ได้โอกาสจากนรกมาเกิดใหม่เป็นนางร้าย ข้าย่อมต้องร้ายให้ถึงแก่น!ส่วนบทคนดีอะไรนั่นข้าขอยกให้นางเอกเขาไป รวมถึงพระเอกมากรักก็ด้วย เพราะนางร้ายเช่นข้าต้องคู่กับตัวร้ายที่รักมั่นคงเท่านั้นพระเอกข้าขอลาขาด!
더 보기ลมฝนห่าใหญ่พัดเกรียวกราว เปลวคบเพลิงที่ทหารองครักษ์นับสิบถืออยู่ไหวเอนแทบจะมอดดับ ทว่าแม้ไฟจะอ่อนแรงริบหรี่ สายตาของผู้คนในบริเวณนี้ก็ยังเห็นโลงศพไม้เนื้อดีตั้งตระหง่านกลางลานกว้าง ของเขตสุสานไร้ญาตินอกเมืองหลวงของต้าหรงราวเจ็ดสิบลี้อันรกร้างอยู่ดี
นอกจากองครักษ์ยังมีทหารในเกราะดำเรียงแถวรอบข้าง พลางจับด้ามดาบแน่น แต่พวกเขาล้วนเงียบงันจนได้ยินเสียงหายใจสั่นระคนสะอื้นของสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง
สตรีสูงศักดิ์นาม‘สวีเจียงหลัว’ถูกบังคับให้นั่งคุกเข่า ชุดอาภรณ์สีแดงดุจโลหิตถูกดึงทึ้งจนหลุดลุ่ย ผมยาวสลวยพันกันยุ่งเหยิง แต่กลับมิอาจกลบฝังความสง่างามที่นางมีติดกายมาแต่กำเนิด นางเงยหน้ามองบุรุษผู้เคยเป็นสวามีนาม ไป๋อี้เฉิน ที่ยืนตรงหน้าขณะนี้ สายตาของเขาที่ทอดมองลงมายังนางเย็นเยียบประดุจธารน้ำแข็ง
“เจียงหลัว...” เสียงของเขาเอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา หากแฝงความเด็ดขาดและอำมหิตยิ่งนัก
“เจ้าทำให้เจิ้นอับอายทั้งใต้หล้าไม่พอยังคิดลอบสังหารฮองเฮาที่กำลังอุ้มครรภ์มังกร เจ้าคิดว่าเจิ้นจะให้โอกาสเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าอีกหรือ”
“ฝ่าบาทกล่าวอันใดเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ” สวีเจียงหลัวกล่าวออกมาอย่างไม่รู้จริงๆ ว่าสวามีของตนเองกล่าวเรื่องอันใด นางไม่เคยทำอันใดเช่นที่เขากล่าวหา แต่กลับถูกจับกุมและฉุดกระชากลากถูมายังสุสานไร้ญาติเช่นนี้ทั้งที่นางกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ
“เจ้ายังจะทำไขสืออีกหรือเจียงหลัว เจ้าคิดหรือว่าเจิ้นนี้โง่เขลาจนไม่มีหลักฐานที่ว่าเด็กในครรภ์ของเจ้ามิใช่สายเลือดที่เกิดจากเจิ้น แต่เป็นสายเลือดกบฏของไป๋อี้หานกระมัง!”
“มิใช่! มิใช่นะเพคะ ฝ่าบาทรู้ดีที่สุดว่าอันใดเป็นอันใด เหตุฝ่าบาทจึงกล่าวเช่นนี้”
เสียงของสวีเจียงหลัวแหบแห้งนัก ร่างงามสั่นเทา มือทั้งสองกำขอบกระโปรงแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นางไม่คิดเลย สวามีผู้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดสามปี สวามีที่นางยอมกระทั่งให้ตนเองต้องมือเปื้อนเลือดสังหารคนด้วยตัวเองและไหว้วานผู้อื่นด้วยเล่ห์อุบาย เพื่อผลักดันเขาขึ้นบัลลังก์มังกรได้เป็น จักรพรรดิหย่งเฉิง ผู้นี้จะทำกับนางเช่นนี้
แน่นอนว่าสวีเจียงหลัวย่อมเคยคิดว่าวันที่เขาสมหวังได้เป็นใหญ่ จะเป็นวันที่ตนได้ยืนเคียงข้างฐานะสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า หาใช่วันที่เขาลงมือวางแผนใส่ร้ายป้ายสีเพื่อจะสังหารนางเช่นนี้
ขณะนั้นเองสายฝนเริ่มตกลงมากระทบเกราะดำดังเปาะแปะ มันดังปนเสียงสะอื้นแผ่วเบาของเสี่ยวจิ่วกับเสี่ยวผิงนางกำนัลที่ติดตามสวีเจียงหลัวมาแต่ยังเยาว์ บรรยากาศหนักอึ้งจนไม่มีใครกล้าสบตาสตรีผู้ถูกกล่าวหาว่าโฉดชั่วนอกจากหย่งเฉิงฮ่องเต้และสวีฮองเฮา
“ฝ่าบาทย่อมรู้ดีที่สุดว่าเด็กในครรภ์ของหม่อมฉันคือลูกของผู้ใด และฝ่าบาทย่อมรู้ดีที่สุดว่าตลอดมาเป็นผู้ใดกันแน่ที่มีสัมพันธ์สวาทลึกซึ้งกับไป๋อี้หาน!”
