หลังถูกพรากลมหายใจอย่างอยุติธรรมจากฮูหยินเอกของแม่ทัพใหญ่ในชาติก่อน นางจึงยินยอมสวมรอยวิวาห์กับแม่ทัพตาบอดผู้ที่ใครก็หยามเหยียดแทนบุตรีขุนนางขั้นหนึ่ง ด้วยมาดมั่นจะทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่ตนในชาตินี้!
View Moreบนผิวน้ำยามค่ำคืนมีแสงสาดสะท้อนจากดวงจันทร์ส่องกระทบลงมาดั่งเส้นทางปีนสู่สรวงสวรรค์ ยามที่น้ำเคลื่อนไหวเป็นคลื่นขนาดเล็กพลันบังเกิดประกายพราวระยับดุจหมู่ดาวดารดาษ
ทว่าแสงที่ฉาบเป็นเงาสะท้อนความงดงามกลับซ่อนเร้นความเลวร้ายภายใต้จิตใจของมวลมนุษย์ อากาศหนาวเหน็บของราตรีกาลประสานกับความเย็นเยียบของสายธารากำลังกัดลึกกร่อนกระดูกใครบางคนจนไหวสะท้าน
สตรีร่างระหงถูกหินก้อนยักษ์ถ่วงดุลกายไว้ใต้ผืนน้ำ สติที่คงอยู่ค่อย ๆ เลือนรางลงทุกขณะ เมื่อถึงคราวตายผู้ใดเล่าจะริอ่านฝืน หลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อคว้าอากาศเข้าปอดอยู่นานนางก็รู้สึกว่าไม่มีทางทวงชีวิตที่ปรโลกริบไปได้อีก นางยินยอมจำนนต่อชะตาอันเลวร้ายนี้แล้ว
หนาวเหลือเกิน…
ชั่วพริบตาลมหายใจก็มลายหายไปดั่งไม่เคยมี
.
.
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
มือเรียวกระดิกไหวเชื่องช้า แพขนตาหนาค่อย ๆ ขยับแผ่ว เปลือกตาบางแง้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีนิลดั่งไข่มุกยามราตรีกลอกสำรวจสรรพสิ่งรอบกายหน้าฉงน
ข้ายังไม่ตายหรือ ผู้ใดช่วยข้าไว้กันนะ
“คุณหนู ได้ยินบ่าวหรือไม่เจ้าคะ”
หญิงสาวเบนความสนใจไปยังต้นเสียงแช่มช้า โลหิตแล่นขึ้นใบหน้าจนสมองอื้ออึง
อาหราน? อาหรานมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ดรุณีตรงหน้ามีนามว่าโปหราน นางเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูรองไป๋ หรือไป๋เฉินเซียง
ไป๋เฉินเซียงจำได้ว่านางได้ก้มหน้ารับชะตา ยอมเชื่อฟังบิดาเพื่อไปเป็นอนุของแม่ทัพทัพชิงหลง [1] นับปีแล้ว ส่วนโปหรานก็ถูกฮูหยินใหญ่นำตัวไปขายเป็นทาสให้จวนอื่น
ยามนั้นไป๋เฉินเซียงฟูมฟายอย่างหนัก เพราะเวทนาโปหรานจับใจ ไม่ว่านางจะวิงวอนเช่นไรใต้เท้าไป๋ก็ไม่ยินยอมให้โปหรานติดตามไป๋เฉินเซียงไปพร้อมขบวนเจ้าสาวด้วย
สตรีเมื่อออกเรือนก็เปรียบดั่งน้ำเสียที่ถูกสาดออกจากบ้าน เพราะไป๋เฉินเซียงเป็นคนหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายมาแต่ไหนแต่ไร เพื่อยกระดับขุนนางสุดต่ำต้อยที่ถือครองตำแหน่งเพียงขั้นหกที่กระหายในอำนาจเงินทอง ไป๋จื่อเหิงจึงยินยอมยกลูกสาวคนรองของตนให้เป็นน้อยผู้อื่นอย่างไม่มีหนังไม่มีหน้า [2] ผู้ที่นางเทิดทูนว่าคือบิดากลับผลักไสบุตรีลงนรกด้วยมือตนเอง
