โม่ชิงเยว่เป็นฮูหยินจวนโหวที่สามีไม่โปรดปราน แม่สามีรังเกียจ มีน้องสาวของสามีคอยพูดจาทำร้ายจิตใจ อีกทั้งยังมีอนุหน้าตางดงามมาคอยแย่งชิงความโปรดปรานจากสามี แต่นางหาใส่ใจไม่เพราะสิ่งเดียวที่นางให้ความสนใจก็คือเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยที่นางให้กำเนิดเพียงเท่านั้น เดิมทีโม่ชิงเยว่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือนหลังอย่างสงบตามที่มารดาเคยสอนสั่ง แต่ยิ่งอ่อนน้อมก็ยิ่งถูกเหยียบย่ำ แถมสามีที่คิดจะพึ่งพาก็ไม่เคยอยู่ให้นางได้พึ่งพา นางเฝ้ารอคอยการกลับมาของเขาจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ผลสุดท้ายเมื่อค้นพบโลกในความฝันอันเจิดจรัสนางจึงคิดได้ว่าทำไมสตรีเช่นนางจะต้องมัวแต่รอพึ่งพาบุรุษด้วยเล่า ในเมื่อตัวนางก็มีสองมือสองเท้าเช่นเดียวกันกับเขา ดังนั้นลูกๆ สองคนนี้นางจะขอเลี้ยงดูพวกเขาด้วยตนเอง
View Moreณ.เรือนเหมันต์ เรือนหลังอันห่างไกลของจวนนิ่งอันโหว โม่ชิงเยว่นอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยความสับสน เมื่อครู่นี้นางไม่แน่ใจว่านางฝันไปหรือวิญญาณหลุดจากร่างออกไปท่องเที่ยวมากันแน่ สถานที่ที่นางไปแตกต่างจากที่นี่เป็นอย่างมาก ที่แห่งนั้นผู้คนแต่งกายแปลกตาเดินขวักไขว่ไปมาอย่างน่าเวียนหัว ยานพาหนะมีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดและมีหลากหลายประเภท มีทั้งที่วิ่งอยู่บนท้องถนนและวิ่งบนราง มีทั้งวิ่งบนน้ำและบินอยู่เหนือศีรษะ ผู้คนใช้ยานพาหนะเหล่านี้สัญจรไปมาใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถไปถึงที่หมายที่อยู่ไกลหลายร้อยลี้ได้แล้ว
นางที่ทั้งชีวิตถูกจองจำอยู่แต่ในเรือนหลังพอได้เห็นสิ่งที่แตกต่างออกไปจากการรับรู้ก็เข้าใจว่าตนเองได้อยู่บนสรวงสวรรค์เสียแล้ว สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกชอบในสถานที่แห่งนั้นก็คือสตรีมีความเท่าเทียมกับบุรุษ พวกนางไม่ใช่แค่เพียงเปิดเผยใบหน้าออกไปทำงานหาเงินเข้าบ้าน แต่พวกนางยังมีสิทธิและเสรีภาพทำสิ่งต่างๆ ได้ตามที่ใจของพวกนางต้องการ และที่สำคัญพวกนางไม่จำเป็นต้องเก็บงำความรู้ความสามารถของตนเอง สตรีบางคนมีหน้าที่การงานเหนือกว่าบุรุษเสียด้วยซ้ำ
โม่ชิงเยว่เฝ้าวนเวียนล่องลอยอยู่ในสถานที่แห่งนั้นด้วยความหลงใหล และเฝ้าเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่นางสามารถเรียนรู้ได้อย่างเพลิดเพลินและคิดว่าถ้าหากนางได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็คงดี แต่แล้วความเป็นจริงก็ปลุกให้นางตื่น ถ้าหากนางยังคงวนเวียนอยู่ที่นั่นต่อแล้วลูกชายและลูกสาวตัวน้อยของนางจะเป็นเช่นไร ดังนั้นนางจึงต้องรีบตื่นขึ้นมาแล้วเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้าย
