สาวงามในบทขับลำนำมีหลายประเภท ที่ได้ยินบ่อยๆ ก็มี สาวงามสร้างชาติ สาวงามล่มอาณาจักร สาวงามอาภัพรัก สาวงามร้อยเล่ห์ อ้อ...ที่ขาดไม่ได้เลย คงจะเป็น สาวงามสู้ชีวิต ถ้าให้ลองจัดประเภท อัยน์นา คงเป็นหญิงงามชื่อแปลกที่ครอบครองตำแหน่งทั้งหมดที่พูดมาแบบเกือบจะเหมาเรียบ ไม่ใช่เพราะเธอสวย ไม่ใช่เพราะเธอดวงดีหรือดวงซวย คุณหนูอัยน์นาคนนี้ได้ทุกตำแหน่งมาครองเพราะเธอ 'เป็นเหยื่อ' ต่างหาก แต่เป็นเหยื่อประเภทที่สามารถเปลี่ยนให้คนที่มั่นใจว่าเธอเป็นเหยื่อ กลายเป็นเหยื่อที่น่าสงสารยิ่งกว่าได้ในชั่วพริบตา นี่คือเรื่องราวของผู้หญิงที่ดูคล้ายซินเดอเรลล่า แต่ดันเป็นซินเดอเรลล่าเจ้าเล่ห์ที่พร้อมจะผลักแม่เลี้ยงกับพี่สาวทั้งสองลงเหวทุกเมื่อ กับ คนที่เป็นเหมือนเจ้าชายอสูร แต่ดันเป็นเจ้าชายอสูรที่หล่อที่สุด สุภาพที่สุด สุขุมที่สุด ดูนิ่งที่สุด แต่ก็เจ้าเล่ห์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เมื่อเจ้าชายอสูรกับซินเดอเรลล่าร้อยเล่ห์มาพบกัน การฟาดฟันระหว่าง "นางเอก" กับ "เจ้าชายอสูร" จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้...แต่ต่อให้เลี่ยงได้ก็คงไม่มีใครยอมเลี่ยงหรอกมั้ง ก็ทั้งคู่ดูจะสนุกกับการฟาดการฟันครั้งนี้มากนี่นา
ดูเพิ่มเติมแถบผ้าเนื้อโปร่ง สีแดงจัด ไล้ผ่านเอวขาวนวลคอดกิ่วอย่างเอื่อยเฉื่อยยามร่างระหงสะบัดส่ายไปมาตามจังหวะกลองรูปร่างกลมแบนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กในมือนักดนตรีผิวคร้ามแดด ทุกครั้งที่เจ้าหล่อนเคลื่อนไหว หน้าอกสล้างใหญ่ใต้แถบผ้าแพรกระจ้อยร่อย จะกระเพื่อมไหว เต้นเร่า ราวกับส่วนแน่นหนันชวนอึดอัดนั้น ต้องการขึ้นมาอวดเนื้อหนังเนียนนุ่มประดับกากเพชรส่องประกายต่อหน้าชายทุกผู้ในย่านร้านค้าใจกลางเมืองหลวงอาณาจักรเวเนเซียอันเป็นศูนย์กลางความเจริญในภูมิภาคนี้
อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ที่นางระบำกรีดตาเย้ายวน เผยอปาก เขย่าร่าง
เจ้าหล่อนโยกย้ายเชิญชวนอย่างชำนิชำนาญ เรียกแววตาหิวกระหายจากบุรุษเพศได้อย่างน่าพิศวง
ไม่เพียงสายตาเท่านั้น ลีลาชวนหยุดหายใจจากแม่นักเต้นสาวหน้าตาสะสวยเส้นผมยาวเหยียดตรงสีดำขลับที่กำลังร่ายระบำเรียกแขกบนระเบียงสถานเริงรมย์ที่ใหญ่ที่สุดในย่าน ยังเรียกเสียงครางฮือจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ได้เป็นระยะ สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นการร่ายระบำของ ‘กุหลาบทะเลทราย’
“...น่าฟัดเป็นบ้า...” เสียงใครคนหนึ่งพึมพำอย่างลืมตัวตอนแม่นักเต้นที่สืบเชื้อสายจากต่างแดนเร่งจังหวะสะบัดส่าย ทำเอาคนผิวขาวจัดรูปร่างอ้อนแอ้นในชุดคลุมมีฮู้ดปกปิดเรือนผม ผู้มีดวงตาคมกริบ และมีริมฝีปากสีแดงจัดโดยธรรมชาติคล้ายหญิงสาวร้อนแรงบนระเบียงนั่น เกิดอาการใบหน้าร้อนฉ่าเพราะความขุ่นเคืองผสมกระดากอายอย่างไร้สาเหตุ
ยิ่งเห็นสายตาริษยา รังเกียจ คละเคล้ากับสายตาไม่ชอบใจที่ชาวเมืองเพศหญิงหลายๆ คนในบริเวณนั้นใช้มองนางระบำ สายเลือดซาเมียร์ในร่าง ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวผู้ยืนแทรกตัวยืนดูการเต้นระบำท่ามกลางฝูงชน ทั้งโกรธทั้งอับอายจนอยากกรีดร้องขับไล่ตั้งแต่หญิงคณิกาเชื้อสายซาเมียร์คนนั้น นักดนตรีชราผิวคร้ามแดดที่ไม่ต้องบอกก็พอเดาออกว่าเป็นสายเลือดซาเมียร์เช่นเดียวกัน เจ้าของกิจการค้าประเวณีผู้นึกอุตริสั่งให้กุหลาบงามประจำร้านออกมาเรียกแขกแต่เช้าตรู่ ไปจนถึงฝูงชนที่ดูเหมือนจะมีทุกความรู้สึกต่อคนซาเมียร์ เว้นก็แต่ความเห็นอกเห็นใจและการให้เกียรติในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์เหมือนๆ กันเท่านั้น
มันน่าเจ็บใจนัก...
