จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ

จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ

last updateTerakhir Diperbarui : 2025-06-04
Bahasa: Thai
goodnovel12goodnovel
Belum ada penilaian
139Bab
7.2KDibaca
Baca
Tambahkan

Share:  

Lapor
Ringkasan
Katalog
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi

หลินเจียอีหญิงสาวในศตวรรษที่21ตกตายด้วยโรคระบาด วิญญาณของเธอได้ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวอายุ14 ที่มีชื่อเดียวกับเธอซึ่งสิ้นใจตายระหว่างเดินทางกลับบ้านเดิมของมารดา

Lihat lebih banyak

Bab 1

บทที่ 1

ขับไล่ออกจากตระกูล

“ไสหัวออกไปซะ หญิงกาลกิณีดาวไม้กวาด!”

เสียงเอะอะโวยวายของคนจำนวนหนึ่งทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นออกมายืนมุงดูด้วยความสงสัย ลู่เสียนสะใภ้รองของตระกูลหลินพร้อมกับลูกสาวและลูกชายถูกโยนออกมานอกรั้วบ้าน ตามมาด้วยข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า และของกระจุกกระจิกอีกไม่มากลอยตามมา ลู่เสียนมีบุตรสองคน คนพี่ชื่อหลินเจียอี เป็นหญิงอายุ 14 หนาว หน้าตาน่ารัก ผิวขาวดุจไข่มุก เรือนผมหยักลอนสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกาย คนน้องชื่อหลินอันฉี เป็นเด็กชายอายุ 7 หนาว หน้าตาน่ารักน่าชัง ช่างพูดช่างเจรจา ลูกทั้งสองของนางเป็นเด็กดีกตัญญูว่านอนสอนง่าย

งานศพของหลินฮุ่ยหมิงผู้เป็นสามีเพิ่งผ่านพ้นไปได้แค่หนึ่งวัน เมียและลูกทั้งสองกลับถูกไล่ออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา สาเหตุเนื่องจากหลินฮุ่ยเฟินผู้เป็นพี่ชายของฮุ่ยหมิงฉวยโอกาสหลังจากฮุ่ยหมิงลาจากโลกนี้ไปยึดเอาสมบัติมาเป็นของตน แล้วยังใส่ความหาว่าหวังลู่เสียนเป็นสตรีมีดวงกาลกิณี ตัวอัปมงคล

“ได้ ข้ากับลูกจะไปจากที่นี่ก็ได้ แต่ข้าขอสินเดิมของข้าคืน และหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิน จากนี้ไปข้ากับลูกทั้งสองไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหลินอีก”

“นี่ เอาไปหนังสือตัดขาด แต่สินเดิมนั้นอย่าหวังว่าจะได้”

“หากข้าไม่ได้สินเดิม เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งทางการให้มันรู้ไป”

“หึ อย่าให้นางไปแจ้งทางการได้ ตีขานางให้หัก”

หลินฮุ่ยเฟินได้ฟังก็โกรธจัด สั่งให้ภรรยาและลูกรุมทุบตีลู่เสียน เพื่อไม่ให้นางไปแจ้งทางการได้ เจียอีและอันฉีเห็นแม่ถูกรุมทุบตีก็ตรงไปเข้าช่วย แต่เรี่ยวแรงของเด็กน้อยไม่สามารถปกป้องแม่ได้ จึงถูกลุงและป้าสะใภ้ทุบตีไปด้วยอย่างไร้ซึ่งความปราณี ใช้ทั้งไม้ทุบตีและเท้าเตะถีบทำเหมือนสามแม่ลูกไม่ใช่คน สามแม่ลูกร่างกายเขียวช้ำร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด ลู่เสียนเห็นลูกทั้งสองถูกทุบตีก็คลานเข้าไปโอบกอดลูกเอาไว้ในอ้อมอก กระทั่งลุงและป้าสะใภ้ทุบตีจนพอใจจึงโยนสินเดิมของนางมาให้นิดหน่อย