โปหรานมองท่าทีเฉยชาระคนงุนงงของไป๋เฉินเซียงก็รู้สึกไม่สบายใจ “คุณหนูไหวหรือไม่เจ้าคะ หรือว่ายังปวดหัวอยู่ หรือคุณหนูเจ็บคอจนพูดไม่ได้”
โปหรานหันรีหันขวางเร่งรินน้ำชาอุ่น ๆ ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบ จากนั้นก็ขยับตัวเพื่อช่วยพยุงร่างไป๋เฉินเซียงให้พิงกับหัวเตียงและสามารถเอนหลังได้สะดวก
“น้ำเจ้าค่ะ”
ไป๋เฉินเซียงกลายเป็นเบื้อใบ้ชั่วขณะ นางรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงตัดสินใจรับถ้วยชาและกระดกดื่มให้คอโล่งก่อน ต่อมาก็เอ่ยปากคำแรก
“อาหราน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านพ่อไปพาเจ้ากลับมาหาข้าแล้วหรือ”
โปหรานฉงน บังเกิดเมฆหมอกแห่งความสงสัยปกคลุมเต็มศีรษะ “คุณหนูหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ บ่าวก็อยู่กับคุณหนูตลอดยังไม่ไปที่ใด ทว่าก่อนหน้าก็เพียงแวะไปหยิบขนมให้คุณหนูเท่านั้น กลับมาอีกทีคุณหนูก็ตกน้ำจนหมดสติ เรื่องนี้ต้องโทษบ่าว...เป็นเพราะบ่าวไม่ดีเองเจ้าค่ะ”
คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย ไม่นานก็ขมวดแน่น สีหน้าของโปหรานเศร้าสลดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อลองตรองถึงคำว่าตกน้ำศีรษะของไป๋เฉินเซียงก็ชาหนึบขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
“คุณหนูปวดหัวหรือเจ้าคะ นอนพักก่อนนะเจ้าคะ บ่าวจะเร่งไปแจ้งนายท่านและจะตามหมอมาประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ คุณหนูรอบ่าวก่อนนะเจ้าคะ” โปหรานหมุนกายด้วยความเร่งร้อน ไม่ทันออกเดินแขนของนางก็ถูกคว้าเอาไว้
“อาหราน อย่าเพิ่งไป”
โปหรานยอบกายลงนั่งขนาบข้างผู้เป็นนาย “คุณหนูต้องการสิ่งใดเพิ่มหรือเจ้าคะ”
หลังจากเงียบเพื่อตรึกตรองซ้ำไปมาหลายหน ไป๋เฉินเซียงก็นึกบางอย่างออก คำว่าตกน้ำได้กระตุ้นความรู้สึกที่กดลึกอยู่ใต้จิตใจให้ปรากฏขึ้น
“อาหราน นี่เดือนใดหรือ”
โปหรานแทบร้องไห้โฮ ประเมินจากสายตาและอาการคุณหนูของนางแล้วประหนึ่งผู้ป่วยความจำเสื่อม แต่ยังโชคดีที่ไป๋เฉินเซียงนั้นเรียกชื่อของโปหรานถูก
“คุณหนู ท่านคงไม่ได้ความจำเสื่อมกระมังเจ้าคะ” โปหรานอึกอัก
