รักของท่านอบอุ่นสวยงามเปรียบดั่งวสันต์ฤดู แต่ระยะเวลาของมันก็ช่างสั้นเหลือเกิน เมื่อดอกไม้ผลิบานความรักที่ท่านมอบให้ข้าก็ปลิดปลิวไปตามสายลม
View Moreบทนำ
“ข้าจะแต่งอนุ”
เสียงเรียบขรึมเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบในรถม้า หยางมี่ที่นั่งนิ่งมาตลอดเงยหน้าขึ้นทันทีแม้พอจะคาดเดาว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในวันข้างหน้า แต่มิคาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองสามีของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เขากลับไม่หลบเลี่ยง นิ่งสงบราวกับคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
“ท่านพี่…พูดว่าอะไรนะ” เสียงของนางเบาหวิว กว่าจะหาเสียงของตนเจอก็ตั้งสติอยู่นาน ผิดกับเสียงหัวใจ กลับเต้นรัวราวกับถูกบีบจนแทบหยุดหายใจ
“ข้าพูดชัดแล้ว มี่เอ๋อร์” เขาย้ำคำ น้ำเสียงไร้ความลังเลใด ๆ
หัวใจของนางราวกับถูกมีดคมกรีดผ่าน เจ็บแปลบจนยากจะทน นางรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาอาจจะพูดคำนี้ แต่เมื่อมันมาถึงจริง ๆ นางก็ไม่อาจเตรียมใจรับได้
หลังจากเขากลับมาจากสนามรบ จางกุนเหยาก็รีบจัดงานแต่งอย่างที่สัญญากับนางเอาไว้ ความรักความอบอุ่นที่เขามีให้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น สามีของนางที่เคยมองนางด้วยสายตาเปี่ยมรัก ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันจืดจางลง
ท่านหมดรักข้าตั้งแต่เมื่อไร
“เหตุใดท่านเลือกทำเช่นนี้” หยางมี่ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ความรักที่นางทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่างดูไร้ค่าในสายตาของเขาเหลือเกิน
เขาไม่ได้ตอบในทันที แต่ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปยังประตู ลงจากรถม้าก่อนจะเอ่ยโดยไม่หันกลับมา
“เพราะมันเป็นหน้าที่ของข้า ในฐานะผู้นำตระกูลคนต่อไป ตั้งแต่แต่งเจ้าเข้ามา ข้าถูกท่านแม่กดดันทุกทางเรื่องมีทายาท”
คำว่า หน้าที่ ของเขา เปรียบเสมือนคมดาบที่เฉือนความหวังสุดท้ายของนางจนขาดสะบั้น หยางมี่กำมือแน่นจนเล็บจิกลงในฝ่ามือ ความเจ็บปวดนี้คงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่หัวใจนางรู้สึกในยามนี้
หากแต่แทนที่จะร้องไห้หรือวิงวอน ดวงตาคู่สวยที่ในอดีตเคยแสนโศก เมื่อวันที่เขาสัญญาว่าจะปกป้องนาง มันได้ฉายแววแห่งความสุขออกมาอย่างมิปิดบังผู้ใด แต่ในวันนี้แววตาเช่นนั้นกลับมาฉายแววหม่อนหมองอีกครา
แต่นางกลับยืดหลังตรง เอ่ยด้วยเสียงที่นิ่งสงบอย่างน่าประหลาด
“ข้าเข้าใจแล้ว”
คำตอบของนางทำให้เขาหันกลับมา ดวงตาสีเข้มสบกับนางเพียงครู่ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเล็กน้อยและเดินออกไป ปล่อยให้นางนั่งอยู่เพียงลำพังในความเงียบ แล้วก้าวลงจากรถม้าไป
