ฮ่องเต้ผู้เบื่ออาหาร กลับหลงใหลในรสมือของแม่ครัวสวมรอย—โดยไม่ล่วงรู้ว่าเจ้าของรสชาตินั้น คือสาวน้อยจอมกวนผู้หลุดมาจากอนาคต!ฝีปากร้ายและมุกเต็มไปด้วยมุกตลกไร้สาระพร้อมกับสูตรอาหารมัดใจฝ่าบาท เมื่ออาหารคือสะพานใจ แต่ความจริงยังถูกปิดซ่อน… เมื่อรสชาติผูกพันหัวใจ แต่ความจริงยังเป็นปริศนา จะรอวันเปิดเผย หรือถูกกลืนหายไปตลอดกาล? แล้วเมื่อความจริงปรากฏ… จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งหรือไม่?
View Moreตำหนักพระพันปีที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับสามรองจากตำหนักชิงหนิงกงของฮองเฮาบัดนี้พระพันปีหรือไทเฮาฟู่ฉีนั่งบนบัลลังก์ทองใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าความรู้สึกภายในใจเมื่อพบหน้าชวีหยา ชวีหยาตำแหน่งกุ้ยเฟยผู้งดงามอ่อนหวานแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่สายตาที่ถอดมองผู้อื่นอ่อนโยนอบอุ่นเหมือนมารดากระนั้น อาภรณ์สีมุกขลิบลวดลายสีทองด้านหลังปักรูปหงส์สยายปีกพร้อมโบยบินแม้จะไม่ได้สะกดสายตาผู้พบเห็นแต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเจออดที่จะหันมองซ้ำไม่ได้
ฝีเท้าที่ก้าวเดินราวกับวิ่งแต่ทว่าในใจอยากจะมีเวทมนตร์พาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าไทเฮาในทันที ชวีหยาไม่ลืมที่จะย่อกายลงอย่างงดงามแม้จะร้อนใจเพียงใด นั้นยิ่งทำให้ชวีหยามีกิริยาน่ามอง นางงดงามเกินกว่าจะนั่งในตำแหน่งอื่นใดคงเกิดมาเพื่อตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้นแต่เสียดายที่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังนั่งแค่ตำแหน่งกุ้ยเฟย
“ทรงประชวรว่าด้วยไม่อยากอาหารมาหลายวันแล้ว จะทำอย่างไรดีเพคะไทเฮา”ด้วยความกังวลใจที่เก็บสะสมไว้จึงกลั่นออกมาเป็นคำพูดในทันทีโดยที่ไม่ได้เกริ่นนำ
“อย่าเรียกว่าอาการประชวรเลย คงแค่ไม่มีของที่ชอบ ปกติหยางหยางมักจะกินแต่ของโปรดมาตั้งแต่เด็กๆ” ไทเฮาฟู่ฉีหยิบกำไลหยกขึ้นมาพิศดูด้วยความตั้งอกตั้งใจราวกับคำพูดของชวีหยาเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่าน
“พระวรกายซูบผอม สองวันก่อนชวีหยาสั่งให้มีการคัดตัวนางในห้องเครื่องเสียใหม่เลือกคนที่ทำอาหารเป็นทั้งหมดมาทำเครื่องเสวยถวายฝ่าบาททีละคน”
ไทเฮาฟู่ฉีพยักหน้าขึ้นลง วางกำไลหยกลงในกล่องหันมามองชวีหยาขมวดคิ้วกับสีหน้าเป็นกังวลนั้น
“แล้วมีมั่งไหม นางในห้องเครื่องที่หา”น้ำเสียงคล้ายเหน็บแนมแต่รับให้เรียบเฉยให้สมฐานะไทเฮาที่ไม่รักไม่ชังใครเกินขอบเขต
