ในวันที่คำพูดของนางเป็นเพียงลมปาก ถูกเขาเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด่าทอสารพัด หยามน้ำใจ และไม่ให้เกียรติ กล่าวหาว่านางเป็นสตรีร่าน ต่ำทรามกล้าสวมหมวกเขียวให้สามีอย่างไร้ยางอาย ทั้งที่นางรักเขา...รักมากจนยอมยกทุกสิ่ง ยอมให้สตรีอื่นก้าวเข้ามาในเรือน นางยอมทุกอย่างเพียงเพื่อให้เขามีความสุข แม้ต้องแบ่งบุรุษที่เป็นสามีให้สตรีอื่น แต่สุดท้ายสิ่งตอบแทนที่ได้กลับเป็นความตายอย่างน่าสมเพช ไป๋ซูหนิงถูกบุรุษผู้นั้นสั่งลงโทษโดยไม่เคยถามไถ่ความจริง มิหนำซ้ำยังทำราวกับว่านางก่อความผิดใหญ่หลวง ทั้งที่นางบริสุทธิ์ใจต่อเขาถึงเพียงนี้ทว่าเซี่ยจวิ่นอี้กลับมอบผ้าขาวและยาพิษให้นางเลือก...เสแสร้งทำราวกับเป็นผู้มีเมตตาเสมือนเป็นบุญคุณก้อนสุดท้าย สิ่งที่เขามอบให้นั้นคือความตาย! ในคืนฟ้าฝนโหมกระหน่ำ นางสิ้นใจอย่างอนาถ พร้อมกับบุตรในครรภ์ที่ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ ทว่า…ฟ้ากลับให้โอกาสนางได้ย้อนคืนมา ชาตินี้ ภพนี้ ต่อให้ต้องดิ้นรนเลือดตากระเด็น นางจะไม่ข้องแวะกับบุรุษผู้นั้นอีก! ไป๋ซูหนิงสาบาน จะพาบุตรในท้องหนีไปให้ไกลจนบุรุษผู้นั้นไม่อาจเอื้อมมือคว้านางได้อีกแน่!
View Moreวันนี้ฝนตกหนักตลอดทั้งวันไร้วี่แววว่าจะหยุดลงราวกับว่าพายุห่าใหญ่พัดผ่านมาไม่สิ้นสุด เสียงท้องฟ้าคำรามดังกึกก้องสั่น สะเทือนสะท้อนไปทั่วราวกับสวรรค์กำลังโกรธเกรี้ยว
ณ จวนเซี่ย ผู้คนทั้งจวนแทนที่จะยืนหลบฝนแต่กลับกางร่มท่ามกลางสายฝนที่สาดกระหน่ำลงมาไม่หยุด บางคนถึงกับตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บจากละอองฝนแต่ไม่ลดละจากไป สายตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังร่างของสตรีชุดขาวผู้หนึ่งที่คุกเข่าอยู่หน้าห้องบรรพชนมานานหลายชั่วยาม ไร้วี่แววจะลุกหรือหาที่หลบฝน “…” อาภรณ์ของนางเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ใบหน้าคนงามซีดเซียว ริมฝีปากบางที่เคยอวบอิ่มกลับซีดสลดจนคล้ำคล้ำจางๆ “พี่หญิงก็ยอมรับมาเถอะเจ้าค่ะ ว่าท่านสวมหมวกเขียวให้ท่านพี่จริงๆ ความสัมพันธ์ของท่านกับเว่ยอ๋องลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นสหายสนิท!” น้ำเสียงหวานตะโกนดังลั่นแข่งกับเสียงฝนสาดกล่าวออกมาอย่างเหน็บแนมไร้ซึ่งความเห็นใจ “ไฉนเลยบุรุษและสตรีจะเป็นเพียงสหายกันได้” เหม่ยจินฮวายืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคา เยื้องจากห้องบรรพชนเล็กน้อย สายตาของนางทอดมองสตรีตรงหน้าด้วยความสมเพชฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด ขัดกับน้ำเสียงอ่อนหวานราวกับเห็นใตเมื่อครู่… ร่างที่ตากฝนมาหลายชั่วยาม หากเป็นบุรุษคงไม่อาจทนได้เช่นนี้ ทว่าไป๋ซูหนิงกลับคุกเข่าแน่นิ่งไม่ไหวติงและไม่แม้แต่จะขยับพลิกกายเปลี่ยนท่าราวกับก้อนหินแข็งทื่อ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งทอดมองห้องตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว หากมองดูเพียงผิวเผินก็มีแต่ความดื้อรั้น หาได้สำนึกผิดแม้แต่น้อย! ทว่ากลับเจือไปด้วยความขมขื่นและเจ็บปวด ไป๋ซูหนิงเหลือบสายตาขึ้นมองสตรีผู้นั้น ใบหน้าฉายรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างดูแคลนทันที “เจ้าทำสำเร็จแล้ว เหม่ยจินฮวา ฉลาดไม่น้อย…นึกว่าจะโง่งมเหมือนใบหน้าเสียอีก” น้ำเสียงหวานแหบพร่าที่โต้ตอบกลับมาแม้จะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินทว่าเหม่ยจินฮวากลับจับได้ทุกคำ นางหายใจแรงอย่างขุ่นเคือง มือทั้งสองข้างกำแน่นข่มโทสะสุดแรง ก่อนจะกัดฟันเค้นเสียงลอดไรฟันออกมา “หึ! อวดดีเช่นนี้ พี่หญิงคงได้คุกเข่าสำนึกผิดจนตายแน่!” ไป๋ซูหนิงตวัดสายตามองขวางใส่อีกฝ่าย นางหาได้เกรงกลัวความตายไม่…เหตุใดจึงต้องยอมรับความผิดที่มิได้ก่อ ทั้งที่นางไม่มีความคิดที่จะสวมหมวกเขียวให้สามีเลยด้วยซ้ำ “วางใจเถอะ น้องหญิง…หากข้าตายย่อมไม่มีวันลืมเจ้าแน่” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วพร่าเย็นเยียบ จนแม้แต่เหล่าสาวใช้ที่ยืนมองอยู่รอบบริเวณกลับรู้สึกขนลุกซู่ไปตามๆ กัน “นายท่านขอรับ…ทำเช่นนี้เกินไปกระมัง” เซี่ยจวิ้นอี้ยืนทอดสายตามองสตรีเบื้องหน้าอยู่ภายในเรือน สายตาคมลึกล้ำเกินจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใด มุมปากหนาหยักยกขึ้นเล็กน้อยอย่างเย็นชาก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไร้ความรู้สึก ราวกับมิได้เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีมาตลอดหลายปี “เกินไปหรือ…” เขาเลิกคิ้ว เส้นเลือดบนหลังมือปูดโป่งเมื่อกำหมัดแน่น “เหอะ! หากข้าสังหารสตรีชั่วกับมือก็คงไม่นับว่ามากเกินไปกระมัง”” กู้เฟิงได้ยินถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะลอบถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง ราวกับมีก้อนหินนับพันชั่งกดทับอยู่ในใจ เขาทอดสายตามองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นร่างฮูหยินตากฝนจนเปียกปอนไร้เรี่ยวแรง จึงเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจไม้ได้ เหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงใจแข็งได้เพียงนี้กัน… “เช่นนั้น…ท่านทำเช่นนี้ ก็มิต่างจากสังหารนางหรือขอรับ” เสียงของกู้เฟิงเจือความอัดอั้น “ไฉนเลยกล้าปล่อยฮูหยินให้นั่งตากฝนเปียกปอนมาหลายชั่วยาม โดยไม่คิดสงสารหรือเห็นใจนางแม้แต่น้อย…” ประโยคนันทำให้แววตาของเซี่ยจวิ้นอี้วูบไหว เขาเผลอขบกัดกรามจนขึ้นสันแน่น ทันใดนั้น…ภาพเหตุการณ์บางอย่างแวบเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่อยู่ สตรีชั่ว!