“ฮื่อ ท่านแม่ ท่านแม่เจ็บมากไหม”

“แม่ไม่เจ็บ แม่ไม่เจ็บ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“ข้าเจ็บ ฮื่อ ฮื่อ”

อันฉีร้องไห้ซุกหน้ากับอกมารดา ในขณะที่พี่สาวสลบไม่ได้สติคาอ้อมกอดลู่เสียน นางปลุกลูกสาวให้ตื่นลืมตา เด็กสาวได้ยินเสียงแม่ ลืมตาขึ้นมองเพียงครู่ก็สลบไปใหม่

“ได้สินเดิมแล้วก็ไสหัวไปซะ”

ฮุ่ยเฟินพูดจบก็พาลูกเมียเข้าบ้าน ปิดประตูรั้วใส่หน้าสามแม่ลูก ลู่เสียนเห็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้วจึงแบกเจียอีขึ้นหลัง ชาวบ้านที่มุงดูต่างก็มองสามแม่ลูกด้วยความเห็นใจ แต่เข้าไปยุ่มยามเรื่องของตระกูลหลินไม่ได้ เพราะถือว่าแต่ละครัวเรือนนั้นต่างคนต่างอยู่ ลู่เสียนแบกลูกสาวเดินเท้าเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อจ้างรถม้า โดยมีลูกชายที่สะอื้นไห้เงียบ ๆ เดินเคียงกันมา นางฝืนเดินแม้ร่างกายจะเจ็บปวดจากการถูกทุบตี ตั้งใจว่าจะพาลูกกลับไปที่บ้านเดิม ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไกลเกือบสองร้อยลี้ เมื่อมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านรถม้าก็หยุดวิ่ง คนขับรถม้ามองดูเส้นทางที่ขรุขระแล้วเอ่ยขึ้น

“เส้นทางจากนี้ไปพวกเจ้าไปกันเองก็แล้วกัน ข้ามาส่งได้เท่านี้”

“ไปอีกหน่อยไม่ได้หรือพี่ชาย ลูกสาวข้าก็ยังไม่ฟื้น”

“ไม่ได้ ทางเป็นหลุมเป็นบ่อขนาดนี้ ขืนข้าเอารถม้าเข้าไป หากรถม้าข้าเสียหายเจ้ามีปัญญาชดใช้ให้ข้าได้หรือ”

คนขับรถม้าบอกปัดในทันที เมื่อไม่ได้รับความเห็นใจลู่เสียนจำต้องแบกร่างที่ไร้สติขึ้นบนหลังอีกรอบ นางใช้ผ้ามัดตัวลูกสาวผูกติดกับเอวตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เจียอีหงายหลังร่วงหล่น ส่วนสัมภาระก็ห่อใส่ผ้าผืนใหญ่แล้วมัดเอาไว้ทางด้านหน้า ข้าวของอีกส่วนหนึ่งอันฉีช่วยนางถืออย่างไม่อิดออด

“ท่านแม่ เมื่อไหร่ท่านพี่จะตื่น”

“อีกเดี๋ยวพี่เจ้าก็ตื่นแล้ว”

ลู่เสียนบอกลูกชายน้ำเสียงอ่อนโยน แววตามองตรงไปยังหนทางข้างหน้า ระยะทางจากจุดนี้ไปถึงหมู่บ้านเดิมยังห่างมาก ลู่เสียนเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อด้วยความอยากลำบาก บางครั้งก็เผลอยกมือขึ้นปาดน้ำตาไม่ให้อันฉีเห็น

“ท่านแม่ ข้าเหนื่อย”

“เช่นนั้นเรานั่งพักสักหน่อยเถิด”

“ขอรับ”

อันฉีเดินนำหน้าเข้าไปพักที่ร่มไม้ข้างทาง ลู่เสียนแกะผ้าที่ผูกเอวออกปล่อยเจียอีนอนราบกับพื้น นางใช้มือรองน้ำที่พกมาด้วยลูบหน้าลูกสาวด้วยความเป็นห่วง หวังว่าลูกสาวจะฟื้นคืนสติอีกไม่นาน ทว่าเจียอีก็ไม่ลืมตาขึ้นมา