“ไม่พบเลยเพคะ คนที่ทำเป็นก็ทำถวายตั้งมากมาย แต่ฝ่าบาทแค่ได้กลิ่นก็คลื่นเหียน ขันทียกไปมากหน่อยก็คิดว่าไปกดดัน กวาดเครื่องเสวยบนโต๊ะทิ้งเสียหมด” ยิ่งไม่กินยิ่งหงุดหงิด
พูดไปก็ถอนหายใจสีหน้ากลัดกลุ้ม นับว่าชวีหยาใส่ใจหยางลี่ไม่น้อยจะสุขจะทุกข์ก็คือสามีภรรยา แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าคนผู้หนึ่งกับคนผู้หนึ่งไม่ได้อาศัยความรักใคร่แต่ก็ร่วมชีวิตกันมา อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เป็นหนึ่ง ชวีหยาต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือส่งเสริมมิใช่แค่หน้าที่ของภรรยาหากแต่เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติมาช้านาน
“เรื่องอื่นก็ดี เรื่องอาหารก็สำคัญ ฮ่องเต้เอาแต่วุ่นวายกับงานในราชสำนัก นอนน้อยตื่นไว กินอะไรไม่ลง ลองไปหย่อนใจ…..ประภาสป่าดูดีไหมไปเปิดหูเปิดตาเสีบบ้างจึงจะทำให้รื่นมรมย์”
พูดเป็นนัยๆเรื่องที่ชวีหยาไม่ยอมตั้งครรภ์ทั้งที่นั่งเกี้ยวเข้ามาในวังหลวงเกือบปีแล้ว ถึงจะอยากตำหนิแต่อีกคนก็ไม่ได้บกพร่องอะไร เรื่องการตั้งครรภ์ล้วนเป็นลิขิตสวรรค์
“เพคะ เช่นนั้นชวีหยาจะหารือฝ่าบาทเรื่องนี้” ชวีหยาแม้จะรู้ว่าถูกตำหนิแต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือการก้มหน้ายอมรับความจริงเสียการนิ่งเฉยมักจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
เดือนมีนา ปี2025
“บอกแล้วว่าไม่เอาผงชูรส เห็นไหมเนี้ย!?”ชายร่างสูงใหญ่เหมือนกับคนที่เข้าฟิตเนสในทุกวันยืนตะโกนชี้หน้าข้าวนึ่ง
ข้าวนึ่งหน้าซีดตัวสั่นไม่ได้กลัวไอ้หมอนั่นแต่กลัวว่าลูกค้าผู้หญิงตัวแดงไปทั้งตัว หน้าบวมด้วยฤทธิ์ผงชูรส(หรือเปล่า)จะตายเสียก่อน ส่วนคนที่ยืนด่าอยู่นั่นผู้ชายทั้งแท่งกล้ามใหญ่ตัวโตสีหน้าบอกว่าเอาเรื่องแน่ ในมือถือโทรศัพท์ถ่ายคลิปไปด้วย เมียก็ตัวแดงแปร๊ดแต่ผัวกำลังจ้องจะเอาเรื่องและไลฟ์สดเรียกยอดผู้เข้าชมไปด้วย ยุคนี้อะนะ
“ขอโทษค่ะ ฉันขอโทษจริงๆค่ะ” ยกมือไหว้ประหลกๆ พูดได้แค่นั้นก็จะไปสรรหาคำพูดแก้ตัวไงก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกค้าสั่งไม่ให้ใส่ผงชูรส น้องที่เป็นเด็กเสิร์ฟยืนเกาะหลังข้าวนึ่งไม่กล้าโผล่หน้าออกมา ก็ปกติแล้วข้าวนึ่งเป็นคูมแม่ของทุกคนนี่
“เขาไม่บอกหนูสักคำเอาแต่กดโทรศัพท์ แล้วหนูจะรู้ได้ไงพี่”น้องเด็กเสิร์ฟกระซิบเบาๆ ไอ้สามีของคนที่ตัวแดงๆนั่นเสือกได้ยินที่น้องมันพูดอีก
“ไม่สั่งก็น่าจะรู้ มากินที่นี่สองรอบแล้ว เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมจำไม่ได้”