“ฮูหยินท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยสาวใช้คนสนิทที่มาจากบ้านเดิมของนางสอบถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ลูกๆ ของข้าล่ะ” โม่ชิงเยว่สอบถามสาวใช้ของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย นางล้มป่วยมาหลายวันแล้วเดิมทีนางคิดว่าตนเองจะไม่รอดแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าตนเองยังคงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้นางจึงสอบถามถึงลูกชายและลูกสาวของตนเป็นอันดับแรก
“คุณชายและคุณหนูหลับไปแล้วค่ะ เมื่อครู่บ่าวต้มน้ำแกงไข่ให้ดื่มประทังหิวไปก่อนแล้ว” เมื่อชุ่ยเหมยตอบเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยายามฝืนร่างกายของตนเองแล้วขยับกายขึ้นมานั่ง เจ้าไปเอากล่องเครื่องประดับของข้ามาให้ข้าหน่อย” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ส่ายหน้า
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านให้บ่าวเอาเครื่องประดับไปขายจนแทบจะไม่เหลือสิ่งใดที่ขายหรือว่าใช้แลกเงินได้แล้วนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปนำมาให้ข้าเถอะ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็เดินไปเอากล่องเครื่องประดับมาให้นาง
สิ่งที่ทำให้ชุ่ยเหมยรู้สึกประหลาดใจก็คือโม่ชิงเยว่ไม่ได้สนใจเครื่องประดับที่เหลืออยู่แต่นางกลับดึงผ้าปักที่รองอยู่ก้นกล่องออกมา ผ้าปักลายยวนยางที่ใช้ดิ้นเงินสลับดิ้นทองนี้เดิมทีโม่ชิงเยว่เคยคิดว่าจะมอบให้เป็นของขวัญแรกพบหน้าต่อสามี แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือเขากับนางแทบจะไม่ได้มีโอกาสได้พูดกันเลย พอเขารู้ว่าที่เรือนฝูโซ่วเกิดเรื่องเขาก็รีบทิ้งนางให้เฝ้าห้องหอเพียงลำพังแล้วไปดูคนที่เรือนฝูโซ่วในทันที อย่าว่าแต่มอบผ้าปักให้เขาเลยแค่ได้พูดจากันสักประโยคสองประโยคยังไม่ได้ทำเลย
“เจ้านำผ้าปักนี่ไปขายแลกเงินที่ร้านผ้าสกุลเจียง บอกกับพวกเขาว่าถ้าพวกเขาให้ราคาดี นายของเจ้าจะปักลวดลายที่วิจิตรมากกว่านี้ส่งไปให้พวกเขาอีก” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ส่ายหน้าในทันที
“ฮูหยิน แต่ผ้าผืนนี้ท่านตั้งใจปักให้ท่านโหวมิใช่หรือเจ้าคะ”
“เจ้าจะมามัวสนใจว่าผ้านี้ข้าปักด้วยจุดประสงค์ใดอีกหรือ ยามนี้ขอแค่พวกเราได้มีอาหารกินอิ่มท้อง ได้มียาให้ข้าดื่มและที่สำคัญมีถ่านหินคุณภาพดีที่คอยให้ความอบอุ่นก็ดีถมไปแล้ว หากพวกเรากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ หรือว่าข้าป่วยตายจากไปเสียก่อน ผ้าปักผืนนี้ก็คงจะเน่าเปื่อยผุพังอยู่ในกล่องนี่แหละ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้า
“ผ้าปักผืนนี้จะขายสักเท่าไหร่ดีเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“พวกเขาให้เท่าไหร่เจ้าก็รับมา แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องได้มาไม่ต่ำกว่า 10 ตำลึงแน่นอน” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“เนื้อผ้าและด้ายที่ข้าใช้ล้วนเป็นของดีที่หายาก แต่ที่มีราคามากกว่านั้นก็คือลวดลายและวิธีการปักต่างหาก นี่คือลวดลายเฉพาะที่สืบทอดกันมาแค่เฉพาะสตรีในสกุลเจียง ขอเพียงเจ้านำไปขายกับเถ้าแก่ร้านผ้าของสกุลเจียง เขาจะต้องมอบเงินให้เจ้ามากกว่าราคาผ้าปักนี้แน่” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พลันเข้าใจ
“คุณหนูคิดจะขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียงหรือเจ้าคะ” คำถามของนางทำให้โม่ชิงเยว่เม้มปากแน่น
“ต่อให้ข้าอยากขอความช่วยเหลือก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะให้ เพราะความดื้อรั้นที่จะแต่งเข้าสกุลโม่ของท่านแม่ของข้าทำให้ท่านแม่ถูกตัดขาดจากสกุลเจียง ข้าที่เป็นบุตรสาวของท่านแม่ย่อมไม่อาจจะร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนค้าขาย ข้าได้ยินว่าหลังจากท่านแม่แต่งออกมาแล้วท่านยายก็ไม่ได้ถ่ายทอดวิชาปักผ้าให้แก่ผู้ใดอีก ท่านป้าสะใภ้สกุลเจียงเชี่ยวชาญด้านการค้าขายไหนเลยจะสามารถสืบทอดวิชาปักผ้าของสกุลเจียงได้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยพลันมีดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความหวังในทันที
“แต่เจ้าจงระมัดระวังตัว ออกจากเรือนหลังแห่งนี้ไปอย่างเงียบๆ อย่าให้ผู้ใดรู้ คนของสุ่ยอี้โหรวจะต้องคอยจับตาดูเจ้าอยู่แน่” โม่ชิงเยว่พูดแล้วแล้วจึงนึกได้ว่านางมีเงินอยู่อีกสามก้วนที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้อยู่ในก้นกล่องเครื่องประดับ เงินสามก้วนนี้คือเงินก้อนสุดท้ายที่นางมีและเป็นเงินนำโชคที่มารดาของนางเคยมอบให้ก่อนจะสิ้นใจ
“เจ้านำเงินนี่ไปซื้อยาให้ข้าก่อน สลัดคนของสุ่ยอี้โหรวได้แล้วจึงค่อยไปที่ร้านผ้าสกุลเจียง” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พลันพยักหน้าออกมาอย่างยินดี เดิมทีนางเคยบอกให้เจ้านายของนางนำเงินสามก้วนนี้ไปซื้อยา แต่เจ้านายของนางกลับไม่ยอมใช้บอกแต่ว่าจะเก็บเอาไว้ซื้ออาหารให้คุณหนูและคุณชาย แต่ยามนี้ดูท่าว่าเจ้านายของนางจะคิดได้แล้วว่าถ้าสุขภาพของตนเองแข็งแรงขึ้นก็ย่อมจะมีกำลังเพียงพอที่จะเลี้ยงดูลูกๆ ได้
“ฮูหยินวางใจเถอะเจ้าค่ะ คนของสุ่ยอี๋เหนียงไม่มีทางติดตามบ่าวได้ทันหรอก ช่วงที่บ่าวไม่อยู่ฮูหยินดูแลตนเองให้ดีนะเจ้าคะ แล้วบ่าวจะรีบกลับมา” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า แล้วจึงได้หลับตาลงเพื่อพักผ่อน
‘ในเมื่อข้ายังไม่ตาย เช่นนั้นก็ทำได้แค่เพียงต้องสู้ต่อ สิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มาจากโลกในความฝันนั้นก็คืออย่าได้ยอมแพ้ สตรีหาได้ต้องพึ่งพาแต่บุรุษเพียงอย่างเดียวไม่ เขาไม่สนใจข้ากับลูกเช่นนั้นก็ช่างเขา ข้าคนนี้จะดูแลตนเองให้ได้และดูแลลูกๆ ให้ดี ไม่จำเป็นต้องมัวร้องขอความเมตตาจากเขาแล้ว โลกใบนี้ออกจะกว้างใหญ่ จะไม่มีสถานที่สำหรับข้าและลูกๆ ของข้าเชียวหรือ’ โม่ชิงเยว่คิดพลางหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ถ้าหากลูกๆ ตื่นก่อนที่ชุ่ยเหมยจะกลับ นางจะได้มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะดูแลพวกเขาแทนชุ่ยเหมยได้
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ
Comments