เธอกัดฟันแน่น แล้วรีบละสายตาจากสตรีเชื้อสายเดียวกันก่อนจะทนระงับสติอารมณ์ไม่ไหว
หญิงสาวร่างเล็กในชุดกระโปรงสีตุ่น สวมผ้าคลุมมีฮู้ดสีเขียวเก่าคร่ำคร่า เคลื่อนตัวฝ่าฝูงชนออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ ภายในใจ ไม่มีเรื่องใด นอกจากความเจ็บปวดลึกล้ำเกี่ยวกับความจริงแสนเศร้าที่ว่า สาวงามผู้มีหน้าที่ ‘บำรุงบำเรอมนุษย์เพศชายเพื่อเสกสร้างเม็ดเงินให้เจ้าของอาคารผู้มีอภิสิทธิ์เหนือเธอทุกประการ’ นางนี้ เป็นหนึ่งในบรรดาผู้สืบเชื้อสายชาวซาเมียร์ ที่ถูกพรากชิงมาจากดินแดนอันเป็นที่รู้จักกันในนามดินแดนขอบฟ้าจรดผืนทรายตั้งแต่เมื่อราวยี่สิบปีก่อน ด้วยคมหอก คมดาบ และวิทยาการที่ก้าวหน้ากว่า
นางเป็นทาสเชลย...เหมือนแม่ผู้ให้กำเนิดเธอ
“นายท่านคะ นายท่านรูปหล่อคนนั้นน่ะ” น้ำเสียงแหบพร่าทรงเสน่ห์สำเนียงแปลกแปร่งจากบนระเบียง ดึงให้คนที่กำลังจะเดินจากไป อดเหลียวมองไปทางที่ใครหลายคนในบริเวณนี้มองไม่ได้
ดูเหมือนจู่ๆ กุหลาบทะเลทรายดอกสวยจะหยุดร่ายระบำและเพ่งความสนใจไปยังชายคนหนึ่ง ทำเอาชายคนที่ว่า ตกเป็นเป้าสายตาจากผู้คนในบริเวณนั้นโดยอัตโนมัติ
ชั่วเสี้ยววินาทีที่เธอเหลียวมองตาม นัยน์ตาสีนิล ก็สบเข้ากับดวงตาสีเทาคมกริบที่ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นน้ำหอมชวนเมามาย ราตรีดิบเถื่อน ใบมีด และโซ่ตรวน ได้อย่างน่าพิศวง
แทนที่ชายร่างสูงไว้ผมสีดำยาวเหยียดตรงเหมือนพวกกวีราชสำนักทว่าสวมเสื้อคลุมหนังสีดำยาวทับชุดกางเกงสีเดียวกันดูรัดกุมเหมือนพวกนักเผชิญโชคคนนั้นจะมองนางระบำบนระเบียง เขากลับมองตรงมาทางเธอ ทำเอาคนมีเชื้อสายซาเมียร์...แม้จะเพียงครึ่ง อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ ว่าเผลอทำตัวผิดสังเกตอะไรให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นใครเข้าหรือเปล่า
ผมสีดำขลับ... เธอรำพึง ถ้าไม่ใช่ว่ามีเชื้อสายซาเมียร์ด้วยอีกราย ก็ต้องเป็นเชื้อสายตระกูลขุนนางใหญ่จากอัสกันด์ อาณาจักรเก่าแก่ที่เล่าลือกันว่ามีบรรพบุรุษกลุ่มเดียวกับชาวซาเมียร์
“นายท่านชุดดำ” แม่กุหลาบทะเลทรายดอกใหญ่บนระเบียงสถานเริงใจสำหรับพวกผู้ชายเรียกซ้ำอย่างไม่ยอมแพ้ “มัวสนใจอะไรกันคะ ข้ายืนร่ายระบำอยู่ตรงนี้ เพื่อท่าน”
“เอาแล้วไง ซามีร่า แม่สาวจอมทะนง” ใครคนหนึ่งในกลุ่มคนหนุ่มที่เธอจำได้ว่าสองในเจ็ดเป็นลูกขุนนางผู้มั่งคั่งผิวปากหวือเมื่อเอ่ยประโยคนั้น
และใครอีกคนในกลุ่มนั้นก็หัวเราะรับ พยักหน้าเออออ “อยากจะบอกว่าหมอนั่นซวยอยู่หรอกนะ แต่ดูท่าไอ้หมอนั่นจะโชคดีมากกว่า”
