เสี่ยวจู้ หมูเทพที่ยังไม่ฟักออกจากไข่ ถูกสร้างขึ้นจากพลังเทพขององค์หญิงแห่งวังมังกรเพื่อช่วยนางหาสมุนไพรและปรุงยาเทพ วันหนึ่งขณะที่องค์หญิงออกไปหาสมุนไพรในป่าสวรรค์ชั้นใน หลานชายจอมซนเห็นไข่กลม ๆ ก็นึกว่าเป็นของเล่นอาหญิงที่น่าจะสร้างมาให้เขา เขาจึงนำไข่ไปเล่นที่ลานกลางวังมังกร เล่นไปเล่นมาสักพัก องค์ชายน้อยก็เบื่อเลยเขวี้ยงไข่ทิ้งไปโดยไม่สนทิศทาง ทำให้ไข่บินออกไปจากวังแล้วชนเข้ากับบ่อน้ำซึ่งเป็นทางลงไปสู่โลกมนุษย์จนเปลือกไข่แตกออก เสี่ยวจู้ที่อยู่ในไข่ตกใจที่ตนเองฟักออกมาก่อนเวลาแถมยังกำลังลอยละลิ่วลงมาจากฟากฟ้าพร้อมเปลือกไข่อีกส่วนหนึ่ง หมูน้อยตกใจมากที่ตนเองกำลังลงไปที่โลกมนุษย์และหวาดกลัวว่าตนเองจะกลับสวรรค์ไม่ได้ กระทั่งเสี่ยวจู้ตกลงไปยังป่าสัตว์อสูรแห่งหนึ่งในโลกมนุษย์ เสี่ยวจู้จึงคิดได้ว่าจะต้องหาคนมาทำพันธะสัญญาจนกว่าคนผู้นั้นจะเป็นเทพเซียน ตนเองจึงจะกลับไปยังสวรรค์ได้ ภารกิจตามหาและช่วยเหลือนายคนใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น
더 보기ครึ่งเซียนคนหนึ่งที่ถูกพลังของเสี่ยวจู้ทั้งตัวทับอยู่จนไม่สามารถต่อสู้ได้ ได้แต่ร้องอย่างเจ็บปวดเพราะตอนนี้กระดูกทั่วทั้งตัวของเขานั้นลั่นกรอบแกรบไปหมด ทั้งที่เขาเป็นถึงครึ่งเซียนแต่กลับพลาดท่าให้สัตว์อสูรระดับสวรรค์ตัวหนึ่ง โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเสี่ยวจู้ถึงแม้จะมีระดับต่ำแต่เมื่อรวมกับพลังสัตว์เทพแล้วก็สามารถต่อสู้กับครึ่งเซียนได้ไม่ลำบาก ยิ่งเมื่อเสี่ยวจู้ขยายร่างเต็มที่ ความสามารถในการปกป้องตนเองและพลังต่อสู้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยจนไม่อาจคาดเดา“โอ้
เมื่อขบวนออกจากเมืองหลวงจนถึงที่พักสัตว์อสูรของแคว้นชิง เสี่ยวจู้ที่มากับเจิ้งกั๋วกงก็ขยายร่างกายให้ใหญ่โตเพื่อให้คนยกเกี้ยวของเจิ้งหลินขึ้นไป เจิ้งกั๋วกงเองก็เก็บม้าทมิฬเอาไว้ในมิติจิตของตนและขึ้นไปนั่งบนหลังเสี่ยวจู้เป็นเพื่อนหลานสาวเพื่อพูดคุยกันระหว่างทาง ชินอ๋องเองก็นั่งบนกิเลนไฟปากมากของพระองค์เพื่อป้องกันอันตรายระหว่างทาง ยังดีที่มันไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเสี่ยวจู้เหมือนทุกครั้ง อาจเพราะในขบวนมีคนในแคว้นชิงจำนวนมาก กิเลนไฟจึงไม่อยากทำตัวเหลาะแหละเหมือนที่ผ่านมาเวลาอยู่กับชินอ๋องสองคน
สองสัปดาห์ต่อมา อู๋อิง หานชิงและเซียวเหมยต่างบอกลาเจิ้งหลิน เพราะถึงเวลาที่พวกนางจะต้องเดินทางกลับบ้านยังต่างเมืองเพื่อทำพิธีปักปิ่นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เจิ้งกั๋วกงยังมอบของขวัญปักปิ่นให้ทุกคน เนื่องจากไม่สามารถไปร่วมงานด้วยตนเองได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทำเอาพวกนางต่างซาบซึ้งในความเมตตาของเจิ้งกั๋วกงที่มีให้มาตลอดเวลาที่มายังจวนกั๋วกง
ชินอ๋องดูแลเจิ้งหลินจนนางอาการดีขึ้นมากแล้ว พระองค์จึงหันไปคุยกับเจิ้งกั๋วกงถึงเรื่องฤกษ์แต่งงานที่เสด็จแม่หามาให้“ท่านตาเจิ้ง เสด็จแม่ของเราหาฤกษ์แต่งงานได้เป็นวันที่แปดเดือนหน้า ไม่ทราบท่านตาเจิ้งคิดอย่างไร”“หืม? ไม่เร็วเกินไปหรือพะย่ะค่ะ เจิ้งหลินเ
สามวันต่อมา ด้วยยาที่หมอหลวงจัดให้ ตอนนี้อู๋อิงหายดีแล้ว พวกนางจึงตั้งใจที่จะกลับสำนักในวันนี้ ชินอ๋องพอทราบจึงเลี้ยงส่งทุกคนเพื่ออำลา พระองค์ยังสัญญากับเจิ้งหลินด้วยว่าวันปักปิ่นจะไปถึงแคว้นหนานก่อนล่วงหน้าสามวัน“ขอบพระทัยชินอ๋องที่ให้เกียรติเพคะ เช่นนั้นพวกหม่อมฉันขอทูลลา” เจิ้งหลินค้อมกายคารวะชินอ๋องก่อนจะขึ้นหลังเสี่ยวจู้ตามสหายไป
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ชินอ๋องนำทางกลุ่มของเจิ้งหลินไปยังภูเขาโหย่วชิงเพื่อตามหากวางทองระดับฟ้ากระจ่างขั้นสูง ซึ่งเป็นภารกิจของหานชิง โดยพระองค์นั่งบนหลังปักษายักษ์ไปกับองครักษ์ทั้งสี่ ส่วนเจิ้งหลินกับสหายนั้นยังคงนั่งกันบนหลังของเสี่ยวจู้เช่นเคย กว่ากลุ่มของพวกเขาจะไปถึงภูเขาโหย่วชิงก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี ชินอ๋องจึงชวนทุกคนนั่งพักผ่อนใกล้ริมน้ำแห่งหนึ่งบนภูเขาก่อนค่อยออกตามหากวางทอง พระองค์เองก็ไม่ทราบว่ากวางทองระดับฟ้ากระจ่างขั้นสูงอาศัยอยู่บริเวณไหนในภูเขากันแน่ แต่ในเมื่อมาถึงแล้วพระองค์ก็จะช่วยพวกเขาจับกวางทองให้
댓글