“เอ้า”ข้าวนึ่งร้องเสียงหลง
“ไม่ได้เรื่อง! เราคือผู้บริโภคต้องเข้าแล้วไหม โง่จริงๆ” ทั้งสีหน้าและท่าทางของไอ้คนหุ่นล่ำนี่น่าซัดหน้าสักเปรี้ยง แต่เราไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงนะคะ
แต่คำด่าไม่ใช่คำสรรเสริญ ใครจะอยากได้ยินแล้วใครจะยินดี แต่ละวันลูกค้าเยอะมาก ใครจะไปจำได้ ก้มหน้าทำงานอย่างเดียว มาสองครั้งหวังให้จำหน้าได้ แล้วส้มตำไม่ใส่ผงชูรสเนี่ยนะมันกินได้หรือ ข้าวนึ่งถอนหายใจยาวพี่พ่อครัวที่ร้านรีบเข้ามากระตุกแขนข้าวนึ่งเบาๆอย่างห่วงใยแล้วเข้ามาแทรกกลาง กลัวว่าข้าวนึ่งจะหมดความอดทน
“รีบพาคุณผู้หญิงไปโรงพยาบาลก่อนดีไหมครับ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียเลยครับพรี้”
พี่พ่อครัวที่ร้านพูดอย่างประณีประนอมพลางแยกข้าวนึ่งให้ถอยไปก่อน แต่คนที่เป็นผัวจ้องข้าวนึ่งอย่างจะกินเลือดกินเนื้อยังไม่วายพูดใส่ข้าวนึ่ง
“เป็นแม่ครัวแต่ให้ทำอะไรง่ายๆไม่ได้ ไม่พยายามเลยนี่ น่าจะจำได้นะว่ามาทุกทีสั่งไม่ให้ใส่ผงชูรสทุกที เรื่องง่ายๆแค่นี้ไม่ใส่ใจก็ไปตายซะ” ข้าวนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกเจ็บปวดกับคำพูดนี้อย่างที่สุด ไม่เป็นก็ได้ว๊ะ! แม่ครัวใครเคยเป็นแบบนี้บ้างหัวร้อนเพราะคำพูดที่มันทำให้รู้สึกเจ็บปวด กว่าคำพูดหยาบคาย
“พูดดีดีนะโว๊ย! สั่งอะไร ถามอะไรก็ไม่บอก เอาแต่กดโทรศัพท์ธุระเยอะเกินนี่ ตอนสั่งก็ไม่เห็นบอกน้องว่าไม่ใส่ รู้ว่าตัวเองกินไม่ได้ไม่แน่ใจแล้วกินไปทำไมก่อน กินแล้วพอจะตายดันมาโทษคนทำ มาสองครั้งแหม๋มาบ่อยเกินนี่ ตั้งสองครั้งเชียว และคุณเมิงงงงเป็นอะไรก่อน เป็นเทวดาหรืองัยหรือว่าเป็นลิซ่า หรือเซียวจ้านต้องให้มาจำว่าเคยมาที่ร้าน วิเศษนักเหรอห๊ะ อย่าให้เจอข้างนอกนะ”
ข้าวนึ่งถอดผ้ากันเปื้อนปาลงกับพื้นยกมือเท้าเอวข้างหนึ่งอีกข้างชี้หน้าคนผัวที่ทำตาปริบๆ ทุกคนในที่นั้นต่างถอนหายใจยาวพร้อมๆกัน
ช่างแม่งวันนี้พรุ่งนี้ค่อยมาลาออก
เสี่ยวหนี่แทบลืมหายใจ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก ขาแทบไร้แรง แต่สุดท้ายก็ฝืนก้าวออกวิ่งไปยังเรือนในด้วยฝีเท้าสะเปะสะปะ บานประตูถูกผลักออกอย่างแรง ร่างของโจวหลิวเยว่เอนพิงหมอนข้างเรียบง่าย ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อซึมทั่วหน้าผาก สายตาพร่ามัว แต่ทันทีที่เห็นร่างเล็กในชุดคลุมฝุ่นก้าวเข้ามา ใบหน้าอ่อนแรงนั้นกลับแย้มยิ้ม“...หนี่เอ๋อร์...