“ท่านแม่ ท่านพี่หลับไปนานเหลือเกิน เหตุใดท่านพี่ไม่ตื่นเสียทีท่านแม่”

เด็กชายตัวน้อยจับมือพี่สาวมากุมไว้ ลู่เสียนเวทนาลูกทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง หากฮุ่ยหมิงไม่ตายไปแล้วนางพอมีกำลังพอปกป้องลูกได้ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้ ตระกูลหลินจงเกลียดจงชังนางตั้งแต่แต่งเข้าเป็นสะใภ้ เพราะฐานะทางบ้านลู่เสียนนั้นยากจน หลายปีที่ผ่านมาฮุ่ยเฟินและภรรยาก็มักจะหาเรื่องใส่ความนางมาตลอด แต่ลู่เสียนก็ได้ฮุ่ยหมิงสามีปกป้องทุกครั้ง เมื่อขาดฮุ่ยหมิงแล้วชีวิตของลู่เสียนกับลูกจึงไม่ต่างจากเรือลำน้อยที่ลอยแคว้งคว้างกลางทะเลใหญ่ เสาหลักที่เคยยึดเหนี่ยวไม่อยู่แล้ว เป็นเรื่องง่ายที่คนตระกูลหลินจะไล่ส่งเหมือนหมูเหมือนหมา

“ฉีเอ๋อร์ เราเดินต่อกันเถอะ แม่เป็นห่วงพี่สาวเจ้าเหลือเกิน หากถึงบ้านท่านยายเจ้าแล้วจะได้รีบตามหมอมาดูอาการ”

พักหายเหนื่อยได้สักครู่หนึ่ง ลู่เสียนก็พาอันฉีเดินเท้าต่อ พอเดินมาจนถึงหน้าบ้านเดิมก็ร้องเรียกหวังจื่อรั่วผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ”

หวังจื่อรั่ว แม่เฒ่าวัย 58 หนาวได้ยินเสียงก็เดินออกมาดู เห็นลูกสาวยืนอยู่หน้าบ้านสภาพเต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าสกปรกมอมแมมแบกลูกสาวไว้บนหลัง ข้างกันนั้นคือหลานชายที่สภาพไม่ต่างกัน นางหวังได้เห็นอย่างนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปรับหลานสาวที่หลับไร้สติ นางประคองเจียอีไว้แล้วช่วยกันพาเจียอีเข้าไปในบ้าน จากนั้นนางหวังก็ไปตามหมอประจำหมู่บ้านมาเพื่อดูอาการ เมื่อหมอมาถึงก็ได้ตรวจชีพจรเจียอี พบว่าเด็กสาวไม่มีสัญญาณชีพจรเสียแล้ว

“เสียใจด้วย ข้าไม่สามารถยื้อชีวิตนางไว้ได้ ลูกสาวเจ้าสิ้นใจแล้ว”

“ไม่จริง ลูกข้ายังไม่ตาย เจียเอ๋อร์ยังไม่ตายใช่ไหมท่านหมอ ฮื่อ ช่วยลูกข้าด้วยเถอะ นางจะตายไม่ได้ ฮื่อ ฮื่อ เจียเอ๋อร์นางยังเด็กนัก นางจะตายได้อย่างไร”

“...ลูกสาวเจ้านางตายแล้ว”