โชคดีที่จะได้เข้าหอนางคณิกาไปหาความสำราญกับ ‘ซามีร่า’ ตั้งแต่เช้าตรู่...? คิดได้เพียงเท่านั้น คนร่างเล็กใต้เสื้อคลุมสีตุ่นแบบมีฮู้ดตัวยาวกรอมเท้าก็เผลอทำตาเขียวใส่คนที่ทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่าเอาแต่จ้องมองเธอมาตลอดทันที ก็เอาสิ ไปสิ หันไปมองตามที่สาวงามร้องขอ จะมัวมองมาทางนี้ทำไม เดี๋ยวทางนี้ก็พลอยเป็นจุดสนใจไปด้วยพอดี!
นึกได้ไม่ทันจะขาดห้วงคิด ซามีร่า หญิงงามเมืองเลื่องชื่อ ก็เอ่ยประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงของสตรีที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจและชอบเอาชนะ
“พึงใจสุภาพสตรีตรงนั้นมากกว่าเหรอคะ” เจ้าหล่อนถาม “แหม สวมผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาไว้อย่างนั้น อยากรู้นัก จะงามสักแค่ไหน”
พอเจ้าหล่อนพูดเพียงเท่านั้น ใครสักคนในบริเวณที่เธอยืนอยู่ ก็ยื่นมือมาเปิดฮู้ด ทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวอย่างเธอ ตกใจจนแทบปรับสีหน้าไม่ทัน
เสียงฮือฮาบังเกิดทันทีที่ผ้าสีตุ่นเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวนวลแลดูอ่อนเยาว์ที่ประดับด้วยนัยน์ตาสีดำ สีเดียวกับเรือนผมหยิกหยักศกซึ่งมองจากส่วนที่โผล่พ้นเสื้อคลุมก็พอจะเดาได้ว่ามันทั้งยาวและเรียงตัวกันเป็นระเบียบเหมือนระลอกคลื่นบนผืนน้ำ แต่ละองค์ประกอบตั้งแต่ใบหน้าเล็กเรียวรูปหัวใจ ดวงตาเปล่งประกาย คิ้ว จมูก และริมฝีปากสีแดงจัดตามธรรมชาติ ล้วนดูน่ารักน่าถนอม แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความคมเข้ม เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งสายเลือดซาเมียร์ชวนหลงใหล
“คุณหนูอัยน์นา!” ชายหนุ่มสองคนที่เพิ่งจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความโชคดีของชายชุดดำแทบจะโพล่งออกมาเป็นเสียงเดียวกัน เรียกเสียงฮือฮาจากคนในบริเวณนั้นได้อีกเกือบเท่าตัว
“ตายจริง...คุณหนูแกรนเทรนท์มาทำอะไรในที่แบบนี้คะ” ซามีร่าถามเสียงเครียด นางคว้าผ้าแพรสีกุหลาบผืนใหญ่มาคลุมร่าง หมดความสนใจในตัวชายแปลกหน้ารูปงามทันที
แม้แต่หญิงงามเมืองผู้น่าจะชอบดึงดูดความสนใจมากกว่าเที่ยวแจกจ่ายความสนใจให้สตรีนางอื่น ก็ดูจะตกใจ ที่จู่ๆ ก็เห็นเธอมาปรากฏตัวแบบนี้
“เอ่อ...คือ...” ‘คุณหนูอัยน์นา’ คิดว่าควรจะพูดอะไรสักอย่าง
เธอขยับริมฝีปากเอ่ยด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน แววตาที่เคยแข็งกร้าว มาดมั่น เปลี่ยนเป็นแววตากวางน้อยพลัดถิ่น