ลูกพ่อกลับมาแล้ว...” เสียงแหบพร่าเปล่งออกเบาๆ ทว่าทุกถ้อยคำชัดเจน“ท่านพ่อ...” เสี่ยวหนี่ทรุดเข่าลงข้างเตียง ดวงตาแดงก่ำก่อนจะพรั่งพรูด้วยหยาดน้ำตา นางจับมือของพ่อเอาไว้ มือที่เคยอบอุ่นมั่นคง ตอนนี้กลับเย็นชืดและเบาจนแทบไม่มีแรงบีบตอบ โจวหลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ ยิ้มให้เสี่ยวหนี่ทั้งที่แทบลืมตาไม่ขึ้น “ดีแล้ว...กลับมาทันเห็นหน้ากันอีกครั้ง...ไม่ต้องห่วงอะไร พ่อ...ไว้ใจเจ้า หนี่เอ๋อร์คือความภูมิใจที่สุดของพ่อ...”“ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ พักก่อน… ลูกจะหาท่านหมอที่ดีที่สุดสำหรับท่านพ่อ” เสี่ยวหนี่สะอื้นพึมพำ เอาผ้าชุบน้ำซับเหงื่อให้พลางกุมมือนั้นแน่น สะเทือนใจจนเสียงสั่นไม่เป็นคำ แต่โจวหลิวเยว่กลับยิ้มจางๆ ดวงตาพร่าที่เคยอ่อนโยนยิ่งนักมองบุตรสาวด้วยความรักยิ่ง “บ้า
บานประตูเปิดออกอย่างเงียบงัน ร่างสูงของโจวชัวก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ด้านข้างคือองค์หญิงสิบสี่อันหรูในอาภรณ์สีชมพูอ่อนงามละมุน ทั้งคู่ต่างคารวะพร้อมเพรียง“กระหม่อมขอถวายพระพรฝ่าบาท”โจวชัวประสานมือนอบน้อม “หม่อมฉันอันหรู ขอถวายพระพรเพคะ” อันหรูเหลือบตามองตงเจี้ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักหยางลี่พยักหน้ารับ“มาเถิด มีเรื่องอันใดหรือถึงได้พร้อมใจกันมาเข้าเฝ้าเช่นนี้”น้ำเสียงอ่อนโยนถึงแม้จะกำลังเศร้าสร้อยอยู่ก็ตามโจวชัวขยับกายก้าวออกมานิดหนึ่ง สายตาแน่วแน่ ริมฝีปากขยับเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น “กระหม่อมมาในฐานะว่าที่ไท่จื่อแห่งแคว้นซีเป่ย ขอพระบรมราชานุญาตและพระเมตตาจากฝ่าบาท ขอทัพสนับสนุนจากเมืองหลวงหนึ่งกอง เพื่อประกันความสงบในพิธีแต่งตั้งตำแหน่งไท่จือของข้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”หยางลี่เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ“เหตุใดจึงต้องขอกองทัพพิทักษ์งานแต่งตั้งของท่านเล่าไท่จือ ท่านคงไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำเรื่องอุกอาจในวันพิธี แล้วขอทัพของเราไปเพื่ออะไรกัน”อันหรูก้าวออกมาครึ่งก้าว เสียงของนางดังขึ้นอย่างมั่นใจแต่เปี่ยมด้วยกิริยางาม“พี่ใหญ่เพคะ..ไท่จือไม่กล้าพูดเรื่องนี้ในงานรื่นเริงของเรา น้องถามไ