…หรือเขาสมควรฆ่านางเสียให้สิ้นเรื่อง! เพราะเขาตามใจ ไม่เคยเอ่ยปากห้ามอันใดแม้ครึ่งคำ หาได้หมายความว่านางจะทำสิ่งใดลับหลังและทรยศเขาได้! สตรีผู้นี้ช่างเลี้ยงเสียข้าวสุกนัก ไม่รักดี! สายตาคมกริบแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความโกรธ “อวดดี! ทั้งที่ข้าให้โอกาสพูดแต่กลับทำเป็นใบ้ไม่ยอมเอ่ยปากแม้แต่คำเดียว!” กู้เฟิงรู้ว่าผู้เป็นนายโกรธมากจริงๆ เขายังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด สายตาก็พลันมองเห็นอีกฝ่ายก้าวออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว “นายท่านจะไปที่ใดขอรับ!” ห้องบรรพชนของจวนสกุลเซี่ยหาได้ตั้งอยู่ท้ายจวนไม่ หากตั้งอยู่ในเรือนชั้นใน ผู้ใดเดินผ่านย่อมเห็นได้ถนัดตา เพราะสร้างไว้เพื่อให้คนในจวนคำนับบรรพชนได้สะดวก…ไม่ใช่เฉพาะแค่วันสำคัญเท่านั้น ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากซีดแน่น ร่างสั่นระริกจากความหนาวเย็นที่กัดกินถึงกระดูก ทว่านางได้เปล่งเสียงอ้อนวอนแม้ครึ่งคำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งพลันมองเห็นร่างคุ้นตาของบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาพอดี มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความประหม่า หัวใจที่สงบนิ่งกลับเต้นระส่ำอย่างห้ามไม่อยู่ “…” “นายท่านเซี่ย!” เหล่าสาวใช้ที่ยืนมุงดูฮูหยินตามระเบียงและริมชายคาต่างหยุดชะงักตกใจ บ้างก็หลบสายตาคมกริบน่าหวาดกลัวคู่นั้นจนแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ “ท่านพี่!” น้ำเสียงของเหม่ยจินฮวาดังขึ้นทันที เมื่อสาวใช้ข้างกายสะกิดส่งสัญญาณ นางละสายตาจากสตรีตรงหน้า ดวงตาคู่งามที่เมื่อครู่ฉายแววเหยียดหยามสมเพช พลันแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนปนสงสารอย่างรวดเร็ว นางยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไปหา แต่กลับต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงทุ้มตวาดลั่นจนร่างแข็งทื่อ “จวนสกุลเซี่ยไม่มีสิ่งใดให้พวกเจ้าทำแล้วหรือ! หรืออยากไปคุกเข่าสำนึกผิดพร้อมนาง!” เซี่ยจวิ้นอี้คำรามลั่น สายตาคมกริบจ้องสบกับสตรีอวดดีผู้นั้นพอดี มือยังคงกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโป่ง เหล่าสาวใช้รอบบริเวณสะดุ้งเฮือก ถอยหนีกันอย่างรวดเร็ว บางคนยังลังเลเพราะห่วงฮูหยินที่กำลังตากฝน เหม่ยจินฮวาได้ยินแล้วอดลอบยิ้มสะใจไม่ได้ สูดลมหายใจลึกกดความพึงใจนั้นลง ก่อนตีหน้าเศร้าเสแสร้ง “ท่านพี่! นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว หากพี่หญิงยังนั่งตากฝนทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ เกรงว่าจะล้มป่วยเป็นแน่” “หากนางตายไป…ก็นับว่าสมควรแล้ว” ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.) แม้จะดึกดื่นเพียงนี้แล้ว ทว่าพายุฝนกลับไม่มีวี่แววจะสงบหรือหยุดลงแต่กลับยิ่งกระหน่ำหนักขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามก้องลากยาวสะท้อนทั่วฟากฟ้าอย่างน่าหวาดหวั่น ร่างของไป๋ซูหนิงเริ่มโอนเอน ไร้เรี่ยวแรงประคอง