จากคุณหนูอ่อนแอ…สู่วิญญาณหมอพิษคืนชีพ เธอกลับมาเพื่อล้างแค้น และมีเพียงเขา…ชายผมเงิน ดวงตาสีโลหิต ผู้เป็นที่หวาดกลัวของใต้หล้า แต่กลับเลือกจะยืนอยู่ข้างเธอ
Lihat lebih banyakบทที่ 1
ภารกิจ: ลอบสังหารรัฐมนตรีต่างชาติ ณ อาคารโบราณกลางกรุง เวลา: 03:17 น. สถานะ: ศูนย์สนับสนุนถูกตัดขาด เสียงฝีเท้าไร้เสียงพุ่งผ่านเงาหลังคา หญิงสาวในชุดดำเคลื่อนไหวรวดเร็วประหนึ่งเงาในความมืด ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม มีเพียงลมหายใจสม่ำเสมอของอารมณ์ “นักฆ่า” “เข้าตำแหน่งแล้ว” เสียงรายงานเบาๆ ดังผ่านหูฟัง… ก่อนสัญญาณจะขาดหายไปในเสี้ยววินาที เธอชะงัก ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะ รู้ทันว่านี่มันคือกับดัก “พวกมันรู้… ว่าพวกเราจะมา แล้วทำไมคำสั่งยังดำเนินต่อ” สมองวิเคราะห์ทันควัน ทว่าเสียงปืนก็ดังขึ้นจากด้านหลังในระยะประชิด กระสุนฝังเข้ากลางหลัง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เลือดไหลทะลักราวน้ำพุสีชาด ร่างของเธอล้มทั้งยืน เสียงฝีเท้าอีกคู่เดินเข้ามาอย่างเงียบงัน… ในวินาทีนั้น ดวงตาคู่งามของเธอหม่นแสงลง ชายคนนั้น คนที่เธอไว้ใจมากที่สุด ทั้งที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาเพิ่งสัญญาว่า ‘หากภารกิจนี้เสร็จสิ้น เราจะออกจากองค์กรไปด้วยกัน…’ แต่เหตุใด แล้วทำไม ถึงกลายเป็นเช่นนี้…? “ทำไมกัน!” บาดแผลที่กลางหลังยังเจ็บไม่เท่า กับคำพูดของเขาที่ตามมา คำพูดซึ่งฉีกหัวใจยิ่งกว่ากระสุนใดๆ “เยว่ซิน… ข้าขอโทษ… แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง ถ้าไม่ใช่เจ้าที่ตาย คนที่ต้องตาย…ก็คือข้า” เขามองเธอด้วยแววตาเจ็บปวด มือสั่นเล็กน้อย แต่ยังเลือกจะพูดคำที่พรากเธอไปตลอดกาล “ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ!!! ข้าไม่เคยคิดเลย… ว่าคนที่หักหลังข้า จะเป็น เจ้า! ชายผู้ที่อยู่ข้างข้ามา สิบกว่าปี!” เธอหัวเราะทั้งน้ำตา ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิง “เจ้าทำได้ดีนัก เว่ยหลง!” เขาเบือนหน้าหนี ไม่อาจสบตา “ข้าขอโทษ… ข้าเองก็แค่อยากมีอิสรภาพ และวันนี้คือโอกาสเดียวในชีวิตข้า…” เขารอวันเช่นนี้มามากว่ายี่สิบปี แต่เมื่อแลกอิสระด้วยชีวิต ของหญิงสาวเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างเขามาเสมอ หัวใจของเขาก็แทบแตกสลาย ทว่า หลินเยว่ซินกลับหัวเราะเบาๆ ด้วยแววตาเยือกเย็น “เจ้าคิดหรือ… ว่าข้าจะยอมตาย ตามแผนของเจ้า” เธอยกมือขึ้นเผยให้เห็น ตัวจุดชนวนระเบิดในฝ่ามือ ที่ได้ติดตั้งไว้ล่วงหน้าแล้วทั่วอาคาร “หากจะตาย… ก็ต้องตายไปด้วยกัน!” เสียงระเบิดดังกึกก้อง เปลวเพลิงแผดเผาทุกสิ่ง ในเสี้ยววินาทีนั้น เธอยังเห็นชัดร่างของตนเอง… ถูกแรงระเบิดฉีกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อาคารทั้งหลังพังทลายลงมาในชั่วพริบตา… “หลินเยว่ซิน” นักฆ่าลำดับหนึ่งของโลก