บอกเพียงเท่านั้นหมอก็ลุกเดินจากไป ลู่เสียนร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อที่หมอบอก นางหวังผู้เป็นแม่เห็นอย่างนั้นจึงเข้ามากอดลูกสาวไว้ด้วยความสงสาร ทั้งสงสารหลานที่สิ้นใจไป แล้วยังสงสารลูกสาวที่มาสูญเสียลูกและสามีในคราวเดียวกัน เมื่อไม่กี่วันมานี้ลู่เสียนเพิ่งจะให้คนมาส่งข่าวการตายของสามี แต่นางหวังซึ่งร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงจึงไม่สามารถเดินทางไกลไปเข้าร่วมพิธีศพลูกเขยได้ จึงฝากถ้อยคำไปบอกลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ไม่คิดว่าสามวันให้หลังลูกสาวจะแบกหลานสาวที่สิ้นใจกลับบ้านเกิดมาทั้งน้ำตา นางหวังจึงถามลู่เสียนด้วยความสงสัย

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเจียเอ๋อร์ถึงเป็นแบบนี้”

นางหวังถามขึ้นในขณะที่ฝ่ามืออุ่นยังลูบแผ่นหลังของลูกสาวด้วยความเป็นห่วง นางเองก็ร่ำไห้ด้วยความเสียใจไม่ต่างจากลู่เสียน คว้าตัวอันฉีหลานชายเข้ามากอด

“ท่านแม่ บ้านหลินไล่ข้าออกมาแล้ว พวกเขาทุบตีข้ากับลูกจน ฮึก...จนเจียเอ๋อร์เป็นแบบนี้ แล้วยังยึดเอาทั้งบ้านและร้านขายผ้าไหมที่ข้ากับสามีช่วยกันก่อร่างสร้างตัว พวกคนตระกูลหลินจิตใจเหี้ยมโหดมากเลยท่านแม่”

ลู่เสียนนางพูดไม่ออก ได้แต่ร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดเต็มอกออกมาอีกรอบ เล่ามาเพียงเท่านี้นางหวังก็พอเข้าใจเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี พอรู้กิตติศัพท์ของบ้านหลินมามากในระดับหนึ่ง ตระกูลนี้ละโมบโลภมาก เห็นแก่ตัว งานการไม่ค่อยจะทำ สอนลูกให้ขี้เกียจ แล้วยังอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตนมาครอบครอง ดีหน่อยก็แต่หลินฮุ่ยหมิง ลูกเขยที่เพิ่งจากโลกนี้ไป นอกนั้นหาใครดีมีคุณธรรมไม่ได้สักคน

"โอ้ย ปวดหัว"

ในขณะที่ลู่เสียน นางหวัง และหลานชายกอดกันร่ำไห้อยู่นั้น เจียอีก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง สายตาทั้งสามคู่จึงมองมาที่นางเป็นตาเดียวกัน พอลู่เสียนตั้งสติได้ก็ปรี่เข้าหาเจียอีด้วยความดีใจ นางจับแขนลูกสาวพลิกตัวไปมาก่อนจะโผเข้ากอด

“เจ้ายังไม่ตายจริง ๆ ด้วยเจียเอ๋อร์ แม่ดีใจยิ่งนัก เจ้ายังไม่ตาย”

“...แม่?”

แม่อย่างนั้นหรือ...ไม่สิ...หลินเจียอีมองลู่เสียนด้วยความสับสนมึนงง เมื่อไม่นานมานี้เธอเพิ่งจะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพราะติดโรคระบาดโควิด 19 ต่อมาอาการของเธอก็ทรุดลงเรื่อย ๆ เหตุใดฟื้นขึ้นมาแล้วถึงมาโผล่ที่บ้านไม้ทรงโบราณ ผู้คนรอบตัวแต่งกายประหลาด แม้กระทั่งการพูดจาก็ดูล้าสมัยเหมือนที่เธอเคยดูในซีรีส์ย้อนยุค หลินเจียอีค่อย ๆ ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดหญิงแปลกหน้า จากนั้นก้มลงมองการแต่งกายของตนเองก่อนจะใช้มือลูบคลำร่างกายสะเปะสะปะจนมาหยุดอยู่ที่หน้าอก

“หายไปไหน! ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนี้ บะ แบนราบ”