ใต้แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยม่านหมอกแห่งฤดูเหมันต์ อวี่หรงกับเซียหยาก้าวออกจากตำหนักชิงหลาน ร่างของทั้งคู่เดินเคียงกันอย่างเงียบงัน ราวกับยังมีเสียงสะท้อนของคำพูดเมื่อครู่หลงเหลืออยู่ในอากาศเย็นจัด อวี่หรงก้มมองมือของตนที่กำแน่น แล้วพ่นลมหายใจออกช้าๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่น้ำเสียงแข็งกร้าว “ข้าจะไปเข้าเฝ้าไทเฮา เรื่องนี้ต้องถึงหูเสด็จแม่”เซียหยาหยุดเดิน พลิกตัวหันกลับมามองเขา เงาของนางทอดขวางทางบนพื้นหินหิมะบางๆ ที่เริ่มโปรยลงมา น้ำเสียงที่เงียบมาตลอดทางบัดนี้เปล่งออกอย่างนุ่มนวลแต่แฝงความหนักแน่น “องค์ชายรอง ข้ามีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ หากข้าเดาไม่ผิด...เสี่ยวหนี่คือคนที่ฝ่าบาทหลงใหลในรสมือใช่หรือไม่แต่ที่ไม่เข้าใจคือ เหตุใด...เหตุใดกุ้ยเฟยจึงต้องการจัดการกับเสี่ยวหนี่ถึงเพียงนี้”อวี่หรงหันกลับมามองนาง ใบหน้าที่เคยยิ้มระรื่นประจำยามนี้เคร่งขรึมในความมืด ดวงตาทอแสงคล้ายจะลุกไหม้ด้วยความคิดมากมายที่หมุนวนอยู่ในใจ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ “ข้าเองก็สงสัยมานาน แต่วันนี้…ข้ากระจ่างเสียที” เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้ายามค่ำที่พลุหลากสียังระเบิดเสียงแว่วๆ มาแต่ไกล “เสด็จพี่ของข้า หยางล
ตำหนักชิงหลาน ยามพลบค่ำ กลิ่นกำยานยังคละคลุ้งในอากาศ แต่บรรยากาศกลับร้อนแรงราวกับไฟเสียงของกุ้ยเฟยชวีหยาดังขึ้นอย่างเดือดดาล“ขังนางไว้แล้ว แล้วเหตุใดนางถึงโผล่ไปยืนอยู่ใต้หอรอฝ่าบาทเช่นนั้นได้ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”หรูซินคุกเข่าอยู่อย่างนอบน้อม โค้งศีรษะต่ำ น้ำเสียงสงบเยือกเย็น“กุ้ยเฟยโปรดอภัย ข้าทำตามคำสั่ง จับตัวนางไว้แล้วจริงๆ และกำลังจะมารายงาน..กุ้ยเฟย แต่เหม่ยซูใช้อำนาจพานางออกไปก่อน”ชวีหยากำมือแน่น ดวงตาลุกวาว“เหม่ยซู แค่ผู้ฝึกสอนนางในนั่นกล้าแทรกแซงคำสั่งข้าเชียวหรือ”“หลังจากข้าได้รู้เรื่อง ข้าตามหาเหม่ยซู หวังจะสอบถามที่อยู่เสี่ยวหนี่และจัดการ แต่...นางอยู่กับจ้าวหรานเจียวเสียก่อน นั่นเป็นคนของไทเฮา ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ หากข้าเข้าไปโดยไม่ได้รับบัญชาจากกุ้ยเฟยก่อน”ชวีหยาเงียบไป ดวงตาเปล่งประกายทั้งโกรธทั้งคิดหนัก รู้ดี...คนของไทเฮา หากคิดจะตัดตอน ต้องย่ำเท้าลงกลางท้องน้ำวนใหญ่พลาดพลั้งอาจจมน้ำตาย นั่นไม่ใช่เรื่องที่นางอยากให้เกิดในตอนนี้ จี้เหวินที่ยืนข้างหลังมานานก็พูดขึ้นลนลาน เสียงติดตะกุกตะกักราวกับพยายามจะเอาตัวรอดจากเรื่องนี้จี้เหวินไม่พร้อมเสี่ยงกับอะไรทั