คล้ายจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ ใบหน้าคนงามซีดเซียว ไร้สีเลือดฝาดจนแทบไม่ต่างจากร่างไร้ลมหายใจ และดวงตาคู่งามที่เคยเปล่งประกายราวดวงดาวกลับหม่นแสง…ไร้ซึ่งชีวิตชีวา มือทั้งสองค่อยๆ สั่นระริก ยกขึ้นลูบหน้าท้องผ่านอาภรณ์ที่เปียกชุ่ม น้ำฝนเย็นเฉียบซึมถึงผิว แต่กลับไม่เย็นยะเยือกไปกว่าความรู้สึกผิดที่กัดกินในอก “ฮูหยิน…นายท่านเซี่ยทรงมีเมตตา อย่างไรเสียก็เห็นแก่ความสัมพันธ์สามีภรรยาที่เคยมีกันมาในอดีต” เสียงของแม่บ้านดังขึ้นแผ่วเบา นางย่ำเท้าลงบนแอ่งน้ำข้างทาง เดินเข้ามาช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่ด้านหลังฮูหยินของจวน มือถือถาดที่มีผ้าขาวผืนหนึ่งและจอกน้ำชาหนึ่งใบ ข้างกายมีสาวใช้กางร่มบังฝนให้ ขณะที่ฝนยังคงโปรยกระหน่ำไม่หยุด… เดิมทีสติของไป๋ซูหนิงก็เลือนรางอยู่แล้ว ยามค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงแสงจันทราสลัวริบหรี่ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งหนักอึ้ง ปรือขึ้นอย่างยากลำบากก่อนจะปรายหางตามองผู้มาใหม่ หึ! เมตตาหรือ…? ไป๋ซูหนิงแค่นเสียงในใจ หาได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงเงียบงันรอฟังถ้อยคำของอีกฝ่ายต่อ ไม่แม้แต่คิดจะขัดค้าน น้ำเสียงของแม่บ้านเรียบเฉย ไร้อารมณ์ ทว่าเย็นยะเยือกยิ่งกว่าสายลมในฤดูเหมันต์ “นายท่านเซี่ยได้มอบทางเลือกให้ฮูหยินเพื่อรักษาเกียรติและหน้าจะเลือกผ้าขาวผูกคอตนเองหรือดื่มยาพิษสิ้นใจดีหรือเจ้าค่ะ หากปฏิเสธไม่เลือก…พรุ่งนี้ฟ้าสางจะตัดสินโทษประหารตะบั่นหัวทิ้งทันที!” เปรี้ยง! ทันทีที่สิ้นคำ เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ คล้ายจะผ่าลงกลางจวนเสียให้ได้ ทว่า…ร่างของไป๋ซูหนิงกลับยังคงนิ่งงัน ใบหน้าคนงามแต้มรอยยิ้มเย้ยหยัน ฉายชัดทั้งความขมขื่นและเจ็บปวด “เขาอยากให้ข้าตายหรือ…” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ราวกับรู้อยู่เต็มอกถึงคำตอบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดเหล่านั้น หากเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่คิดจะเอ่ยถ้อยคำใดออกไปให้น่าสมเพชไปกว่านี้อีก ไป๋ซูหนิงกำมือแน่น สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ร่างบอบบางที่คุกเข่ามาหลายชั่วยามแทบทรุดฮวบเมื่อยืนขึ้น สองขาสั่นระริกไร้เรี่ยวแรง ทว่าใบหน้ายังคงฉาบรอยเย้ยหยัน ทันใดนั้น…ความเจ็บปวดหน่วงแผ่ซ่านขึ้นจากหน้าท้องจนไป๋ซูหนิงขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าย่ำแย่ซีดเผือด ร่างบิดเกร็งด้วยความทรมาน เลือดสีแดงสดเริ่มไหลย้อนลงตามเรียวขางาม เปรอะเปื้อนอาภรณ์จนชุ่ม ซึมไปกับน้ำฝนที่โปรยกระหน่ำ กลายเป็นสีแดงฉานในพริบตา ในความมืดมิด แม่บ้านหาได้สังเกตเห็นอาการนั้น นางเห็นเพียงท่าทางอวดดีของสตรีตรงหน้าเท่านั้น จึงก้าวเข้ามาใกล้ ถาดในมือยังคงวางผ้าขาวและจอกยาพิษไว้แน่นิ่ง “หากตัดสินใจเลือกได้แล้ว…ก็หยิบได้เลยเจ้าค่ะ” ไป๋ซูหนิงลอตัวลงเล็กน้อย นางกัดฟันกรอดฝืนความปวดหนึบที่บริเวณท้อง นางยื่นมือคว้าจอกยาพิษขึ้นมา น้ำเสียงหวานแผ่วเบาสั่นเครือเอ่ยถาม “ยาพิษจอกนี้…รสชาติดีหรือไม่” พอสิ้นคำถาม…ไม่รอคำตอบ นางกระดกดื่มลงไปในรวดเดียว ความร้อนผ่าวแผดเผาไหลลวกคอ ลามไปทั่วทั้งร่าง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นทวีคูณจนฝืนทนยืนไม่ไหว ล้มลงกองกับพื้นในทันที เพล้ง! จอกยาพิษหล่นแตกกระจายเกลื่อนพื้น เสียงดังแข่งกับเสียงฝนโปรยไม่หยุด เลือดสีแดงฉานยังคงไหลย้อนลงตามเรียวขาไม่ขาด มือทั้งสองกำหน้าท้องแน่นจนสั่นระริก นัยน์ตาเมล็ดซิ่งแข็งกร้าวฉายแววโกรธแค้นสุดขีด จ้องมองไปยังเรือนหลังหนึ่งในความมืดด้วยความเคียดแค้นแน่นอก เซี่ยจวิ้นอี้…ชาตินี้ ภพนี้ ข้าและท่านไม่เกี่ยวข้องกันอีก!ภายในจวนสกุลไป๋ กลางลานกว้าง คุณหนูไป๋ซูหนิงกำลังสนทนากับนายท่านมู่ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วดังลอยมากับสายลม เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่แถวนั้นพากันอมยิ้มอย่างอดอิจฉาไม่ได้สายตาของนายท่านมู่ที่ทอดมองคุณหนูอย่างอ่อนโยนและอบอุ่นจนสาวใช้ผู้หนึ่งอดพึมพำไม่ได้ว่า “หากมีบุรุษใดมองข้าด้วยแววตาเช่นนี้ ข้าคงยกแม่สื่อไปสู่ขอเป็นสามีทันที”เพราะมีสตรีใดเล่าที่ไม่อยากถูกรักอย่างถนุถนอมแต่เสี่ยวเถากลับกอดอก หรี่ตามองอย่างไม่วางใจนัก “ข้าว่าเศรษฐีมู่ผู้นี้ ดูจะตกหลุมรักคุณหนูของพวกเราเร็วเกินไปหน่อย”สาวใช้คนนั้นหันขวับมาถาม “แล้วพี่เสี่ยวเถาเคยมีความรักงั้นหรือ…ผู้ใดจะรู้ว่าความรักจะเกิดขึ้นเมื่อใด”แสงแดดยามสายเริ่มแผดร้อน เม็ดเหงื่อเริ่มผุดบนใบหน้าคนงาม มู่เหยียนเจ๋อเห็นแล้วอดไม่ได้จึงยื่นชายแขนเสื้อซับให้แผ่วเบาระมัดระวัง “ขออภัยที่ล่วงเกิน เกรงว่าเหงื่อจะไหลเข้าตา”ไป๋ซูหนิงชะงัก เห็นภาพความอ่อนโยนที่เซี่ยจวิ้นอี้เคยมีต่อนางแวบเข้ามาก่อนจะทับซ้อนด้วยภาพจอกยาพิษและผ้าขาวในวันนั้น หัวใจก็พลันเต้นกระหน่ำจนอกกระเพื่อม“ข้าเป็นพ่อค้าวาณิช ไหนเลยจะพกผ้าเช็ดหน้าติดตัว หากผ้าหยาบบาดผิวจนคุณหนูระคายต้องขออภั
ไป๋ซูหนิงได้ยินแล้วก็ไม่รู้ว่าควรตกใจเรื่องใดก่อนดี ระหว่างเรื่องที่เศรษฐีมู่ผู้นี้ร่ำรวยเหลือเฟือถึงขั้นใช้จ่ายราวกับเทน้ำเทท่า หรือเรื่องที่เขาซื้อจวนข้างๆ ของสกุลไป๋!?นางเอ่ยเสียงหวาน “ไปกันเถอะ พี่เล็ก…นายท่านมู่เพียงซื้อจวนหลังข้างๆ มิใช่ซื้อถนนเสียหน่อยจะไปไม่ได้อย่างไร”นางยืนอยู่หลังพี่ชาย เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงและตัดขาดไม่ให้นางข้องเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้ที่เอาแต่ตามเกี้ยว แต่ในยามนี้นางไม่ได้มีความคิดอยากแต่งงานกับผู้ใด ขอเพียงคลอดลูกในครรภ์ออกมาอย่างปลอดภัยก็มากพอแล้วหัวคิ้วเข้มของไป๋อวี่เซวียนขมวดมุ่น