“ขอโทษค่ะ” อัยน์นารีบบอกด้วยสำนวนสำเนียงอย่างสุภาพสตรีชั้นสูง น้ำเสียงเธอยามเอื้อนเอ่ยฟังดูนุ่มนวลอ่อนน้อม ยากจะหาใครเหมือน “อย่าซักเลยนะคะ” เธอวิงวอน ดวงตาซื่อใสดูตื่นกลัว ริมฝีปากน่าถนอมสั่นระริก “ฉัน...ฉันบอกไม่ได้จริงๆ”
“คนเขาจะเล่าลือในทางไม่ดีนะคะ” ซามีร่าขมวดคิ้วคมๆ เข้าหากันจนเป็นปม “ช่างเถอะค่ะ ต่อให้ไม่ต้องบอก ใครใคร เขาก็รู้กันทั้งนั้น นี่คุณหนูโดนท่านหญิงพริสซิลล่า กับท่านหญิงแอนนาเบลแกล้งใช้ให้ออกมาทำอะไรๆ ให้อีกแล้วใช่ไหมคะ” ถ้าประโยคหลังจากริมฝีปากราชินีกุหลาบเป็นของที่จับต้องได้ มันคงเคลือบอาบหยาดละอองความขุ่นเคืองไว้จนทั่ว
นั่นทำให้อัยน์นาพอใจ เมื่อได้รู้ว่าสตรีชื่อคล้ายอาณาจักรเล็กๆ กลางโอเอซิสที่ล่มสลายนางนี้ เป็นคนที่รักและพร้อมจะโกรธแทนคนสายเลือดซาเมียร์เหมือนๆ กันสมคำร่ำลือ
ใครใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าเธอเป็นลูกนอกสมรสที่เกิดจากเจ้ากรมการเมือง ริชาร์ด แกรนเทรนท์ กับสตรีชาวซาเมียร์ที่รับอุปการะไว้ในคฤหาสน์ ซามีร่าเป็นนางคณิกาที่ได้รับความนิยมย่อมรู้จักชายได้ดีมียศมากหน้าหลายตา การที่นางจะเคยได้ยินชื่อและเรื่องราวเธอมาก่อน จึงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้
“พวกพี่สาวไม่ได้แกล้งค่ะ” อัยน์นาตอบคำถามหญิงงามเมืองอย่างสุภาพ แววตาสีนิลคู่นั้นช่างดูซื่อใส เหมือนไม่เข้าใจว่าการกลั่นแกล้งที่ซามีร่าพูดถึง หมายถึงการที่พี่สาวต่างมารดาแกล้งสั่งให้เธอซึ่งมีสายเลือดซาเมียร์อยู่กึ่งหนึ่ง ออกมาเตร็ดแตร่ใกล้ๆ ย่านหอนางคณิกาชื่อดัง ที่มีจุดขายเรื่องการให้บริการโดยสาวๆ ชาวซาเมียร์เพียงลำพังเพราะอยากทำร้ายจิตใจน้องสาวต่างมารดาอย่างเธอ...หรือไม่ก็อยากให้เกิดผลเสียอะไรต่อน้องสาวเลือดผสมมากกว่านั้น
สาวน้อยเชื้อสายซาเมียร์ในย่านที่มีสำนักนางคณิกาเชื้อสายซาเมียร์...ถ้าเกิดมีผู้ชายไร้สติสักคนหรืออาจจะหลายคนเข้าใจผิดขึ้นมา เรื่องมันจะไม่จบลงอย่างสวยงามแน่นอน
“พวกพี่สาวแค่อยากดื่มน้ำทับทิมน่ะค่ะ” เธออธิบายด้วยรอยยิ้มที่แม้จะดูสวย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาด
ท่าทีสุภาพ แววตาสงบเสงี่ยม น้ำเสียงอ่อนน้อม สามอย่างนี้ เป็นคุณสมบัติชั้นดีที่ทำให้ใครต่อใครนึกเอ็นดู
“อันตรายนะคะ” ซามีร่าเองก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกแบบนั้น เจ้าหล่อนยกมือขึ้นเท้าเอว วางท่าเหมือนอยากตบหน้าใครสักคน หรืออาจจะหลายคน
และอัยน์นาก็รู้ดี ว่าผู้โชคร้ายที่ว่านั้นไม่ใช่เธอหรือใครคนใดคนหนึ่งในบริเวณนี้