กล่าวจบดวงตาของสวีเจียงหลัวพลันตวัดไปมองยังสวีเจียงหลีในอาภรณ์สีชมพูอ่อนยืนเคียงข้างเขา ใบหน้างดงามฉาบรอยยิ้มอ่อนโยนผิดเวลา ดวงตาสุกใสแวววาวด้วยความพึงใจ พอเห็นพี่สาวมองตรงมาที่ตนเอง นางจึงค่อยโน้มกายต่ำลงหา มองพี่สาวด้วยแววตาสงสารและเห็นใจแสนจะเสแสร้ง
“ต้าหลัวเจี่ย ท่านนี่ช่างน่าสงสารยิ่งนัก หากมิได้ทำ...เหตุใดถึงมีพยานนับสิบ เห็นว่าท่านนัดพบกับไป๋อี้หานบ่อยครั้ง แม้แต่ในยามที่เขาจนตรอกถูกจับกุม ท่านก็ยังไม่เยี่ยมเขาที่คุกหลวง”
เสียงนั้นอ่อนหวาน แต่วาจาราวกับคมมีดกรีดซ้ำลงกลางใจ สวีเจียงหลัวจนนางเผลอกัดริมฝีปากจนได้กลิ่นคาวโลหิตพุ่งขึ้นในโพรงจมูก ทั้งตั้งใจจะไม่ร้องไห้แล้ว แต่น้ำตาที่ร้อนผ่าวกลับไหลออกมาทางหางตาโดยไม่รู้ตัว
นี่นะหรือบุรุษที่นางยอมทำทุกสิ่งที่เขาสั่งการ ยอมแม้แต่ไปยั่วยวนบุรุษอื่น มีสิ่งเดียวที่นางไม่ยอมก็คือทอดกายให้บุรุษอื่นเชยชม และเพราะเหตุนี้เองจึงกลายเป็นเหตุผลให้นางจำยอมคล้อยตาม ไป๋อี้เฉิน ที่เอ่ยปากขอร้องนางให้รับน้องสาวแท้ๆ ของตนเองมาเป็นภรรยาของเขาอีกคน!
เป็นเพราะสวีเจียงหลียินดีจะยอมพลีกายสวมรอยเป็นนางไปหลับนอนกับ ไป๋อี้หาน ชินอ๋องผู้มีอำนาจล้นเหลือแม้แต่อดีตฮ่องเต้ที่เป็นพระบิดาของเขายังต้องไว้หน้า ไป๋อี้เฉินจึงเอ่ยปากขอร้องนางให้เห็นใจ น้องสาว เช่นสวีเจียงหลีที่ยอมเสียสละตนเอง นางที่เป็นพี่สาวก็สมควรจะใจกว้าง ยอมแบ่งสวามีให้กับอีกฝ่าย
ใครเลยจะคาด พอไป๋อี้เฉินได้ครองราชย์ หลังไป๋อี้หานจากไปเมื่อเดือนก่อนด้วยโทษกบฏที่ถูกยัดเยียด เขากลับมาขอร้องกับนางให้ยอมสละตำแหน่งสวีฮองเฮาให้กับเจียงหลีไป ส่วนนางเขามอบให้เพียงฐานะ สวีหวงกุ้ยเฟย เหตุผลไม่มีอันใดมาก เพราะสวีเจียงหลีตั้งครรภ์แล้วส่วนนางนั้นยังไม่ตั้งครรภ์
ถึงคราวนั้นนางจะไม่เต็มใจ ทว่าท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านปู่ ท่านย่า แม้แต่ท่านตาก็ยังเห็นด้วย และกล่าวกับนางว่า นางคือพี่สาวต้องเสียสละ
เสียสละกับผีนะสิ!