พร้อมนักฆ่าอีกนับสิบ…สลายหายไปในพริบตา ในห้วงยามนั้น ฟ้าผ่าคำรามระงม ท้องนภาดำมืดปกคลุมทุกสรรพสิ่ง ทว่าเช้าวันรุ่งขึ้นกลับคล้ายว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน สายฝนโปรยปรายบางเบา บรรยากาศเงียบสงบ… ทุกอย่างกลับคืนสู่ความนิ่งสงัดอย่างประหลาด จวนกั๋วกง แคว้นเซี่ย ลานหลังอันรกร้างถูกทอดทิ้งไร้ผู้เหลียวแล ภายในห้องเย็นเฉียบเงียบงัน เฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้นต่างเก่าโทรม ไร้ซึ่งชีวิตชีวาบนเตียงแข็งกระด้าง… มีร่างบอบบางนอนแน่นิ่ง อยู่ร่างนั้นไข้ยังไม่หาย ใบหน้าแดงจัดผิดปกติ เหงื่อเย็นผุดซึมทั่วกายริมฝีปากขยับพร่ำละเมอ คิ้วเรียวขมวดแน่น ราวกำลังทุกข์ทรมารมาเนิ่นนาน อุณหภูมิร่างกายจึงค่อยๆ ลดลงคิ้วที่เคยเกร็งแน่นค่อยๆ คลายออก จนกระทั่ง ดวงตาคู่นั้นพลันลืมขึ้นฉับพลัน! เพดานแปลกตาที่ไม่คุ้น ทำให้เธอชะงักไปหลายวินาที หัวใจเต้นถี่ รีบลุกพรวดขึ้นนั่ง แต่ร่างกายกลับเจ็บปวดราวทุกกระดูกถูกแยกประกอบใหม่ ทันใดนั้น… ความทรงจำแปลกประหลาด ก็ไหลทะลักเข้ามาในสมองภาพจำที่ไม่ใช่ของเธอ ฉายซ้อนกันไม่หยุด หญิงสาวขดตัว กอดศีรษะแน่น หลับตาแนบเพื่อทนความทรมานที่ไม่อาจห้าม ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งใบหน้าซูบซีด ผอมแห้ง แต่แววตากลับเปล่งประกายเย็นชา ริมฝีปากคลี่ยิ้มเยาะเย้ยเย็นชา “กลับชาติมาเกิด…!” ดูเหมือนสวรรค์… จะไม่ยอมปล่อยให้ข้าตายง่ายๆ เพราะนาง ได้ถือกำเนิดใหม่ในโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สายตากวาดมองร่างที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก นางแค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน ร่างกายนี้ แม้แต่ชื่อ “หลินเยว่ซิน” ก็ยังเหมือนเดิม ทว่ากลับอ่อนแอเหลือเกิน นางกลายมาเป็นบุตรสาวคนที่สามแห่งจวนกั๋วกงตระกูลหลิน แถมยังเป็นบุตรหญิงโดยชอบธรรมของภรรยาเอก เดิมที… หลินเทียนหยู่มีภรรยารองอยู่ก่อนแล้ว แต่เงื่อนไขในการได้รับตำแหน่งและอำนาจทั้งหมด คือจะต้องแต่ง “ซูเหยา” บุตรีของโหวหยวนหยาง ให้เป็นภรรยาเอก หลังจากซูเหยาให้กำเนิดหลินเยว่ซินได้ไม่นาน นางก็ตายเพราะการคลอดยาก จากไปโดยไม่เหลือใครเคียงข้าง ทิ้งทารกน้อยให้ถูกโยนไปยังลานหลังที่ไม่มีใครเหลียวแล ให้มีชีวิตอยู่หรือตายก็สุดแล้วแต่เวรกรรม และน่าแปลก… หลินเยว่ซินเกิดในวันเดียวกับหญิงสาวที่โด่งดังที่สุดแห่งเมืองหลวง “อวิ๋นเมิ่งจิน” วันนั้น… ท้องฟ้าแยกออกเป็นสองสี ด้านหนึ่งเป็นสีแดงฉานราวโลหิต อีกด้านเป็นทองระยับเจิดจ้า ว่ากันว่า… วันนั้นหงส์และมังกรส่งเสียงร้องสะท้อนทั่วฟ้า เสียงนั้นไม่เคยเลือนหาย แม้เวลาจะผ่านเนิ่นนานเพียงใด อาณาจักรหนานเซี่ย มีคำทำนายที่สืบต่อกันมากว่าหมื่นปี เมื่อถึงยามนั้น หากมีทารกหญิงเกิดมาพร้อมนิมิตประหลาด ฟ้าดินจะแปรเปลี่ยน หงส์เพลิงจะคืนชีพ สตรีผู้นั้นจะเป็นผู้ลิขิตโชคชะตาแห่งแผ่นดิน ผู้ใดได้ครอบครอง…จะได้ครองแผ่นฟ้า