คิ้วสวยเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง ไป๋เฉินเซียงกวาดสายตาเพื่อสำรวจความผิดปกติของบรรยากาศโดยรอบ ม่านแพรสีขาวปักลายมู่ตานที่นางทำเอง ยังห้อยระย้าตรงริมหน้าต่าง มองลอดออกไปด้านนอกยังเห็นยอดเขาสูงชันสุดลูกหูลูกตา
ที่นี่คือเรือนสกุลไป๋และเป็นห้องเดิมของนางไม่ผิดแน่ สิ่งที่น่าฉงนก็คือ นางกลับมาที่จวนสกุลไป๋ได้อย่างไร ในเมื่อไป๋เฉินเซียงแต่งงานออกไปครบหนึ่งปีแล้ว หนำซ้ำโปหรานยังเรียกนางว่าคุณหนูอีกด้วย
“คุณหนูเจ้าคะ นี่ซานเยว่ [3] แล้วเจ้าค่ะ ไม่นานก็จะเข้าซื่อเยว่ [4] ”
เส้นโลหิตบนหน้าผากของไป๋เฉินเซียงกระตุกริก ๆ ไป๋เฉินเซียงเริ่มจะปะติดปะต่อบางอย่างได้แล้ว ในเมื่อนางแต่งงานไปตั้งแต่ต้นซื่อเยว่แล้วจะยังมานอนอยู่ที่ห้องเดิมของตนได้อย่างไร
ไป๋เฉินเซียงต้องการเวลาอีกหน่อย นางส่งยิ้มให้โปหรานเต็มดวงตา “เจ้าไปตามหมอมาเถิด”
ไป๋เฉินเซียงปล่อยมือ โปหรานเห็นใบหน้าที่ซีดขาวซับสีเลือดฝาดก็วางใจไปเปลาะหนึ่ง นางไม่อยากซักไซ้ต่อเพราะเกรงว่าไป๋เฉินเซียงอาจเกิดปวดศีรษะขึ้นกะทันหัน
คนเพิ่งฟื้นจากอาการจมน้ำ โปหรานคิดว่าสมองต้องได้รับความกระทบกระเทือนมาบ้างแน่ เพราะหากคนเราอยู่ใต้น้ำนาน ๆ ย่อมทำให้ขาดอากาศไปหล่อเลี้ยงส่วนของความนึกคิด จนสามารถทำให้ความทรงจำบางส่วนเลือนหาย
ไป๋เฉินเซียงมองตามแผ่นหลังสาวใช้คนสนิทจนลับตา ขาเสลาหย่อนลงจากเตียง ไป๋เฉินเซียงสำรวจขาของตน ก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลที่เกิดจากโซ่ตรวนนั้นแล้ว
ข้ากลับมาแล้วจริง ๆ หรือ
ไป๋เฉินเซียงยกมือทั้งสองฝั่งของตนขึ้นมาสำรวจ ยามนี้ผิวกายของนางขาวผ่องและผุดผาดไร้ร่องรอยของการทุบตีและฟกช้ำ มุมปากของนางพลันกระตุกแผ่ว
โอกาสจากโชคชะตา นี่สวรรค์กำลังให้โอกาสข้า
ไป๋เฉินเซียงรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องสุดอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ เดิมทียามนี้นางควรไปข้ามแม่น้ำเหลืองเพื่อตัดสินความดีความชั่วและรอชดใช้กรรมที่สัมปรายภพ ทว่านางกลับมานั่งกระดิกขาที่ห้องตัวเองก่อนวันแต่งงานเพียงหนึ่งเดือน
ไป๋เฉินเซียงจำเรื่องราวทุกอย่างได้หมดแล้ว กระทั่งความเจ็บปวดแสนสาหัสที่นางได้รับในยามที่เป็นอนุท้ายเรือนของแม่ทัพใหญ่สกุลหลาน ความรู้สึกเหล่านั้นถาโถมเข้ามาดั่งสายน้ำคลั่ง ประดังประเดดุจพายุหมุน
ในตอนนั้นไป๋เฉินเซียงถูกภรรยาเอกของแม่ทัพชิงหลงใส่ความว่าคบชู้สู่ชาย จึงตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ใช้เหล็กร้อนดั่งเพลิงนรกทาบไปยังสองข้างแก้มของนางจนเนื้อพุพองไม่พอ ยังเฆี่ยนตี จองจำ และทรมานไป๋เฉินเซียงอย่างแสนสาหัส