“เคยได้ยินว่าธิดาคนเล็กของท่านเจ้ากรมการเมืองมักโดนพี่สาวกับแม่เลี้ยงรังแก ท่าจะจริง” เจ้าของหุ่นสะท้านใจชายเอ่ยด้วยแววตาวาวโรจน์ “น่าชังนัก พวกช่างริษยาอาฆาต รังแกกระทั่งคนไร้ทางสู้ที่ไม่เคยคิดจะสู้”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ พวกพี่สาวแค่อยากได้น้ำทับทิมคนละแก้วสองแก้ว แต่ที่คฤหาสน์ไม่ได้รับผลไม้ชนิดนี้เอาไว้ พวกพี่สาวอยากดื่มมาก แล้วฉันก็อยู่ตรงนั้นพอดี พวกพี่สาวก็เลยขอให้ช่วยออกมาหาให้เพราะไม่มีใครว่างพอน่ะค่ะ” เธออธิบายน้ำเสียงร้อนรน ดวงตาคู่สวยเริ่มเปล่งประกายมากขึ้นเพราะมีหยาดน้ำสีใสคลอเคล้าอยู่ในนั้น “จริงๆ นะคะ” อัยน์นายืนยันสำทับ น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้
“โถ แม่คุณ...” หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านขายผลไม้ในบริเวณนั้นรำพึงออกมาเป็นคนแรก หลังจากที่ทุกคนยืนนิ่งเงียบกันอยู่พักใหญ่
นางรีบหยิบทับทิมใส่ตะกร้าหวายแล้วแทรกตัวผ่านฝูงชนเข้ามายื่นตะกร้าให้เธอ ดวงตาฉายแววปรานี “คุณหนู นี่ค่ะทับทิม เอาไปเถอะนะคะ ท่านเจ้ากรมการเมืองคุณพ่อของคุณหนูเคยช่วยเหลือพวกเรามามาก แค่ทับทิมแค่นี้ เรื่องเล็กน้อย”
“แต่ว่า...” เธอค้านเสียงสั่นเครือ
“นะคะ รับไปเถอะ แล้วก็รีบๆ กลับคฤหาสน์เถอะค่ะ เดี๋ยวจะโดนดุเอาอีก ได้ยินว่าคราวก่อนตอนโดนใช้ให้ออกมาซื้อกำยานก็โดนหาเรื่องทุบตี...”
คราวนี้คุณหนูอัยน์นาถึงกับบ่อน้ำตาแตก ได้แต่ก้มหน้านิ่ง เหมือนพยายามสั่งให้น้ำตาที่ร่วงลงมาเหมือนเม็ดแก้วหยุดไหลโดยเร็ว
“ผมมีรถม้าครับ ผมจะไปส่ง” หนึ่งในกลุ่มชายหนุ่มเจ็ดคน คนที่เธอจำได้ว่าเป็นลูกขุนนางมียศไม่เบา รีบขันอาสา
แต่เธอส่ายหน้า ปฏิเสธ
“ไม่เหมาะหรอกค่ะ คุณแม่...เอ่อ ท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองท่านไม่ชอบค่ะ คฤหาสน์อยู่ไม่ไกล ฉันเคยเดินไปกลับมาแล้ว ไม่ลำบากหรอกค่ะ”
“ไม่ลำบากที่ไหนกัน ได้ยินว่าคุณหนูสุขภาพไม่แข็งแรงด้วยนี่ครับ ดูสิ ผอมจนแทบจะไม่มีเอว....” บุตรชายขุนนางรีบชะงักปาก เมื่อนึกได้ว่าเผลอเผยเรื่องที่แอบจ้องมองรูปร่าง ‘คุณหนูอัยน์นา’ อย่างใส่ใจเกินงาม
ทั้งอย่างนั้น พวงแก้มคนที่แน่ชัดว่าโดนลอบสังเกตเรือนร่างก็ยังขึ้นสีแดงระเรื่อ ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา น่ารักใคร่
เธอช้อนดวงตาเศร้าสร้อยขึ้นสบตาบุตรชายขุนนางใหญ่ด้วยแววตาตำหนิระคนอับอาย ทำเอาอีกฝ่ายเผลอขยับริมฝีปากคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ได้แต่จ้องมองเธอด้วยแววตาที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี
แววตาของผู้ชายที่อยากดึงหญิงสาวเข้าหาอ้อมกอด...