หยางมี่มองตามแผ่นหลังของสามีจนลับสายตา น้ำตาที่นางกลั้นไว้ก็ไหลลงมาอย่างมิอาจห้ามมันเอาไว้ได้อีกแล้ว นางเคยคิดว่าสามารถอดทนได้กับทุกสิ่ง แต่ในยามนี้ หัวใจของนางกลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถูกคนในครอบครัวบิดารุมรังแกเหยียบย่ำที่มารดาของนางเป็นเพียงอนุ และจางกุนเหยาเป็นผู้ยื่นมือเข้ามาฉุดนางออกมาจากขุมนรก นางคิดว่าจะได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับเขาที่เป็นรักแรกและผู้มีพระคุณ
แต่วันนี้เขากลับจะแต่งสตรีอื่นเข้ามา ทั้งที่รู้ว่านางมีความหลังฝังใจเรื่องที่บุรุษมีภรรยาหลายคนจนหลังบ้านลุกเป็นไฟ
ฤดูใบไม้ผลิที่เคยงดงามในสายตาของนาง บัดนี้ช่างดูเลือนรางเสียเหลือเกิน…
บทที่ 10 หนังสือหย่า เสียงฝนที่ตกกระหน่ำทั้งคืนเริ่มเบาบางลงในยามรุ่งสาง ท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้นด้วยแสงแรกของวันใหม่ ทว่าในใจของหยางมี่ยังคงมืดมน นางลุกขึ้นจากเตียงหลังจากที่ไม่ได้ข่มตานอนแม้แต่น้อยวันนี้เป็นวันที่ทุกคนในจวนตระกูลจางเตรียมงานแต่งเข้าจวนของ ‘ว่าที่อนุ’ หญิงสาวที่บิดาของจางกุนเหยาเลือกไว้ให้ เขาไม่ได้บอกนางถึงรายละเอียด แต่ข่าวลือในจวนก็แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วนางก้าวออกจากเรือนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หยางมี่ในยามนี้ไม่ใช่หญิงสาวที่เต็มไปด้วยความคาดหวังในรักอีกต่อไป นางเดินไปยังศาลาหลังเล็กในสวนที่นางชอบมานั่งเพื่อสงบจิตใจ บัดนี้ มันกลับกลายเป็นที่ที่นางรู้สึกว่าปลอดภัยที่สุดแต่ทันทีที่ก้าวเข้าสู่เขตศาลา นางก็ต้องชะงักเมื่อพบจางกุนเหยานั่งอยู่ก่อนแล้ว เขาหันมามองนางทันทีที่เห็น เงาสีเข้มจากดวงตาของเขาสะท้อนความรู้สึกเหนื่อยล้า“มี่เอ๋อร์” เขาเอ่ยชื่อของนางด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่หยางมี่กลับรู้สึกว่ามันเป็นเพียงเสียงที่กำลังจะล่อลวงให้นางตกลงไปในวังวนรักเขาอีก“ท่านมาที่นี่ทำไม” นางถาม เสียงของนางราบเรียบ ไม่มีความอบอุ่นหรือความคาดหวังใด ๆเขาลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินเข้ามาใกล
บทที่ 9 เราไม่รักกันตอนไหน สายลมหนาวพัดผ่านสวนกุหลาบที่หยางมี่เคยโปรดปราน กลีบกุหลาบสีแดงสดที่เคยสะท้อนความหวานชื่นของวันวาน บัดนี้กลับดูเหมือนจะซีดจางลงในสายตาของนาง นางยืนอยู่ท่ามกลางสวนนี้ แต่หัวใจกลับรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในความว่างเปล่าสวนกุหลาบที่เคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมและความสุข บัดนี้มีเพียงสายลมหนาวพัดผ่าน และเสียงหัวใจของนางที่กำลังแตกสลายอยู่เงียบ ๆดวงตาคู่สวยมองออกไปยังสวนด้านนอกที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความทรงจำอันงดงาม ท้องฟ้ายามบ่ายหม่นหมองเหมือนหัวใจของนาง นางถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าเหตุใดทุกอย่างจึงกลายเป็นเช่นนี้เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบื้องหลัง จางกุนเหยาเดินเข้ามาช้า ๆ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงมองแผ่นหลังของนางที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า