สามีก็ทำราวกับนางเป็นเพียงของเล่นให้ภรรยาเอกตน เขาไม่ช่วยเหลือไม่ขัดขวาง เขาพูดเพียงคำว่า
เรื่องของเรือนหลัง ฮูหยินใหญ่เป็นคนจัดการ คนผิดก็ต้องลงโทษไปตามผิด
ไป๋เฉินเซียงนึกถึงคำคำนี้ก็เผยยิ้มเย็นออกมา ในตอนที่เขาต้องการนางก็ออกคำสั่งจนบิดาร้อนใจกระทั่งจับนางโยนเข้ากับดักสกุลหลาน เมื่อแม่ทัพใหญ่สมดังปรารถนาก็เขี่ยนางทิ้งประหนึ่งเศษซากสิ่งไร้ชีวิตที่ไม่ต้องการ
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บแค้นอยู่ในใจ ไป๋เฉินเซียงปรายตามองใบหน้าซีดขาวของตนบนคันฉ่องไม่ไกลนัก มือเรียวยกขึ้นลูบสองข้างแก้มที่เคยอัปลักษณ์น่าเกลียด
ความสะสวยของนางกลับมาแล้ว นางได้ย้อนเวลากลับมาจริง ๆ ความรู้สึกอึดอัดในใจจางลงเล็กน้อย กลีบปากสีกุหลาบยกโค้งบางเบาทว่ากลับประหนึ่งหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม แม้ความเจ็บปวดทางกายจะเลือนหาย ทว่าความทรมานในใจนั้นยังคงอยู่
แอ๊ด…
เสียงประตูบานหนาเปิดออก ไป๋เฉินเซียงช้อนตามองไปข้างหน้า ชายร่างท้วมถลันเข้ามาด้วยความดีใจ
“เซียงเซียง!”
ชายวัยกลางคนสวมกอดบุตรสาวประหนึ่งรักใคร่ ทว่าความรักของบิดาผู้นี้ไป๋เฉินเซียงกลับไม่ได้ซาบซึ้งเลยสักกระผีกริ้น ไป๋จื่อเหิงแสดงท่าทีเช่นนี้คงเกรงว่าตนอาจขาดผลประโยชน์ที่เหลือเพียงหนึ่งไปเท่านั้น
ไป๋เฉินเซียงตัวแข็งทื่อไม่พูดจาใด ไป๋จื่อเหิงผละห่าง กวาดสายตาสำรวจเรือนร่างบุตรสาว “เซียงเซียง ไม่เป็นไรใช่ไหมลูก ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
ไป๋เฉินเซียงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ทว่ากลับซ่อนคมมีดเอาไว้เพื่อกรีดแทงใจคน “ดีที่ยังไม่ตายเจ้าค่ะ”
ไป๋จื่อเหิงผงะ ไป๋เฉินเซียงไม่เคยแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องต่อบิดาเช่นนี้มาก่อน ใต้เท้าไป๋ปรายตามองโปหรานด้วยความสับสน โปหรานเห็นท่าทีเย็นชาดั่งหุบเขาน้ำแข็งของไป๋เฉินเซียงก็รู้สึกฉงนไม่ต่างกัน นางฉีกยิ้มฝืดฝืนให้ผู้เป็นนาย ไป๋จื่อเหิงขมวดคิ้วแน่น
หรือว่านางความจำเสื่อมจริง ๆ แล้วพิธีวิวาห์จะทำอย่างไร
เชิงอรรถ
^ ชิงหลง มังกรคราม青龍 อสูรแห่งทิศตะวันออก
^ ไม่มีหนังไม่มีหน้า หมายถึง หน้าไม่อาย
^ 三月 ซานเยวฺ่ (sānyuè) มีนาคม
^ 四月ซื่อเยวฺ่ (sìyuè)เมษายน