เสี่ยวหนี่จับราวสะพานแน่น จ้องมองร่างสูงในชุดมังกรที่ยืนอยู่บนนั้น เสี่ยวอี้ที่ยืนเคียงข้าง อ้าปากค้างจนน้ำลายแทบไหล“คุณหนู... นั่น...นั่นไม่ใช่พ่อค้าหลี่...ใช่ไหมเจ้าคะ...เขา...เขา...”เสียงเสี่ยวอี้สั่นพร่า ดวงตาเบิกกว้างเหมือนจะร้องไห้หรือกรีดร้องก็ไม่รู้ เสี่ยวหนี่เอ่ยเสียงแผ่ว“...นั่น...ฮ่องเต้หยางลี่… หยางลี่พ่อค้าหลี หยางลี่ฮ่องเต้”เสี่ยวหนี่ขยับเท้าแทบไม่ออก แต่สติยังพอมี เสี่ยวหนี่กระชับมือเสี่ยวอี้แน่น“ไปเถอะ เราต้องรีบไปแล้ว”ก่อนนั้นคุกเข่าขอร้องเหม่ยซูว่าอยากมาลาใครบางคน ขอเวลาแค่ไม่เกินครึ่งชั่วยาม เหม่ยซูที่มองสถานการณ์นี้ว่าเสี่ยวหน่ควรไปได้แล้วไม่ควรอยู่ที่วังหลวงแม้เพียงเสี้ยววินาทีทั้งกุ้ยเฟยที่ตั้งใจเอาเรื่องกับอาการป่วยของบิดา แต่เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหนี่ลงทุนคุกเข่าต่อหน้าเหม่ยซูจึงพยักหน้าอย่างฝืนใจทั้งสองฝ่าฝูงชนที่แน่นขนัดออกมาอย่างยากลำบาก เสียงพลุ เสียงหัวเราะ เสียงกลองยังคงดังก้อง แต่หัวใจของเสี่ยวหนี่กลับเต้นไม่เป็นจังหวะในหัวมีแต่ความคิดซ้ำๆพ่อค้าหลี่คือฮ่องเต้...เขาโกหกข้า...ไม่สิ...เขาแค่...ปิดบัง...ปิดบังเพื่ออะไรกัน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากข
เสียงพิณ ดังแว่วหวานกังวานกลมกล่อม ผสานกับเสียงหัวเราะของผู้คนที่หลั่งไหลกันเข้ามาหน้าหอสูงหน้าประตูวังหลวงที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าพระราชวังใหญ่ มีกำแพงล้อมรอบลานโปรยเหรียญทองเหรียญเงินเริ่มคึกคัก ผู้คนต่างแหงนหน้ารอคอยวินาทีที่เหรียญทองเหรียญเงินจะร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมอันเป็นมงคลและมอบความโชคดีให้กับปีใหม่ที่จะมาถึงบนสะพานซึ่งทอดผ่านสระบัวใส ขันทีกวงซุนเดินเบียดฝูงชนฝ่าคลื่นผู้คนกลับมาหาหยางลี่ฮ่องเต้ที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงจุดที่ตกลงจะพบกัน“ฝ่าบาท… ใกล้ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากชักช้าไปกว่านี้ ผู้คนจะพากันวิจารณ์ได้…”หยางลี่หลุบตามองกลีบบัวที่ลอยนิ่งบนผิวน้ำ ก่อนจะถอนหายใจบางๆ พลางพยักหน้าอย่างอ่อนล้า“อืม… ไปกันเถอะ…”หยางลี่เอ่ยเรียบๆ แต่ฝีเท้าที่ก้าวออกจากสะพานกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง และผิดหวังจนยากจะอธิบายณ หอสูงหน้าประตูวังที่ยืนตระหง่านตรงหน้า หยางลี่ยืนนิ่งให้ขันทีกวงซุนสวมเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองทอง สง่างามราวเทพสวรรค์ แต่แววตากลับหม่นหมองดั่งฟ้าที่ไร้ดวงดาวเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนสุดของหอสูงเพื่อโปรยเงิน กุ้ยเฟยชวีหยาซึ่งงดงามดั่งหยกสลักยืนอยู่ริมแท
Comments