ผู้ใดคิดขัดขวาง…จักตกสู่นรกชั่วนิรันดร์! “อวิ๋นเมิ่งจิน” จึงถูกยกย่องขึ้นสู่สถานะ ผู้ลิขิตชะตา อย่างสูงส่ง แม้แต่ราชวงศ์ยังต้องให้ความเคารพอย่างน้อยสามส่วน ส่วนหลินเยว่ซิน… เด็กน้อยที่ทำให้มารดาแท้ๆ ต้องตาย ตั้งแต่กำเนิดไม่มีผู้ใดจักคิดว่านางจะมีพรสวรรค์เทียบเท่า แต่ว่า ก่อนอายุหกขวบนางกลับเป็นเด็กหญิงที่น่าเอ็นดู เฉลียวฉลาดนัก ความฉลาดปราดเปรื่องเกินวัย บวกกับนิสัยแสนจะซุกซนขี้เล่น ทำให้ได้รับความรักจากผู้คน ไม่ว่านางจะเรียนรู้สิ่งใด เพียงฟังเพียงครั้งเดียว ก็เข้าใจแจ่มชัด นางเคยโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวง ได้รับสมญานามว่า “เทพธิดาแห่งปัญญา” ถึงขั้นที่ในยุคนั้น จักรพรรดิยังมีพระราชโองการพระราชทานหมั้นหมาย ให้นางแต่งกับองค์ชายผู้เปรียบดั่งบุตรแห่งสวรรค์อ๋องอี้ “หนานกงอี้เฉิน” ทว่าความโชคร้ายได้มาเยือน… ในวันครบรอบหกขวบของนาง นางกลับลอบหนีออกจากจวนอย่างไร้สาเหตุ รุ่งเช้าวันถัดมา นางถูกพบในสภาพไข้สูงไม่หยุด ร่างกายอ่อนแรงหมดสติ ยาวนานนับเดือน และเมื่อดวงตาคู่นั้นลืมขึ้นอีกครั้ง… เด็กหญิงผู้ฉลาดหลักแหลมกลับกลายเป็นคนโง่เขลา เบาปัญญา พูดจาไม่รู้ความ ความจำเลอะเลือน มีเพียงใบหน้าของ “หนานกงอี้เฉิน“ ที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่พบเขา นางจะหัวเราะโง่ๆ มองเขาอย่างเหม่อลอย ประหนึ่งคนเสียสติ เพียงชั่วพริบตาเดียว “เทพธิดาแห่งปัญญา” ผู้เคยรุ่งโรจน์กลับสิ้นชื่อเสียง เกียรติยศพังทลาย เหลือเพียง “คนบ้าแห่งเมืองหลวง” หญิงโง่เขลาเยี่ยงนี้ จะคู่ควรเป็นชายาของอ๋องได้อย่างไร หนานกงอี้เฉินย่อมไม่พอใจ และถึงขั้นรังเกียจอย่างยิ่ง เมื่อวานนี้… คือวันคล้ายวันเกิดปีที่สิบหกของหลินเยว่ซิน และก็คือวันสมรสของนางกับอ๋องอี้เช่นกัน แม้เวลานี้นางจะกลายเป็นสตรีโง่เขลา ไร้ค่า แต่ราชโองการ…ก็คือราชโองการ! พระราชดำรัสของฮ่องเต้ ย่อมเปลี่ยนไม่ได้ตามอำเภอใจ ดังนั้นงานสมรสจึงยังคงต้องจัดขึ้นตามกำหนด การอภิเษกของท่านอ๋อง ย่อมเป็นงานยิ่งใหญ่สะเทือนทั้งเมือง แต่วันนั้น ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า… คืนสมรส เมื่อหนานกงอี้เฉิน ดื่มจนเมามายและก้าวเข้าห้องหอ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา กลับมิใช่เจ้าสาวในชุดแดงสดดุจเปลวเพลิง หากเป็นภาพของหลินเยว่ซิน… นางนอนอยู่บนเตียงในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ร่วมอยู่กับบ่าวผู้หนึ่ง! ร่างเปลือยเปล่า ส่วนใหญ่เผยให้เห็นรอยฟกช้ำดาษดื่นทั่วเนื้อตัว เพียงเท่านั้นก็เพียงพอจะก่อให้เกิดจินตนาการ อันบิดเบี้ยวและชวนแสลงใจ บนผ้าปูเตียงสีขาวสะอาด ยังมีผ้าเช็ดหน้าสีขาวอีกผืนหนึ่ง ที่ปรากฏรอยแดงจางๆ อย่างชัดเจน สายตาของหนานกงอี้เฉินแทบแตกเป็นเสี่ยง! ความเมาที่เกาะกุมอยู่หายวับไปในพริบตา เขาคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล “นังสตรีต่ำทราม! เจ้าช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก! กล้าหลับนอนกับบ่าวไพร่ในคืนสมรส! เจ้า… ช่างต่ำช้าเสียจริง! เจ้าโหยหาผู้ชายถึงเพียงนี้เชี่ยวรึ!”