“ถ้ากังวลว่าท่านผู้หญิงจะไม่ชอบใจก็ให้เรียกรถม้ารับจ้างเถอะนะคะ” เจ้าของร้านขายผลไม้เสนอ “ถ้าทำอย่างนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรแล้ว ดิฉันมีลูกสาวสองคน ทั้งคู่อายุน้อยกว่าคุณหนูนิดหน่อย จะให้เธอนั่งไปส่ง ทำแบบนี้ท่านผู้หญิงจะได้หาช่องรังแกไม่ได้”
“ท่านผู้หญิงคอยใส่ใจเพราะหวังดีค่ะ” เธอบอก ทั้งๆ ที่น้ำตาไหลไม่หยุด
ดูเผินๆ เหมือนช่วยแก้ต่าง แต่การกระทำนั้นกลับยิ่งขับให้ผู้คนในบริเวณนั้นยิ่งเกลียดชังแม่เลี้ยงกับพี่สาวทั้งสองของเธอ เท่าๆ กับที่สงสารเธอกว่าใคร
ท่ามกลางกระแสความเห็นใจ อัยน์นาเหลียวมองไปทางชายต้นเหตุที่ทำให้ ‘คุณหนูอัยน์นา’ ต้องเผยตัวตนเล็กน้อย
ชายแปลกหน้านั่นไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว แต่สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดที่บ่มเพาะมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ก็ทำให้อัยน์นาอดรู้สึกไม่ได้ ว่าสักวันหนึ่ง คนคนนี้จะกลับมาสร้างความวุ่นวายให้เธอ
เธอกับเขาจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน...
จนถึงตอนนั้น เธอจะรับมือสถานการณ์นั้นไหวรึเปล่า ‘คุณหนูอัยน์นา’
ไหวสิ หญิงสาวผู้มีสายเลือดทาสเชลยกับสายเลือดชนชั้นสูงอย่างละครึ่งตอบตัวเองทันที
‘เธอทำได้ทุกอย่าง ถ้าอยากจะทำ’ อัยน์นาได้แต่นึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ วูบหนึ่ง แววตาซื่อใสฉายแววท้าทาย ขับให้ใบหน้ารูปหัวใจสวยน่ารักเหมือนตุ๊กตาแกะสลักล้ำค่าดูเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
แม้ชื่อเสียงอัยน์นาจะได้รับการปกป้อง แต่ดูเหมือนชื่อเสียงของท่านหญิงพริสซิลล่ากับท่านหญิงแอนนาเบลจะยิ่งตกต่ำอย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงแม้คืนนั้นจะไม่มีใครรู้เห็นเรื่องนี้เพิ่มเติมนอกจากเจ้าบ้านอย่างเจ้ากรมการคลังกับสาวใช้อีกสองราย แต่หลังจากตอนนั้น ดูเหมือนพวกทหารในเหตุการณ์และคนรับใช้ที่เจ้ากรมการคลังส่งมาช่วยอำนวยความสะดวกให้ท่านเจ้ากรมการเมือง จะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปเล่าต่อให้ครอบครัวกับคนใกล้ชิดฟัง แล้วคนเหล่านั้นก็เอาไปเล่าลือต่อพลางใส่สีตีไข่จนเกิดเนื้อเรื่องบทใหม่แทรกเสริมในนิทานเพลงเรื่องเก่า บทเดียวกับที่เหล่าผู้สืบเชื้อสายแกรนเทรนท์โดนเจ้าบ้านคนปัจจุบันเรียกตัวมานั่งฟังอยู่ในขณะนี้หนนี้อัยน์นาไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในเรื่องเล่าเท่าไหร่นัก เพราะมีเรื่องอื่นรบกวนจิตใจ ทั้งยังเคยได้ยินหญิงรับใช้ในคฤหาสน์ซุบซิบนินทากันมามากแล้วรายละเอียดเรื่องราวก็เหมือนเคย คือเรื่องที่กวีเปรียบเปรยเธอกับสิ่งบริสุทธิ์สวยงามทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ ในขณะที่ยกบทบาทร้ายกาจน่ารังเกียจให้ ท่านผู้หญิงเธลม่า แกรนเทรนท์ และพี่สาวต่างมารดาทั้งสอง จะพิเศษอยู่หน่อยก็ตรงที่หนนี