เพราะนางถอยแล้วถอยอีก ถอยให้เพราะคำว่าพี่สาว ต้องใจกว้าง กับเรื่องที่สวีเจียงหลีเสียสละตนเองก่อน แต่สวีเจียงหลีที่ฉลาดเท่าทันคนทุกสิ่ง สุดท้ายก็มาจนมุมเพราะบุรุษที่รักกับน้องสาวใสไส้เช่นนี้
“เจ้า...เจียงหลี...หึ! หากจะกล่าวว่าบุตรในครรภ์ของข้าน่าสงสัย เช่นนั้นบุตรในครรภ์ของสวีฮองเฮาเล่าฝ่าบาท?”
ทว่า…สำหรับนาง กลับรู้ดี ว่าเป็นเพราะเขารู้จักชินอ๋องดีเกินไป มิใช่แค่รู้จักนิสัยของชินอ๋องดี แม้แต่นิสัยของพระนาง ขุนนางสองแผ่นดินตรงหน้าก็คงถ่องแท้เช่นกันถ่องแท้จนเข้าใจว่าหากเขารีบเอ่ยปาก ‘ขอร้อง’ ต่อหน้ามารดาเช่นนาง อาจกลายเป็นการยั่วไฟโทสะให้ลุกท่วมง่ายกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นตัวของพระนางหรือไป๋อี้หานเองจ้านไทเฮาหลุบตาลงเล็กน้อย ในแววตาฉายความซับซ้อนทั้งเป็นห่วงสวีเจียงหลัว ทั้งโกรธบุตรชาย และทั้งอ่อนใจในคราเดียวกันเพียงชั่วอึดใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไป“เจ้ากล่าวว่า…ต้าหลัวบาดเจ็บหนัก…เป็นหรือตายมิอาจทราบ แต่กลับถูกชินอ๋องพาตัวไป…เช่นนั้นหรือ…อาฟ่าน”สุ้มเสียงนุ่มลึกล้ำซึ่งเคยสงบ บัดนี้ไม่หลงเหลือรอยตกพระทัยอีก มีเพียงความเด็ดขาดที่น่าหวาดเกรง“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”“เช่นนั้น…พวกเจ้าจึงยังไม่รู้เลยสินะ…ว่านางเป็นเช่นไรแล้วบ้างหลังจากอาหานพานางจากไป…”พระเนตรทอดลงต่ำ แววในดวงตาประหนึ่งพายุซึ่งค่อยๆ ก่อตัว“กราบทูลไทเฮา…”เสียงสวีฉีฟ่านสั่นพร่า มือใหญ่ที่คุกเข่ากำจนสั่น“ต้าหลัว…นางบาดเจ็บหนัก…กระหม่อมกับฮูหยินมิอาจตามไปตำหนักชินอ๋องได้…จนปัญญาจริงๆ พ่ะย่
“…”“…”สองสามีภรรยาสวีมิกล้าตอบคำถามนั้นของจ้านไทเฮาในทันใด แม้พระนางจะวางพระองค์เป็นกันเองเพียงใด แต่จะอย่างไร…ราชวงศ์ก็คือราชวงศ์ มิอาจวางใจได้ทั้งหมดจ้านไทเฮาประทับนิ่ง ดวงเนตรทอดมองร่างทั้งสองที่หมอบอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับทั้งกังขาทั้งไม่อยากเชื่อว่าที่ตนเองได้ยินนั้นเป็นความจริงสีพระพักตร์ของพระนางเผยอารมณ์ตื่นตระหนกชัดเจนมิอาจเก็บซ่อนอารมณ์ อาการดังกล่าวนี้แทบไม่เคยปรากฏให้ผู้ใกล้ชิดได้เห็นบ่อยนักทว่าวันนี้ ทุกคนล้วนได้เห็นเต็มสองตา และนั่นย่อมแสดงว่า คุณหนูใหญ่สวีผู้นี้ย่อมมีน้ำหนักในพระทัยจ้านไทเฮามากกว่าที่ใครเข้าใจอึดใจหนึ่ง พระวรกายที่เคยนั่งอิงหมอนค่อยๆ ขยับเหยียดตัวตรง เรียวพระหัตถ์วางบนตั่งหยก แล้วเผลอกำแน่น ดวงเนตรคู่งามเบิกขึ้นเล็กน้อย ริมพระโอษฐ์ขยับเปล่งวาจาถามย้ำ“พวกเจ้าสองผัวเมีย…” สุ้มเสียงนั้นจริงจังไม่หยอกล้ออีกแล้ว จนทุกคนที่ได้ฟังล้วนขนลุก“ใครก็ได้…พูดกับไอเจี่ยอีกครั้งเถอะ…ว่าที่ไอเจี่ยได้ยินเมื่อครู่…มิใช่เรื่องเพ้อฝัน…มิใช่เพราะไอเจี่ยหูฝาดไปเอง…”สองสามีภรรยาเหลือบตามองกันไปมา แล้วสวีฮูหยินก็พยักหน้าให้สามี…เป็นเชิงบอกให้ตอบแทนตน“ไทเฮามิได้ฟังผิดไปพ่