หลานอี้ซินส่ายศีรษะ มือยังถือม้วนภาพกำไว้จนแน่น ภายในใจยามนี้ดุจดั่งมีเส้นด้ายล่องหนมัดตัวเขาไว้ พริบตาหลานอี้ซินก็สะบัดกายขึ้นรถม้าไม่พูดไม่จา ทิ้งให้หลีซงยืนอ้าปากหวองุนงงจวบจนรถม้าเคลื่อนออกไปเว่ยเสี่ยวเฉินย้ายสายตาจากสหายกลับมายังองครักษ์ร่างสูงที่ยังยืนเป็นเบื้อใบ้เว่ยเสี่ยวเฉินเรียกสติ “หลีซง หากเจ้าไม่ไปยามนี้ เกรงว่าคงได้เดินกลับเองแล้วกระมัง”หลีซงหลุดจากภวังค์ “อ้อ...เช่นนั้นลาก่อนคุณชาย”ต่างฝ่ายต่างค้อมตัวเป็นมารยาทแก่กันเล็กน้อย“แล้วพบกันใหม่ อย่าลืมสิ่งที่ข้าฝากฝังนายของเจ้าด้วยเล่า”“ขอรับ”เว่ยเสี่ยวเฉินมองตามแผ่นหลังหลีซงพลางแย้มยิ้มสว่างเจิดจ้าดั่งดวงตะวันทอแสง พริบตาร่างสูงก็หมุนกายกลับเข้าไปในจวนรถม้าเคลื่อนไปตามเส้นทางเรียบเรื่อย จากเมื่อคืนที่มีการจัดงานครึกครื้นก็เงียบลงถนัดตา เหลือเพียงบางร้านที่ยังเก็บข้าวของไม่เรียบร้อยหลีซงกระโจนขึ้นรถม้า “ท่านแม่ทัพ”“เข้ามาเถิด”หลีซงแหวกม่านประตูสีเข้มที่ปักลายพยัคฆ์ด้วยเส้นด้ายไหมทองคำออก ขาสูงเยื้องย่างเข้าไปด้านในก่อนหย่อนกายลงฝั่งตรงข้
กว่าจะกลับถึงที่หมายก็เล่นเอาหอบ ไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองม่านเมฆาพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างนึกปลดปลง“ศิษย์น้อง เจ้าไม่ได้พักที่โรงเตี๊ยมหรือ”ไป๋เฉินเซียงตกใจหน้าเปลี่ยนสี “ศิษย์พี่ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง หากข้าหัวใจวายตายจะทำเช่นไร”นักพรตน้อยเกาจวิ้นถือโคมไฟส่องแสงสว่างอยู่ในมือ ริมฝีปากยกยิ้มบาง “ขออภัย ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับตอนฟ้าสางเสียอีก นี่ใกล้ถึงต้นยามเหม่า [1] แล้ว ข้าและท่านอาจารย์จึงออกมาเข้าฌานแต่เช้าตรู่”ไป๋เฉินเซียงยิ้มแห้ง ต่อมาก็อ้าปากหาวหวอดใหญ่ “ข้าเที่ยวเล่นเพลินไปหน่อย เห็นว่าไม่กี่ชั่วยามก็คงเช้า เลยไม่พักโรงเตี๊ยมให้สิ้นเปลืองเจ้าค่ะ”นักพรตน้อยเกาจวิ้นตาโต “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงแกร่ง แต่การขึ้นเขาลำพังก็อันตรายมาก เงินไม่กี่ตำลึงไยถึงตระหนี่เพียงนี้ นั่นคุ้มค่าให้เจ้าเสี่ยงหรือ”“ศิษย์พี่ ท่านเอะอะอันใด อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะเดี๋ยวริ้วรอยขึ้นก่อนวัยไม่รู้ด้วยนะเจ้าคะ ตลอดเส้นทางนั้นราบรื่นมาก ไม่มีอันตรายใดกล้ำกรายข้าแม้แต่ปลายเส้นผม” ไป๋เฉินเซียงยกปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี
ในคืนเทศกาลโคมไฟเว่ยเสี่ยวเฉินไม่ได้พูดเปล่า เขาออกตามหาไป๋เฉินเซียงจริง ทว่าแทบพลิกแผ่นดินหา เขาก็ยังหานางไม่พบ กระทั่งถอดใจเดินคอตกกลับเรือนอย่างจำนน“เจ้ากับนางคงไร้วาสนาต่อกัน” หลานอี้ซินเอ่ยเสียงเรียบเว่ยเสี่ยวเฉินกระเง้ากระงอด “เจ้าเงียบปากไปเลย คนเช่นเจ้าเชื่อเรื่องบุญวาสนาตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้ากับนางมีวาสนาร่วมกันแน่ ข้าเชื่อว่าจะต้องได้พบนางอีก”บุรุษร่างสูงกระแทกกายนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ขัดฝั่งตรงข้าม เวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นยามโฉ่ว [1] เว่ยเสี่ยวเฉินเหลือบซ้ายแลขวา “เอ๊ะ หลีซงเล่า เขาไม่ได้เข้ามาด้วยหรือ”หลานอี้ซินยกชาขึ้นจิบ “ไปแล้ว”“หา…ไปไหน องครักษ์เจ้าคงไม่ได้ไปหาสาวงามกระมัง หากบอกว่ากลับจวนสกุลหลานเขาคงไม่ทิ้งเจ้าไว้ลำพังแน่”“ทำไม เจ้าคร้านจะดูแลสหายตาบอดงั้นหรือ”“โธ่ เหตุใดแม่ทัพไป๋หู่ผู้เกรียงไกรจึงมีถ้อยคำน้อยอกน้อยใจเยี่ยงสตรีไปได้ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย” เว่ยเสี่ยวเฉินหรี่ตาพลางสำรวจใบหน้าหล่อเหลาทว่าสีหน้าของเขากลับเฉยชาดั่งดินปั้นไม้แกะสลัก&n
ไป๋เฉินเซียงไม่ได้เดินทางกลับในทันที เพราะค่ำคืนนี้เป็นเวลามืดมากแล้วหากเดินเท้าขึ้นเขาลำพังเกรงว่าจะเกิดอันตราย“เถ้าแก่หนึ่งห้อง”“เถ้าแก่หนึ่งห้อง”เสียงสอดประสานดังขึ้นหน้าโต๊ะรับรองของโรงเตี๊ยม ไป๋เฉินเซียงเหลือบมองบุรุษร่างสูงผ่านแพรผืนโปร่ง“นายท่านทั้งสอง ขออภัยจริง ๆ วันนี้เทศกาลโคมไฟ ผู้คนจึงเข้ามาพักมากกว่าปกติ ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งห้องขอรับ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกไป๋เฉินเซียงพิเคราะห์มือเรียวยาวของอีกฝ่าย ดูไปแล้วดั่งชายงามไม่เคยตรากตรำงานหนัก เมื่อเทียบกับมือที่ปรุงโอสถเก็บสมุนไพรของนางแล้วยังรู้สึกด้อยกว่าบุรุษเช่นเขาอยู่หลายขุมไป๋เฉินเซียงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ต่างฝ่ายต่างเลื่อนก้อนเงินไปตรงหน้าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมไป๋เฉินเซียง “เถ้าแก่ แต่ข้ามาก่อนเขา”“เอ๋ เอ๋ น้องชาย เจ้าเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเรามาพร้อมกัน” บุรุษหน้าวสันต์กล่าวอย่างใจเย็น ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มพราวระยับเต็มไปด้วยกลิ่นอายหยอกล้อ“แล้วท่านจะเอาอย่างไร วันนี้ข้าต้องการห้องพัก”เถ้าแ