เพ่งมองบุรุษตรงหน้าไม่ลดละ เขาแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ไม่อยากขัดใจน้องสาว แต่ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้เช่นกันไป๋อวี่เซวียนหมุนตัวกลับ แล้วคว้าแขนน้องสาวออกจากจวน “อย่าอยู่ห่างจากข้า”ไป๋ซูหนิงกระพริบตาพริบๆ “นายท่านมู่ก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้น” น้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้างามคลี่ยิ้มจางๆ เมื่อเดินผ่านอีกฝ่าย นางเข้าใจดีว่าพี่ชายทั้งหวงและห่วงเกินเรื่องมู่เหยียนเจ๋อมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความขบขัน มุม
ราคาที่ดินในชิงโจวสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นเมืองติดชายแดนเพราะมีพ่อค้าวาณิชจากต่างแคว้นย้ายมาตั้งถิ่นฐานและทำกิจการมากมาย ยิ่งจวนที่อยู่ใกล้สกุลไป๋แล้ว ราคายิ่งสูงลิ่ว ฟังแล้วชวนให้ปวดหูนัก“หากนายท่านมู่สนใจ ข้าย่อมลดราคาให้พิเศษแน่”นายหน้าขายบ้านเอ่ย ใบหน้าระบายยิ้มกว้างจนรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าปรากฏเด่นชัดเมื่อสามวันก่อน เจ้าของจวนซึ่งทำกิจการในชิงโจวมาหลายปีจนร่ำรวย เห็นว่าจากบ้านมานานจึงคิดย้ายกลับไป หลังจากขนย้ายข้าวของออกก็นำมาฝากเขาขาย พร้อมเอ่ยว่าหากขายได้เร็วจะให้เงินอีกถุงเป็นค่าตอบแทนเพิ่มแต่ไม่ทันได้ป่าวประกาศ จู่ๆ เช้าวันนี้ก็มีคนจากจวนสกุลมู่มาเคาะประตู บอกว่านายท่านมู่สนใจจะซื้อจวน!นี่ไม่ใช่ตกถังข้าวสารแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?เศรษฐีมู่ผู้นี้มีผู้ใดไม่รู้จัก! ไม่ว่าจะเป็นที่ดินว่างเปล่าทั้งหมดในชิงโจวก็มักเป็นของสกุลมู่ทุกตารางนิ้วกระมัง เกรงว่า ทรัพย์สินเงินทองที่มีต่อให้ตายแล้วฟื้นมาใช้อีกสิบรอบก็ไม่พร่องลงสักนิดนับวันกิจการของสกุลมู่ก็ยิ่งขยายไปทั่วทั้งใต้หล้า กอบโกยกำไรจนแทบปิดปากถุงเงินไม่มิด คิดแล้วก็น่าเสียดาย เขาน่าจะรีบหาบุตรสาวเพิ่มสักคน เผื่อวันหน้าโชคห
เซี่ยจวิ้นอี้ไม่ได้เชื่อข่าวลือเหล่านั้นเต็มอก ทว่าเขากลับเห็นความสนิทสนมของทั้งคู่เกินเลยจนแทบไม่อาจเรียกว่าได้เป็นความบังเอิญถึงหลายครั้งหลายคราทว่าไป๋ซูหนิงที่เขารู้จักนั้น…นางไร้เดียงสายิ่งนัก เกรงว่าคงไม่มีทางคิดเรื่องบุรุษอื่นใดในหัวนอกจากเขาเท่านั้นเซี่ยจวิ้นอี้ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พลางถอนหายใจหนักอึ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งบรรยากาศยามดึกสงัดเท่าไร ใจเขาก็ยิ่งปั่นป่วนจนไม่อาจสงบลงได้ ความคิดมากมายที่ไร้คำตอบแล่นเข้ามาในหัว จนหนังตากระตุก รู้สึกถึงความตึงเครียดที่กดทับขมับเต้นตุบๆ อย่างหนักหน่วงเพราะเหตุใดกัน เขาจึงรู้สึกคับแคลงใจสงสัยในตัวนาง และไม่ไว้วางใจ ทั้งที่รู้จักนิสัยใจคอนางดีกว่าผู้ใด“ท่านพี่นอนไม่หลับหรือเจ้าคะ”น้ำเสียงงัวเงียดังขึ้นที่หน้าประตู เซี่ยจวิ้นอี้ปรายสายตาไปมอง เห็นภรรยาอีกคนในชุดนอนผืนบาง ยืนเกาะขอบประตูกึ่งหลับกึ่งตื่น จึงหลุดหัวเราะอย่างเอ็นดู มุมปากหนาโค้งยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเซี่ยจวิ้นอี้หยุดตรงหน้าเหม่ยจินฮวา สายตาคมกริบทอดมองอีกฝ่าย ก่อนยกมือขึ้นลูบเรือนผมอย่างอ