บทที่ 90 เจ้ากิเลนน้อยจื่อจู่ค่อยๆ ถอยห่างจากหลินเยว่ซินทีละก้าว ยิ่งถอยไกลได้เท่าไร มันก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยมากเท่านั้น หญิงสาวผู้นั้น… รูปร่างหน้าตาก็แสนงดงาม แต่สำหรับจื่อจู่แล้ว ยิ่งงาม ยิ่งน่ากลัว! ดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้น มองเธออย่างระแวดระวังถึงขีดสุด “หญิงงามยิ่งนัก… ยิ่งอันตราย!” จื่อจู่คิดมาตลอดว่า นับตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกลัวใครเว้นแต่เจ้านายของมันเพียงคนเดียว ทว่าในวันนี้…มันกลับรู้สึกเหมือนตนเจอผีเข้าแล้ว! ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงจิต ทำเอามันสะดุ้งโหยง ปีกน้อยกระพือถลาแทบตกพื้น มันรีบทรงตัว ก่อนจะเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้า พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องขลุ่ยหลิ่วกวงในมือ สายตานิ่งลึก สนใจแต่ขลุ่ย ไม่แม้แต่จะเหลียวมองมันด้วยซ้ำ จื่อจู่ถอนหายใจโล่งอกทันที จากนั้นจึงถอยออกอีกสองก้าว แล้วกางปีกบินขึ้นฟ้า เสียงเรียกเมื่อครู่…คือคำสั่งจากเจ้านายของมัน เมื่อมันบินออกมายังลานบ้าน ก็พบว่า ชายหนุ่มผู้งดงามลึกลับหนานกงเยี่ยนหลัวยืนรออยู่ใต้ต้นไม้เรียบร้อยแล้ว “นายท่าน… ท่านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” มันเอนหัวกลมซบไหล่ชายหนุ่มอย่างออดอ้อน หนานกงเยี่ยนหลัวหัวเราะเ
บทที่ 89 “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ” เสียงนั้นตอบอย่างเนิบช้า เย้ายวน และมั่นคง “เพราะข้าก็คือเจ้า… เจ้า…ก็คือข้า สิ่งที่เจ้าคิด… ข้าย่อมรู้ทั้งหมด” แม้เสียงนั้นจะอ่อนโยนราวสายลม แต่หลินเยว่ซินกลับไม่มีอารมณ์จะหลงใหล นางแค่นเสียงในลำคออย่างเย็นชา “เจ้ามันเพ้อเจ้อ! เจ้าเป็นข้า ข้าเป็นเจ้า… เจ้าเป็นผีอะไรกันแน่! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร ข้าก็ขอสั่งไสหัวไปให้พ้น!” ในขณะที่ความคิดนั้นผุดขึ้น เสียงปริศนาในหัวกลับหัวเราะเบาๆ ราวกับสนุกกับอารมณ์ขุ่นเคืองของนาง “พวกเรา… ใช้ร่างเดียวกัน เจ้าไม่มีทางหนีข้าได้หรอก~” หลินเยว่ซินสบถลั่นในใจทันที “ไม่มีทางหนีเจ้าก็ช่าง! แต่ข้าไม่เคยรู้เลยว่า ข้ากลายเป็นผู้ชายตั้งแต่เมื่อใด!” เสียงของมันแม้นุ่มนวลแค่ไหน… แต่มันก็เป็นเสียงของ บุรุษ! ได้โปรดเถอะ! เสียงในหัวนางน่าจะเป็นหญิงสิไม่! “เพราะโดยแท้จริงแล้ว… เจ้าหาได้มีเพศไม่” เสียงนั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ คล้ายพูดถึงสัจธรรมที่เหนือมนุษย์ แววเสียงแฝงด้วยความรู้เกินคน ฟังดูเย็นชาและห่างไกล หลินเยว่ซินฟังแล้วแทบจะระเบิดออกด้วยความคั่งแค้น “ไม่มีเพศรึ เจ้าสิไม่มีเพศ! ข้านี่แหละคือมนุษย์!”