เด็กน้อยเหล่านั้นนิ่งเงียบ สมองขบคิดตามสิ่งที่ไป๋เฉินเซียงเอ่ยก็น้ำตาคลอ ไป๋เฉินเซียงผินหน้ามองไปยังเด็กชายที่เป็นหัวหน้า จากนั้นส่งยิ้มให้เขาผ่านแพรผืนโปร่ง “พวกเจ้ากินน้ำแข็งไสก่อนเถิด เงินนั่นไว้พบเจ้าของแล้วเจ้าก็นำไปคืน จำเอาไว้คนเราไม่มีผลงานไม่รับเงิน เช่นนั้นข้าจะให้พวกเจ้าสร้างผลงานสักครา แล้วเงินนี่จะมอบให้เจ้าทุกคน ดีหรือไม่ ถือเสียว่ายื่นหมูยื่นแมว”ไป๋เฉินเซียงปลดถุงเงินลงจากข้างเอวพลางยื่นส่งไปด้านหน้า เด็ก ๆ ตาโต ฮือฮากันยกใหญ่“ได้ ขอเพียงไม่ใช่งานผิดศีลธรรมใด พวกข้าย่อมรับปาก”ไป๋เฉินเซียงพึงพอใจในคำตอบ กวาดสายตาสำรวจเด็กชายที่เป็นหัวหน้าก็พบว่าเขานั้นดูผิวพรรณดีทีเดียว ความคิดความอ่านก็ดูฉลาดหลักแหลมรู้จักระแวดระวังตัวไม่คล้ายกับเด็กขอทานทั่วไป“แน่นอนว่างานของข้าอยู่ในศีลธรรม”ไป๋เฉินเซียงยืนมองเด็ก ๆ ละเลียดกินน้ำแข็งไสที่ตรอกคับแคบห่างจากในงานเทศกาลไม่มากนัก ตอนเข้ามาไป๋เฉินเซียงพบป้ายประกาศตามหาหมอรักษาคุณหนูตระกูลวู นางจำได้ว่าตระกูลวูมีลูกสาวเพียงคนเดียวและดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับคนตระกูลหลานเช่นกันเด็กข
“ท่านพี่ เขา!…” ไป๋อีถิงหันไปฟ้องอย่างโมโห ทว่าเมื่อเหลียวหน้ากลับจำเลยก็ชิ่งหายตัวไปเสียก่อน “อ้าว…หายไปไหนแล้ว หึ ชนคนอื่นแล้วยังหนีอีก ไร้ความรับผิดชอบ”สาวใช้ของนางแบมือออก “อนุไป๋ เมื่อครู่คุณชายท่านนั้นฝากขอโทษท่านเจ้าค่ะ คุณชายบอกว่านี่ชดเชยค่าเสียหายสำหรับค่ายาและอาภรณ์ของท่าน”ไป๋อีถิงหลุบตามองก็พบตำลึงเงินในมือสาวใช้ “เขาคิดว่าเงินแค่นี้ก็จบปัญหาได้งั้นรึ”ไป๋อีถิงปัดมือสาวใช้จนเงินในมือกระเด็น สาวใช้เบิกตากว้างตระหนกตื่น มองตามก้อนเงินกลิ้งหลุน ๆ ห่างออกไป ไม่ทันได้เก็บกลับคืนเด็กไร้บ้านคนหนึ่งก็วิ่งตัดหน้าเข้ามา จากนั้นก้มหยิบก้อนเงินไปหน้าตาเฉย“โอ้โห เงิน เงิน เยอะเสียด้วย”เด็กหญิงหนึ่งชายอีกสองล้วนแต่งกายมอซอกรูเข้ามารุมล้อมเด็กชายที่เก็บเงินได้ พวกเขาร้องตะโกนดีอกดีใจ “จริงด้วยพี่ใหญ่วันนี้ลาภปากแล้ว”“เย่ เย่ ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันเถอะ”เด็กน้อยวิ่งห่างออกไป สาวใช้มองตามตาละห้อย “อนุไป๋…”“ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิ เงินไม่กี่ตำลึง ข้าไม่สนหรอก อย่าให้เจออีกเชียวข้าจะจัดการเขาให้ถึงที่สุด”“พอแล้ว ช่างเถอ
Comments