เวลาบ่ายคล้อย แสงแดดสีทองทอดเงายาวเหนือลานหินกว้างจนสุดสายตาสองสามีภรรยาสกุลสวีเดินตามขันทีเข้าสู่เขตพระราชฐานด้านในสองข้างทางเรียงรายด้วยต้นบ๊วยที่กำลังชูช่อดอกขาวสะพรั่งเต็มกิ่งหากในยามนี้กลับไม่มีผู้ใดคิดใส่ใจความงามนั้นแม้เพียงคนเดียวสวีฮูหยินยังคงก้าวเดินช้ารักษามารยาทสตรีชั้นสูงไว้อย่างดี แต่ลมหายใจของนางใน บ้างจังหวะก็มีสะดุดขาดเป็นห้วง ฝ่ามือเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความกังวลที่กัดกินทุกครั้งยามก้าวเดินไปข้างหน้า นางเคยชื่นชมความสงบของตำหนักหนิงเฟิ่งเสมอกว่าจะมาถึง พวกเขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามในที่สุด ประตูสูงประดับลายหงส์สยายปีก ปากคาบรวงข้าวสาลี จึงปรากฏในครรลองสายตาที่แห่งนี้คือเขตตำหนัก ‘หนิงเฟิ่ง’ ของจ้านไทเฮาสตรีผู้ทรงอำนาจสูงสุดแห่งวังหลังแม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องยำเกรงพระนางแสงแดดต้นยามเว่ยแผดจ้าเงาสะท้อนระยิบอยู่บนตัวอักษรสองคำ หนิงเฟิ่ง ที่หมายถึงหงส์ผู้สงบ...ชื่อที่ประกาศถึงพระปณิธานรักความสงบของเจ้าของตำหนักว่ามีมากเพียงใดทว่าในยามนี้ ความสงบนั้นกลับกดทับจิตใจของทั้งสองสามีภรรยาจนแทบสิ้นเรี่ยวแรงหลังสวีฉีฟ่านแจ้งกับขันทีเฝ้าตำหนักไม่นานนัก เสียงฝี
ลานหินอ่อนหน้าประตูวังหลวงของต้าหรงด้านใต้ในวันนี้ สะท้อนแสงอาทิตย์ต้นยามอู่จนเกิดไอร้อนลอยระยับในอากาศ มองไปราวกับเปลวเพลิงกำลังเริงระบำเสียงลมพัดเสียดสีกับธงสีดำที่ปักมังกรทองเหยียบเมฆา อยู่บนแผ่นผ้าที่ยอดเสาสูงโบกสะบัดจนเกิดเสียงหวีดหวิวน่าหวาดหวั่น คล้ายมังกรตัวนั้นกำลังคำรามข่มขู่ผู้คนทหารรักษาพระองค์เดินลาดตระเวนเข้มงวด นางกำนัลกับขันทีเดินเข้าออกประปรายใต้ร่มผ้าแพรสีอ่อน มีสตรีผู้หนึ่งยืนเงยหน้าจ้องประตูวัง ไม่ละสายตาด้วยกิริยาร้อนใจยิ่งนางคือสวีฮูหยิน ในอาภรณ์สีฟ้าครามแกมม่วง ใบหน้าของนางซีดขาว ดวงตาคลอหยาดน้ำตาจนขอบตาแดงช้ำบุตรสาวคนรองกับบุตรชายคนเล็กนางส่งกลับจวนไปแล้ว เหลือเพียงนางยืนรออยู่กับข่งหมัวมัวและสาวใช้อีกสองคน ด้วยเกรงจะเอิกเกริกจนผู้คนเพ่งมองแดดยิ่งแรง เหงื่อยิ่งซึมตามขมับ แต่หัวใจกลับร้อนราวไฟแผดเผามากกว่าแสงแดดยามอู่ข่งหมัวมัวมองแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน “ฮูหยิน…ขึ้นรถม้าสักครู่เถิดเจ้าค่ะ…”สวีฮูหยินส่ายหน้า แลเห็นน้ำตาเป็นเงาอยู่ในดวงตาไม่จาง “ไม่…ข้าจะรอท่านพี่ที่ตรงนี้”ไม่นานนัก ฝีเท้าหนักของคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านในอึดใจต่อมาบานประตูวังชั้นนอกถูกผ