บทที่ 88 นางรู้สึกเหมือนถูกเล่นงานอย่างแรง จื่อจูเกาท้ายทอยอย่างไม่รู้จะตอบยังไง “นายท่านของข้าก็แค่เป่าได้แบบพอมีเสียงเฉยๆ เพราะขลุ่ยนี้มีพลังพิเศษสามารถควบคุมสัตว์ทั้งปวง เมื่อขลุ่ยหลิ่วกวงปรากฏ สัตว์ทั่วหล้าแทบหมอบกราบ!” “ควบคุมสัตว์ทั้งโลก…” หลินเยว่ซินกลืนน้ำลายลงคอแรงมาก แค่ขลุ่ยเล่มเดียว คุมสัตว์ได้ทั้งโลกเนี่ยนะ แล้วแบบนี้ คนที่สร้างขลุ่ยนี้ จะบ้าไปแล้วหรือเปล่า สร้างขลุ่ยมาแท้ๆ แต่ดันไม่มีใครเป่าได้ซะงั้น นางพลิกขลุ่ยในมือไปมา หน้าตาบึ้งตึงอย่างสุดขีด ในอนาคต เมื่อนางย้อนมาคิดถึงคำพูดนี้ทีไร เธออยากตบปากตัวเองสักสองทีทุกครั้ง จื่อจูถอนหายใจ “เดิมที…ทั่วทั้งหกแดนแคว้น ก็มีแค่คนสร้างมันเมื่อหลายหมื่นปีก่อนเท่านั้นที่เป่ามันได้ แต่ตอนนี้…”มันเงยหน้ามองหลินเยว่ซินตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ดูเหมือน…จะไม่ใช่แค่นั้นแล้วล่ะ” หลินเยว่ซินกลอกตาอย่างสุดแรง “จะไปรู้ได้ไงว่าเมื่อหมื่นปีก่อน คนนั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ บางทีทั้งหมดก็แค่ตำนานมั่วๆ ที่คนยุคหลังแต่งขึ้นก็ได้” ทันใดนั้นนางก็หันมามองเจ้าตัวเล็ก นึกถึงที่เสี่ยวถิงเคยบอกว่า จื่อจูถึงกับสลบเพราะเสียง
บทที่ 87ส่วนหลินเยว่ซินนั้น… หากไม่ติดว่าถือขลุ่ยอยู่ในมือ นางคงกรีดร้องลั่นห้องไปแล้ว! ใบหน้าของนางซีดเผือดเล็กน้อย ริมฝีปากสั่นระริก ราวกับเพิ่งพบอสุรกายตรงหน้า“ขะ…ข้าไม่เคยเป่าขลุ่ยได้เลยนะ!” นางพร่ำกับตนเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อเดิมทีนางก็แค่หยิบขลุ่ยขึ้นมา…ทำทีเป็นเป่าให้ดูเท่เท่านั้น หาได้ตั้งใจจะเล่นจริงจังไม่ แต่ทันทีที่ริมฝีปากแนบเข้ากับปากขลุ่ย ท่วงทำนองหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในห้วงจิตทำนองที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่กลับสามารถเล่นได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องนึกหรือฝึกฝนสักครา“ในชาติก่อน ก็เป่าไม่เคยได้เลยแท้ๆ!!” แม้นางจะเชี่ยวชาญในศาสตร์หลากแขนงของเครื่องดนตรี แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ว่าชาติไหน นางก็ไม่อาจฝืนลิขิตได้เลย นั้นก็คือ ขลุ่ยสมัยนั้น แค่ลองเป่าครั้งแรก เสียงที่ออกมาถึงขั้น ‘หลุดคีย์จนพาใจผู้ฟังบินไกลถึงทะเลตะวันตก!’อาจารย์ดนตรีทุกคนถึงกับส่ายหน้าร่ำไห้ “ปล่อยไปเถิด สตรีนางนี้กับขลุ่ยไม่ใช่ดวงชะตาที่จะโคจรพบกัน”แต่ทว่าตอนนี้แค่ยกขึ้นแนบปาก ทำนองก็พรั่งพรูออกมาราวกับห้วยไหลจากยอดเขา หลินเยว่ซินเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในตัวเองอย่างรุนแรง นางเบิกตากว้