แววตาของเขาสะท้อนความเจ็บปวดไม่ต่างจากนางในตอนนี้ หยางมี่หันมาช้า ๆ สายตาของนางสงบนิ่ง แต่ไร้แววแห่งความอบอุ่นใด ๆ ส่งมาอย่างเช่นเคย“ท่านพี่ เราไม่รักกันตอนไหน” นางเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางเรียบง่าย แต่คำถามนั้นกลับเฉือนลึกไปถึงหัวใจของเขา เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา “มี่เอ๋อร์…ข้าไม่ได้อยากให้เ
บทที่ 8 ความอัดอั้น จางกุนเหยาพรูลมหายใจออกมาอย่างอัดอั้น ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักภายในเรือนหนังสือ ยกมือขึ้นนวดขมับเบา ๆ งานที่ค่ายทหารรัดตัวจนแทบไม่มีเวลาให้หายใจ เขาต้องรับผิดชอบงานของแม่ทัพอี้หยางเฉิงที่ลาพักอยู่กับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ กลับมาบ้านก็ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากมารดาเรื่องทายาททายาทสืบสกุลความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้ว่าหยางมี่ไม่ผิด แต่น้ำเสียงของมารดาที่กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างเคร่งเครียด ทำให้เขากดดันมากขึ้นทุกวันตอนที่นางยังอยู่จวนสกุลหยาง มารดาของเขาทั้งสงสารและเอ็นดูนาง นางเป็นเด็กหญิงที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางแรงกดดัน ถูกพี่น้องกดขี่เพราะเป็นเพียงบุตรสาวจากอนุ เขาจำได้ว่ามารดาของเขาเคยเช็ดน้ำตาให้นาง เอ่ยปลอบโยนและให้สัญญาว่าจะปกป้องนางจากพวกพี่สาวของนางแต่เมื่อถึงเวลาที่เขาบอกว่าจะขอนางแต่งงานเป็นฮูหยินเอก มารดากลับคัดค้านหัวชนฝา เพราะนางไม่มีศักดิ์ฐานะที่เหมาะสมหากไม่ใช่เพราะเขารับปากว่าจะมีหลานให้ท่านอุ้มหลาย ๆ คน บางทีงานแต่งนี้อาจไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ล่ะ“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจอีกครั้งภรรยาของเขาไม่ได้แสดงท่าทีต่อต
บทที่ 7 ใจของข้าด้านชาเสียแล้วหยางมี่เลือกที่จะเดินกลับไปที่เรือนนอนของตน ที่แห่งนี้เป็นเพียงที่เดียวในจวนที่นางพอจะซ่อนตัวได้ แม้จะไม่สามารถปิดกั้นความเจ็บปวดในใจ แต่ก็ช่วยให้นางหลบพ้นจากสายตาของผู้คนได้ชั่วคราว นางเพียงเดินเงียบ ๆ ในความมืด ดวงตาทอดมองตรงออกไปด้านหน้าอย่างว่างเปล่า แสงจันทร์ส่องกระทบพื้นราวกับต้องการปลอบโยนให้นางหายเศร้าแต่คงเป็นไปไม่ได้มือบอบบางยกขึ้นจับสร้อยหยกเส้นเล็กที่ห้อยอยู่ตรงลำคอ มันเป็นสิ่งเดียวที่จางกุนเหยามอบให้ในวันแต่งงาน พร้อมคำสัญญาว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งนาง ความทรงจำในวันนั้นย้อนกลับมาราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่าน นางเคยเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าเขาคือทุกสิ่งที่นางมี แต่วันนี้ทุกอย่างกลับพังทลายลงตรงหน้านางหยุดเดินเมื่อถึงหน้าประตูเรือน เสียงใบไม้ตกกระทบหลังคาก้องอยู่ในโสตประสาท กลุ่มเมฆหมอกบนท้องฟ้าตั้งเค้า ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาในค่ำคืนอันเงียบสงัด หยางมี่เดินช้า ๆ จนถึงหน้าประตูเรือนนอน ลมหายใจของนางหนักอึ้งในอก แม้ร่างกายจะดูสงบนิ่ง แต่จิตใจของนางกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ไร้คำตอบข้าไม่มีค่าพอให้ท่านมีข้าเพียงผู้เดียวอีกหรือความรักที่ข้าทุ่มเทมาทั