“ไซรัส...!” ท่านหญิงพริสซิลล่ารีบปิดปากแอนนาเบลก่อนที่น้องสาวจะโวยวายอะไรออกมามากกว่านี้ถึงจะยืนอยู่ห่างกันพอสมควร แต่ตอนนั้น อัยน์นาก็พออ่านปากออก ว่าแอนนาเบลโดนพี่สาวสั่งให้ ‘หุบปาก’...ดูท่าชายคนนี้จะไม่ใช่คนที่พริสซิลล่าคาดหวังให้อยู่กับน้องสาวต่างมารดาอย่างเธอ...“เกิดอะไรขึ้นคะ” ทายาทแกรนเทรนท์คนโตรีบจูงมือน้องสาวตรงมาหาเธอกับไซรัสไม่ทันที่อัยน์นาจะได้อ้าปากตอบอะไร ไซรัสก็เป็นฝ่ายชิงตอบให้เสียก่อน“เธอหมดสติแล้วพลัดตกน้ำครับ ผมผ่านมาเห็นเข้า ก็เลยรีบช่วยเธอขึ้นจากสระ”“แต่เสื้อผ้า...” แอนนาเบลโดนพริสซิลล่าถลึงตาใส่เพราะประโยคนั้น“เสื้อผ้าคงโดนอะไรสักอย่างเกี่ยวตอนฉุกละหุกใช่ไหมคะ” พริสซิลล่าหันมาฉีกยิ้มให้เธอ “ดีจังเลยนะจ๊ะ อัยน์นา ที่มีคนมาช่วยไว้ทัน”“ค่ะ” อัยน์นาสะกดกลั้นความไม่พอใจที่โดนวางยาเอาไว้ พยายามจะไม่พูด
อัยน์นาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รู้เพียงตอนนี้ร่างกายเธอร้อนวูบไปทั่วจนครั่นเนื้อครั่นตัว แถมยังรู้สึกอึดอัดปนวาบหวามจนแทบทนไม่ไหวตอนนี้นัยน์ตาเธอพร่ามัว ร่างกายไม่ถึงกับไร้เรี่ยวแรง แต่ดูคล้ายมันจะตอบสนองต่อกล้ามเนื้อแข็งแกร่งกับกลิ่นอายราตรีดิบเถื่อนและโซ่ตรวนแสนอันตรายจากร่างกายคนตรงหน้าจนไม่อาจควบคุม ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมา เรื่องการควบคุมตัวเอง เป็นเรื่องที่เธอแน่ใจว่าทำได้ดีที่สุดเธอไม่โทษยานั่น ความจริงเธอเกือบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอขัดใจคือแรงดึงดูดจากชายตรงหน้า ขัดใจจนอยากจิกเล็บให้เขาเจ็บกว่านี้ แต่ตอนนี้ ส่วนลึกในใจเธอกลับอยากหยุดคิดทุกเรื่อง แล้วสูดซับกลิ่นอายแปลกประหลาดชวนหลงใหลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้“คุณหนู” เจ้าของกลิ่นอายแสนยวนเย้าเรียกด้วยน้ำเสียงดุเข้มอัยน์นารำคาญเสียงห้ามปรามนั้นนัก จึงเลื่อนส่วนเดียวที่ว่างอยู่ขึ้นปิดริมฝีปากหยักสวยทรงเสน่ห์นั่น แล้วทำตามเสียงสั่งลึกลับที่คอยกระซิบกระซาบอยู่ในใจเธอได้ยินเขาสบถบ่นไม่เป็นภาษาด้วยสำนวนสำเนียงคล้ายชนชั้นล่าง นั่นทำให้ภาพชายท่าทีสุขุมในชุดเร
ไซรัสอุ้มร่างอ้อนแอ้นเดินลงสระน้ำด้วยความร้อนใจ ภายในหัวไม่เหลือความคิดอื่นใด นอกจากการช่วยให้คนในอ้อมแขนพ้นจากความทรมาน“ร้อน...” เธอบ่นร้อน ทั้งๆ ที่น้ำในสระเย็นจัดจนขึ้นไอ สองมือเกาะเกี่ยวเขาไว้แน่น “...ช่วยที...” เธอพึมพำ น้ำเสียงเว้าวอนเขาไม่รู้ว่าเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์นางนี้จะรู้ความหมายของสิ่งที่พูดออกมาหรือเปล่า รู้เพียงแต่ต้องพยายามประคองให้เธออยู่นิ่งๆแต่ดูเหมือนเจ้าของผิวนวลนิ่มจะไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่...พ่อค้าอัญมณีจึงต้องพาร่างในอ้อมแขนลงนั่ง แล้วกอดรั้งร่างเธอไว้ เพื่อไม่ให้ร่างที่ดูอ่อนยวบไปหมดร่างนี้พลาดจมน้ำซึ่งลึกเพียงระดับต้นขา หรือพลาดเดินไปหาใจกลางสระที่น่าจะลึกกว่าบริเวณนี้ไซรัสได้ยินเธอพึมพำอะไรหลายอย่าง แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับฟังไม่ได้ศัพท์ จับใจความไม่ได้ บอกให้รู้ว่าเจ้าของดวงตาสีนิลกำลังไร้สติเพราะยาเห็นแบบนี้แล้ว พ่อค้านักแสวงโชคก็อดคิดไม่ได้ ว่าถ้าคนที่เธอเดินมาเจอไม่ใช่เขาแต่เป็นทหารยาม หรือผู้ชายเลวๆ สักคน มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่เขากำลังคิดอะไรๆ อยู่นั้น นิ้วมือร้อนๆ ก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อเขาแล้วลูบไล้ไปทั่ว จุดไฟปรารถนาแปลกประหลาด เผาผลา