ตอนที่ ๗เสียงล้อรถม้าบดผ่านถนนช่วงปลายยามเฉินด้วยความเร่งรีบ เงารถทอดยาวบนพื้น แล้วค่อย ๆ หดสั้นลงตามแสงอาทิตย์ที่เคลื่อนขึ้นสูงในยามอู่ (12 นาฬิกา) องครักษ์ชุดดำร่วมสองร้อยคนขนาบข้างแน่นหนา ชาวบ้านต่างรีบหลีกทางเมื่อเห็นขบวนเกรียงไกร คาดว่าต้องเป็นขุนนางผู้มีอำนาจสูงส่งหรืออาจเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ยิ่งใหญ่ จึงกล้าเฆี่ยนม้าบนถนนหลวงอย่างอุกอาจได้เช่นนี้ผ้าม่านหน้าต่างรถม้าถูกตลบขึ้น เผยสายตาคมเข้มที่จับจ้องทุกความเคลื่อนไหวขององครักษ์และฝีเท้าอาชาแม้ลมหายใจไป๋อี้หานจะราบเรียบ แต่ภายในอกกลับอึดอัดราวมีหินกดทับ อาจเพราะร่างบอบบางที่นอนนิ่งหนุนตักเขานั้นเริ่มเย็นเฉียบราวไร้ร่างวิญญาณขึ้นทุกขณะลมหายใจของนางก็แผ่วเบาแทบไม่เหลือเค้าลางของคนมีชีวิตจนเขาอดจะกดปลายนิ้วแตะลงบนชีพจรข้างลำคอเสียมิได้ หวังตรวจดูว่านางยังหายใจหรือไม่ เมื่อสัมผัสได้ว่ายังคงเต้นอยู่ แม้อ่อนระโหย ใบหน้าคมจึงคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย ก่อนหลุบตาจ้องใบหน้าซีดเผือดนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน“หวางเยี่ย ถึงตำหนักกวางผิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงฉีเหล่ยเอ่ยขึ้นเมื่อขบวนชะลอลงและหยุดสนิทในท้ายที่สุดไป๋อี้หาน จึงได้สติแล้วละสายตาจ
ตอนที่ ๖ เสียงเกือกม้าศึกนับร้อยกระทบพื้นถนนดังก้องสะท้อนทั่วตลาดตะวันตก ทุกสรรพสิ่งพลันเงียบงันราวต้องมนตร์ ผู้คนที่เพิ่งแตกตื่นต่างเบียดตัวถอยจนชิดแนวกั้น ทหารที่จัดเตรียมไว้ยืนเรียงแถวแน่นขนัด สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความหวาดเกรง จนแม้แต่เสียงหายใจก็อึดอัดหนักอึ้งรถม้าคันใหญ่หรูหราที่มีอักษร หาน สีทองอร่ามประดับเด่น ชัดเจนในสายตาค่อย ๆ ชะลอหยุดลง ทหารองครักษ์ในเกราะดำสองแถวรั้งบังเหียนอาชาเรียงแถวราวกำแพงเหล็ก หน้าขบวนปักธงผ้าสีแดงเข้มลายกิเลนเพลิงเหยียบเมฆซึ่งเป็นธงประจำกองทัพอวี้หลินที่ชินอ๋องควบคุมอยู่ ทหารทุกนายจับด้ามกระบี่ประจำเอวแน่น ไม่มีใครกล้าไหวติงบัดนั้นเอง เสียงตวาดกังวานดุจอสนีพลันปะทุจากองครักษ์ร่างใหญ่บนหลังม้าสีน้ำตาลแดง เจ้าของนาม ฉีเหล่ย ผู้เป็นหัวหน้าขบวนและหัวหน้าองครักษ์เงาคุ้มกันชินอ๋องแห่งต้าหรง“เป็นผู้ใดบังอาจมาขวางรถม้าของชินอ๋องจนเสียขบวน?!”เสียงเย็นจัดเสียจนผู้คนพากันก้มหน้า ใจคิดตรงกันว่านี่แค่เสียงองครักษ์นำขบวนยังน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ หากเป็นชินอ๋องตัวจริง…จะน่ากลัวเพียงใดไม่ทันสิ้นความคิด ม่านแพรสีดำปักลายกิเลนหน้ารถม้าแผ่วไหว มือเรียวยาวเลิกม่า
댓글