หน้าอกคัพซีลดลงมาแบนเกือบจะราบเรียบ เจียอีแหกปากร้องลั่น ดวงตากลมเบิกโตด้วยความตกใจ มองหน้าคนทั้งสามที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาด้วยแววตาสับสนมึนงง อะไรกันนี่...ที่นี่ที่ไหน คงไม่ใช่กำลังฝันอยู่หรอกหรือ พอคิดได้นางก็ใช้มือตบที่แก้มตนเองจนหน้าหัน ปรากฎว่าเจ็บจนต้องร้องโอดโอยออกมา

“โอ้ย เจ็บ ๆ”

“เจียเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไร”

ลู่เสียนเชยคางลูกสาวตรวจสอบดูรอยช้ำที่แก้ม ทางด้านนางหวังก็มองหลานสาวด้วยแววตาตกตะลึง หลังจากเจียอีตื่นขึ้นมาก็มีอาการประหลาดยิ่งนัก หรือเป็นเพราะถูกทุบตี เจียอีได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักจนความจำเสื่อมไปเสียแล้ว นางหวังจึงเรียกชื่อเต็ม ๆ ของหลานสาวอีกครั้ง

“หลินเจียอี”

ถูกต้องแล้ว นี่คือชื่อของนางไม่ผิดเพี้ยน หลินเจียอีหญิงสาวในศตวรรษที่ 21 มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัท ทำงานตำแหน่งพนักงานบัญชีที่โกดังเก็บสินค้าใกล้ ๆ ท่าเรือ งานอดิเรกคือ F สินค้าออนไลน์ ชีวิตความเป็นอยู่สุดแสนธรรมดา การงานไม่ก้าวหน้าเพราะประจบนายไม่เก่ง รายได้ไม่พอรายจ่ายเพราะ CF เก่ง สถานะภาพโสดสนิทแบบไม่เคยมีใครมาจีบจนอายุก้าวเข้าวัย 25 หนาว เติบโตมาในชนบทมีพ่อแม่เป็นเกษตรกร

ครุ่นคิดได้ไม่นานเจียอีก็หงายหลังลงไปนอนตามเดิม นางรู้สึกเวียนศีรษะเหมือนบ้านหมุน อีกทั้งร่างกายก็เจ็บระบมไปทั่วร่างจึงหลับต่ออย่างอ่อนเพลีย นางฟื้นขึ้นมาอีกทีในวันถัดไป สภาพร่างกายเริ่มดีขึ้นมากแล้ว เป็นเพราะระหว่างที่นอนซมลู่เสียนได้ป้อนยาให้นางจนเกือบจะหายดี พอฟื้นขึ้นมาได้เจียอีก็เดินสำรวจไปทั่วบ้าน

บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้เก่า ๆ สภาพผุพังมากแล้ว มองออกไปนอกบ้านเป็นป่าเขียวชอุ่มอยู่ไม่ไกลมาก ไกลออกไปอีกคือภูเขาหลายลูกสลับสับหว่างมองเห็นได้จากระยะไกลเป็นชั้น ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นอ่างหินตั้งอยู่หน้าบ้านจึงรีบวิ่งเข้าไปชะโงกหน้าดูให้หายคลางแคลงสงสัย เงาในน้ำคือเด็กสาวแรกรุ่น อายุไม่เกิน 15 หนาว หน้าตาผิวพรรณสะอาดสะอ้านงดงาม หุ่นทรงร่างเล็กบอบบาง ผมยาวเป็นสลวยโดยธรรมชาติโดดเด่น ซึ่งแปลกจากหญิงสาวในยุคสมัยนั้นเป็นอย่างมาก ดูไปแล้วคล้ายตุ๊กตาเสียยิ่งกว่าคนที่มีชีวิต นางเอียงซ้ายเอียงขวาชื่นชมแต่ภายในใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

Tampilkan Lebih Banyak
Bab Selanjutnya
Unduh

Bab terbaru

Bab Lainnya

Komen

Tidak ada komentar
139 Bab
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status