หลังหว่านเมล็ดพันธุ์เส้นสายไปทั่วงานเลี้ยง ไซรัสก็ปลีกตัวออกมาหลบมุมสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียงเล็กๆ ข้างประตูทางออกฝั่งสวนหย่อมรกครึ้มทีแรก เขาไม่เข้าใจนัก ว่าทำไมก่อนหน้านี้ลูคัสที่ดูจะคุ้นชินเรื่องวิถีชนชั้นสูงที่สุดในกลุ่มพี่ๆ น้องๆ ต่างสายเลือด ถึงได้พยายามเคี่ยวเข็ญให้เขาเต้นรำอย่างถูกวิธีทั้งๆ ที่เขาก็ยืนยันว่าไม่ต้องการเต้นรำกับใคร แต่หลังจากโดนเจ้ากรมการคลังหิ้วไปนั่นมานี่ จนโดนขุนนางและพ่อค้าใหญ่หลายรายยัดเยียดลูกหรือหลานสาวให้เขาเชิญไปเต้นรำ ผู้มั่งคั่งหน้าใหม่ของอาณาจักรก็เข้าใจทันทีน่ารำคาญนัก ไซรัสเอนหลังพิงผนัง แหงนหน้ามองพระจันทร์ อดคิดไม่ได้ว่าต้องใช้เวลาอยู่ในอาจักรนี้อีกนานแค่ไหน ภารกิจแสนสำคัญจึงจะลุล่วงเสียทีท่ามกลางความเงียบงัน สตรีชุดขาวผ่องเดินผ่านประตูระเบียงออกมาอย่างเชื่องช้า คล้ายพยายามกลั้นความเจ็บปวดบางอย่างทันทีที่ก้าวขาพ้นกรอบประตู หญิงสาวอ่อนเยาว์รายนั้นก็รีบประคองร่างเข้าหาสวนกว้าง ดูราวกับสัตว์ป่าหาที่หลบภัยยามเจ็บไข้ลูกสาวนอกสมรสเจ้ากรมการเมือง...อัยน์นา...?เขาบอกตัวเองว่าไม่ควรใส่ใจ แต่ท่าทีซวนเซ และเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าขาวนวล กลับทำให
“ที่คุณพูดมาไม่ผิดเลย ” ไซรัสคลี่ยิ้มกว้างขึ้น เขาแสร้งกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนเอ่ย “ว่าแต่คุณเถอะ ดูเหมือนท่านหญิงหลายคนจะอยากให้คุณชวนเต้นรำ”“ผมเห็นพวกเธอบางคนเหลียวมองคุณกับญาติผู้พี่ของผมด้วยเหมือนกัน” คาร์ลหยิบเครื่องดื่มจากถาดที่คนรับใช้ชายถือผ่านมาให้ท่านเจ้ากรมการคลัง ไซรัส และตนเอง “งานสังคมก็เป็นเช่นนี้ล่ะ มันเป็นสถานทีที่สตรีชั้นสูงจะได้ออกมาอวดโฉมเพื่อหว่านเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหล ถัดจากงานนี้ก็คงมีคุณหนูกับคุณชายจากตระกูลไหนสักตระกูลประกาศการหมั้นหมาย”“แต่เห็นจะไม่ใช่ตระกูลแกรนเทรนท์” จู่ๆ ภรรยาเจ้ากรมการคลัง ก็ก้าวเข้ามาร่วมวงสนทนา ตอนนี้ร่างกายเธอกรุ่นกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ บอกให้รู้ได้โดยไม่ต้องเดา ว่าแก้วเหล้าหมักผลไม้ในมือเธอ คงไม่ใช่เหล้าแก้วแรกที่ดื่มกินยังดีที่เจ้าหล่อนมีสติพอจะยกพัดป้องปาก ก่อนออกความเห็นต่อไป“ฉันเห็นคุณหนูแกรนเทรนท์คนโตกับคนรองมองมาทางพวกคุณบ่อยๆ พวกคุณเพิ่งมาจากต่างถิ่น อย่าหลงกลเชียวนะคะ เห็นงามๆ อย่างนั้นน่ะ ไม่มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่คนไหนในอาณาจักรนี้อยากเฉียดใกล้หรอกค่ะ” นางบอกคาร์ลและไซรัสอย่างไม่สงวนถ้อยคำ ไม่สนใจสายตาห้ามปรามจากสามีแม้แต่น้อยแล้วค
ความคิดเห็น