่ยงหรงพยายามจับไว้ทางด้านซ้าย ใบหน้าของนางแดงก่ำน้ำตาพานจะไหลอยู่รอมร่อ"ฮื่อ...คุณหนู ข้าจะไม่ไหวแล้ว"เมิ่งเหยียนซินคลี่เชือกที่พันกันเสร็จก็เร่งเข้ามัดแขนของหลิวซือเหว่ยทางด้านซ้ายก่อน จากนั้นเร่งย้ายไปทางด้านขวา หลิวซือเหว่ยดิ้นรนขลุกขลัก กายของเขาราวถูกเพลิงโลกันตร์แผดเผาก็ไม่ปาน"ปล่อยข้า โจวฉี นี่เจ้าก็กล้าทำกับข้าอย่างนี้รึ""นายท่าน อภัยข้าน้อยด้วย หากท่านหายแล้วจะลงทัณฑ์ข้าอย่างไรก็ได้ ขอเพียงท่านปลอดภัยเป็นพอ"เมิ่งเหยียนซินจิ๊ปาก คนที่ไม่ปลอดภัยคือนางต่างหาก นางเกือบถูกหลิวซือเหว่ยปู้ยี่ปู้ยำแล้วไม่เห็นหรืออย่างไร"กั๋วกง ท่านไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า"หลิวซือเหว่ยขบฟันแน่นเสียจนสันกรามนูนเด่น เขาพยายามควบคุมสติ ลมหายใจของเขาหอบถี่ดังฟึดฟัด "ข้าต้องตายแน่แท้ นี่เป็นแผนการของเจ้าใช่หรือไม่""เอ๊ะ ท่านนี่อย่างไร ยังจะกล่
เสียงโครมครามดังอยู่ภายในห้องคุณหนูรองเมิ่ง เลี่ยงหรงและโจวฉีไม่มีเวลาให้คิดหน้าคิดหลังแล้ว พวกเขาจึงช่วยกันพังประตูเข้าไปปัง!เมิ่งเหยียนซินผงะ มืออีกด้านก็ผลักใบหน้าหล่อเหลาออกห่างจากตน ทั้งยังต้องเบี่ยงหลบจมูกโด่งเป็นสันจ้าละหวั่น หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีดึงดันประหนึ่งเกิดสงครามขนาดย่อมเสียจนเหงื่อโทรมกายด้วยกันทั้งคู่"เสียงอะไร!?กั๋วกง นี่ท่าน ข้าบอกให้ใจเย็น ๆ อย่างไรเล่า ออกไปนะ"เมิ่งเหยียนซินอยากตีเขาให้สลบตอนนี้เสียจริง ติดตรงที่เรือนร่างของนางและเขาช่างต่างกันลิบลับ แค่อีกฝ่ายโอบรัดกายของนางก็จมเข้าไปยังแผงอกหนั่นแน่นแทบรวมร่างกันอยู่แล้ว"ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าร้อน"อร๊าย...หมอนี่เป็นสุนัขจอมตะกละหรือยังไง เสี่ยวทู่จื่อ ช่วยด้วย...เมิ่งเหยียนซินกู่ก้องร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออยู่ในใจ ประหนึ่งว่าระบบที่ตนเรียกหาจะปรากฏ แต่แล้วเสี่ยวทู่จื่อก็โผล่พรวดขึ้นมาจริง ๆ ทุกอย่างหยุดนิ่ง ทว่าเมิ่งเหยียนซินไม่อาจคลายอ้อมกอดของหลิวซือเหว่ยได้"เสี่ยวทู่จื่อเ
"นั่นผู้ใดหยุดเดี๋ยวนี้นะ"เสียงทุ้มตวาดขึ้นเมื่อเกิดความเคลื่อนไหวบริเวณพุ่มไม้ของเรือนเล็กในจวนสกุลเมิ่งโจวฉีได้รับหน้าที่ให้ดูลาดเลาเพราะวันนี้หลิวซือเหว่ยตั้งใจแล้วว่าจะเข้ามาเจรจากับคุณหนูรองเมิ่งให้รู้เรื่อง เขาไม่อยากให้เรื่องโฉ่งฉ่างเป็นที่สงสัย จำเป็นต้องเข้ามาหานางอย่างผิดธรรมเนียมโจวฉีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกกลับพบถึงความผิดปกติบางอย่าง ร่างสูงกระโจนลงจากต้นไม้ใหญ่ มีดสั้นถูกจี้เข้ายังลำคอผู้มาเยือน"เจ้าเป็นใคร เหตุใดทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆที่เรือนคุณหนูรอง"ชายคนนั้นกายสั่นสะท้าน เพราะปลายแหลมคมกำลังจ่อเอาชีวิตของเขาอยู่รอมร่อ "คุณชาย ๆ ใจเย็นก่อนขอรับ อย่าฆ่าข้า ข้า ขะ...ข้า...""ข้าอะไร!? อมพะนำอยู่นั่น หากเจ้าไม่เอ่ยมาให้ดี ข้าจะเฉือนคอหอยของเจ้าเดี๋ยวนี้""คุณชาย ไว้ชีวิตด้วย ข้าเป็นเพียงนายโลมที่ถูกว่าจ้างมาอีกทีเท่านั้นขอรับ"โจวฉีครุ่นคิดคุณหนูรองถึงขั้นว่าจ้างนายโลมเข้ามาปรนนิบัติเชียวหรือมีดสั้นยังคงจี้คอขู่บังคับนายโลมผู้นั้นต่อไ
"ท่านเข้ามาได้ยังไง ออกไปเลยนะเจ้าคะ"เมิ่งเหยียนซินถอยร่นไปเรื่อย ๆ กระทั่งแผ่นหลังชิดกำแพง บุรุษตรงหน้ายามนี้ช่างดูน่ากลัวเกินไปหน่อยแล้ว เขาถือวิสาสะใดบุกเข้าเรือนของสตรียามวิกาล"ข้าบอกว่า ต้องการถามเจ้าเรื่องหนึ่งก็เพียงเท่านั้น"เมิ่งเหยียนซินควบคุมจังหวะหายใจของตน พยายามไม่ลนลานหรือแตกตื่น ทว่าลมหายใจของนางก็ยังติดขัด "...เรื่องใดเจ้าคะ ไยท่านไม่เข้าทางหน้าเรือนดี ๆ เช่นนั้นไว้ฟ้าสว่างค่อยคุยกัน"เมิ่งเหยียนซินก้าวเท้าหมายออกห่างจากเขา ทว่ามือแกร่งกลับคว้าหมับไปยังข้อมือของนางเสียก่อน บุรุษร่างสูงโน้มลงกระซิบชิดใบหูเล็ก"คุณหนูรอง ข้าเคลือบแคลงใจกับท่าทีของเจ้ามานานแล้ว ไยจึงสู่รู้เรื่องข้าไปเสียทุกเรื่อง หรือแท้จริง เป็นเจ้าที่อยากแต่งงานกับข้า เจ้าก็รู้ว่าข้าอยากถอนหมั้นกับพี่สาวเจ้า หรือที่ใต้เท้าเมิ่งรับปากง่ายดายปานนั้นล้วนเป็นแผนการของเจ้าเจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้เดิมทีคือเจ้าที่เป็นคู่หมายของข้า ใต้เท้าเมิ่งเปลี่ยนตัวคู่หมั้นเพราะเจ้าเกิดบ้าใบ้กะทันหัน นั่นเพราะเจ้าต้องการปั่นหัวข้าเล่นหรือ"
댓글