บทที่ 86 ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึง…. ฤดูแห่งการเริ่มต้นใหม่ที่คนทั้งหลวงมักเฝ้ารอ ทว่าในจวนกั๋วกงปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม ก่อนถึงวันตรุษจีน ข่าวอื้อฉาวและความขัดแย้งแพร่ไปทั่ว จวนซึ่งควรจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ กลับเงียบสนิทด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ ข่าวอื้อฉาวทุกหย่อมหญ้าในจวนกั๋วกง ล้วนแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง กลายเป็นหัวข้อซุบซิบประจำโต๊ะอาหารของชาวบ้าน และยังเป็นเรื่องที่เหล่าขุนนาง หยิบยกขึ้นมาล้อเลียนทุกครั้งที่พบแม่ทัพหลิน แม้ปากจะทำท่าห่วงใย แต่แท้จริงกลับคือการจงใจแทงใจดำอย่างไม่ไว้หน้า ในวังวนราชสำนัก ที่ผู้คนช่ำชองเรื่องเลียแข้งเลียขา เมื่อถึงคราวแทงข้างหลัง ก็เก่งกาจไม่แพ้ใคร ช่วงเวลานี้ นับได้ว่าหลินเทียนหยู่ตกอยู่ในห้วงขาลงอย่างแท้จริง แม้แต่คิดจะหาเรื่องใส่หลินเยว่ซิน เขายังไร้เรี่ยวแรงจะทำ และเพราะเหตุนี้เอง นางจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่พักใหญ่ … ฝ่ายฮูหยินรอง กลับเริ่มรู้สึกว่าหลินเยว่ซินผู้นี้ ช่างประหลาดยิ่งนัก ทั้งที่นางรู้ดีว่า หลินอวี้เฉิง แท้จริงคือบุตรของตนกับหวังอัน แต่ข่าวลือที่แพร่สะพัดกลับโยนความผิด ไปยังหลินอวี้ซิง เสียหมด จนหลินเทีย
บทที่ 85 นางผลักชายที่นอนทับอยู่บนตัวออก ก่อนกรีดร้องลั่นอย่างเสียสติ ภาพความวุ่นวายและกลิ่นเหม็นโสมมในห้องทำให้นางแทบคลั่ง นางกัดฟัน ดวงตาวาววับด้วยแสงเยียบเย็นเมื่อชายเหล่านั้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงวาบวูบของใบมีดก็ซัดวูบเข้าหาคอพวกเขา เสียงกรีดร้องไม่มีเวลาได้เปล่งออก ร่างของพวกเขาร่วงลงสู่พื้นทีละคน… ไม่หายใจอีกต่อไปชายคนสุดท้ายยืนตัวแข็ง ตกตะลึงมองภาพสยดสยองเบื้องหน้า เหล่าพี่น้องร่วมย่ำยีหญิงงามเมื่อคืน ล้มตายลงต่อหน้าเขาทีละคนหญิงสาวที่เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนยังนอนแนบชิดใต้ร่างเขาบัดนี้กลับถือมีดสั้นปลายแหลมในมือ หยดเลือดสีแดงสดไหลริน จากปลายมีดทีละหยด ตกกระทบพื้นห้องที่ยุ่งเหยิงราวกับบุปผาชั่วร้ายเบ่งบานหลี่อวี้หรงยิ้มเหี้ยมเกรียม ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้เฉียนเซิง ทีละก้าวอย่างอำมหิต เขายังไม่ทันได้ขยับหนี ความเจ็บปวดก็แล่นวาบกลางอก เลือดร้อนๆ พุ่งทะลักออกมาราวน้ำพุร่างของเขาทรุดฮวบลงกับพื้น ดวงตาเบิกโพลง ตายตาไม่หลับ แม้จนวินาทีสุดท้าย เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นประตูที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม เหตุใดจึงเปิดไม่ออก?เขามองหญิงตรงหน้า หญิงที่เคยเป็นแค่ของเล่นกลับกลายเป็นปีศาจคลั่ง
Komen