“รังเกียจจนไม่อยากรับของจากสกุลมู่ของข้าเลยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นอย่างชัดเจน เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างสะดุ้งรีบแหวกทางให้เศรษฐีมู่ พวกนางก้มหน้าหลุบสายตาลง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดหวั่น ราวกับกลั้นลมหายใจไปชั่วขณะใบหน้าของมู่เหยียนเจ๋อเผยรอยยิ้มจางๆ เจือความผิดหวังเล็กน้อย มุมปากหยักยกขึ้น สายตาคมกริบประสานกับพี่ใหญ่จวนสกุลไป๋อย่างตรงไปตรงมา หัวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถาม “ข้าไปทำอันใดให้คุณชายไป๋ไม่พอใจหรือ ถึงได้แสดงท่าทีรังเกียจราวกับโกรธเคือง ไม่อยากพบหน้าข้าแม้แต่ครั้งเดียว”แม้จะรู้คำตอบในใจดี แต่มู่เหยียนเจ๋อก็อดไม่ได้ที่จะยั่วยวนโทสะอีกฝ่ายนับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นที่ท่าเรือ จวนสกุลไป๋มีสินค้าต้องส่งไปต่างแคว้น แต่กลับบังเอิญมีคนจากวังหลวงมาตรวจตรา ทำให้ล่าช้าไปหนึ่งวันทว่ามู่เหยียนเจ๋อมีของสำคัญที่ต้องส่งออกด่วนอย่างไรก็ไม่สามารถล้าช้าถึงนำของสกุลไป๋ออกแล้วนำของเขาส่งไปแทนเพราะอย่างไรเสีย เขาคิดว่าของของสกุลไป๋ก็ได้ล่าช้าแล้ว ดังนั้น พรุ่งนี้ค่อยนำสินค้าเก่าออกไปกับของใหม่พร้อมกันได้กระมัง แต
ตั้งแต่วันที่เซี่ยจวิ้นอี้บุกไปจวนเว่ยอ๋อง ท่าทางโกรธเกรี้ยว ฟาดงวงฟาดงาใส่ผู้อื่นไปทั่ว เว่ยจิ้นหลานก็ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาอีกฝ่ายอีกเลย และเมื่อให้คนไปสืบความที่สกุลเซี่ยกลับพบว่า สตรีผู้นั้นหายตัวไปจริงๆทว่าที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือข่าวลือระหว่างเขากับสตรีผู้นั้น ที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็กล่าวว่าลอบคบชู้ สวมหมวกเขียวให้เซี่ยจวิ้นอี้!บัดซบเถอะ! นางเป็นภรรยาของสหาย ส่วนเขาก็เป็นสหายของอีกฝ่ายย่อมไม่คิดที่จะลอบลักกินหลังจวนผู้ใด!ใครกันช่างกล้าปล่อยข่าวลืออัปมงคลเช่นนี้?เว่ยจิ้นหลานทำใจยอมรับได้ยาก ทั้งโกรธเคืองไม่น้อย และเกรงว่าความสัมพันธ์สหายระหว่างเขากับเซี่ยจวิ้นอี้ก็คงขาดสะบั้น เพราะข่าวลือไร้ที่มานี้กระมัง!ตอนนั้นเว่ยจิ้นหลานติดธุระในวังหลวง มีงานให้ต้องจัดการสะสางจนล้นมือ ยากจะปลีกตัวได้จนเวลาผ่านไปครึ่งเดือนเต็ม!ไม่นึกเลยว่ายิ่งเขาหายไป ข่าวลือกลับยิ่งตอกย้ำหนักขึ้นรถม้าของเว่ยอ๋องจอดแน่นิ่งอยู่หน้าประตูจวนสกุลเซี่ยเว่ยจิ้นหลานเดินลงจากม้าอย่างหนักอึ้ง ไม่นานก็ถูกเชิญเข้าไปในจวน อย่างไรเสียก็ต้องคุยและแก้ข่าวลือนั้นให้ชัดเจนเขาบริสุทธิ์ใจ หาได้คิดไม่ซื่อกับภรรยาของสหายไม่!
Comments