บทที่ 6 คำว่า หน้าที่ หยางมี่นั่งนิ่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ดวงตาของนางมองออกไปยังสวนด้านนอกที่เต็มไปด้วยดอกเหมยบานสะพรั่ง สายลมหนาวพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาแผ่วเบา ราวกับจะปลอบโยนหัวใจที่แตกร้าวของนาง แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่ค้างคาอยู่ในอกกลับไม่อาจถูกลบเลือนตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาบอกว่าจะรับอนุ หยางมี่ไม่อาจมองเขาด้วยสายตาเดิมได้อีกต่อไปเสียงฝีเท้าของสาวใช้ที่เดินเข้ามาใกล้ ดึงนางกลับมาสู่ความจริง “ฮูหยินเล็ก…เอ่อ ฮูหยินเล็กเจ้าคะ” สาวใช้เรียกขานนางด้วยความลังเล ดูเหมือนนางจะกลั้นใจอยู่นานกว่าจะกล้าพูดต่อ “ฮูหยินใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งว่างานต้อนรับคุณหนูตระกูลซูจะมีขึ้นในอีกสามวันเจ้าค่ะ”คำพูดนั้นเหมือนตอกย้ำบาดแผลในใจหยางมี่ นางไม่ได้ตอบในทันที แต่พยักหน้ารับช้า ๆ “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปเถิด”สาวใช้รีบล่าถอยออกไป ทิ้งให้นางอยู่ลำพังในความเงียบอีกครั้งตระกูลซู…หญิงสาวจากตระกูลใหญ่ที่เพียบพร้อมไปทุกด้าน คนที่ท่านแม่สามีของนางกล่าวชมไม่ขาดปาก ว่าเป็นสตรีที่เหมาะสมกับจางกุนเหยา ยิ่งนึกถึงชื่อเสียงและคุณสมบัติอันไร้ที่ตินั้น หยางมี่ยิ่งรู้สึกว่าตนเองช่างตัวหดเล็กลงและไร้ค่าลงทุกที“ท่านแม่…” นาง
บทที่ 5 รับอนุ ภายในรถม้าเงียบสงัด มีเพียงเสียงล้อบดเบียดไปกับทางหินที่เป็นดั่งจังหวะเดียวของบรรยากาศอันตึงเครียด จางกุนเหยานั่งนิ่ง ขณะที่หยางมี่นั่งหันหน้าออกไปยังหน้าต่าง แววตาของนางทอดมองออกไปไกล ราวกับต้องการหลบหนีจากสถานการณ์นี้ แม้จะทำหน้าที่เป็นกุนซือให้กองทัพ แต่เขาที่ร่วมเติบโตมาพร้อมกับอี้หยางเฉิง เขาก็พอจะได้เรียนวิทยายุทธมาบ้าง มีคนเดินมาด้านนอกเหตุใดเขาจะไม่รู้ตัว แต่ในเมื่อพลั้งปากเอ่ยความจริงออกไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะแก้ตัวจางกุนเหยารู้ดีว่าสิ่งที่ตนพูดออกไป ได้สร้างรอยร้าวระหว่างเขากับนางเสียแล้วแรกเริ่ม… เขาไม่เคยคิดจะแต่งนางเข้าจวนเขาไม่ใช่บุรุษที่มีอำนาจสูงส่ง เขาเพียงเป็นกุนซือข้างกายแม่ทัพ แม้จะมีสติปัญญา แต่ตำแหน่งของเขาในราชสำนักก็มิได้สูงศักดิ์นัก อีกทั้งเขายังเป็นบุตรชายคนเดียวของฮูหยินเอก หน้าที่ของเขาคือแบกรับความคาดหวังของตระกูลและที่สำคัญ…เขาเคยคิดว่า อี้หยางเฉิงคือบุรุษที่คู่ควรกับนาง หยางมี่ควรได้รับการปกป้อง ควรได้อยู่เคียงข้างบุรุษที่แข็งแกร่ง และสามารถยืนหยัดปกป้องนางได้ตลอดไป อี้หยางเฉิงเป็นถึงแม่ทัพ เป็นวีรบุรุษสงคราม บุรุษที่มีทั้งเกียรติยศและอ
Comments