LOGINผม 'ตะขวด' เป็นเด็กช่างกลที่กำลังจะนั่งรถไฟฟ้ามหานครไปตีอริที่ตั้งตี้ที่สยามพารากอน เเต่เผอิญได้เจอเด็กผู้หญิง ม.ปลาย ท่าทางน่ารัก ตัวเล็ก สเป็คพี่ ผมยาวถึงเอว หุ่นบางๆ น่าขยี้ ผมรุก 'น้องมนต์' จีบเธออย่างเอาเป็นเอาตาย กะจะเอามาเป็นเมีย เเต่ชิบหาย ผมก็ยังซิงนี่หว่า สุดท้ายก็เเค่ไอ้เด็กมีปัญหาคนหนึ่งที่พยายามจะจีบผู้หญิงในสังคมที่ดีกว่า ผมพาเธอไปมั่วสุมเสพกัญชาด้วยกันกับเเก๊งเพื่อน จนสุดท้ายก็โดนจับเข้าตาราง สองปีต่อมาผมมาเจอเธออีกครั้ง เเต่มัน... ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป "ศักรินทร์สมัครใจจะมาทำงานให้หนูมนต์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป..." ผมผกผันกลายมาเป็นบอดี้การ์ดของเธอ ในขณะที่อีกฝ่ายในวันนี้ คือคุณหนูหน้าใสที่พร้อมจะขยี้หัวใจของผมให้เเหลกลาญ
View More[พาร์ท : ตะขวด]
ตอนนี้ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าป้ายที่ขึ้นว่า ‘BTS สำโรง’
มือผมกำชับของแข็งที่เหน็บในกางเกงรุ่นเก๋าที่จิ๊กเงินพ่อมาซื้อประมาณตัวละสามพันไว้แน่น ใส่แบบไม่ซักจนแม่งเปื้อนฝุ่นในโรงรถเต็มไปหมด แต่นี่แหละคือความคลาสสิกของลูกผู้ชาย
ไม่ต้องถามว่าของแข็งที่ว่าคืออะไร มันไม่ใช่*วยแน่นอน
ก็แค่พกมีดยาวเท่าแขนเอง คิดอะไรกันมาก
“ไอ้เหี้ยเจ BTS ขึ้นไงวะ” ผมหันไปถามเพื่อนที่มาเป็นกลุ่ม เพราะแม่งเป็นครั้งแรกที่นั่ง BTS เอาจริงๆ พวกผมมันถนัดรถเมล์ไม่ก็วินมอไซค์หน้าปากซอยมากกว่า “มึงไม่นั่งรถเมล์ไปวะ กูไม่เคยขึ้น BTS”
“ไอ้ห่านั่นมันอยู่สยาม ป่านนี้รถติดจะตายห่า ถ้าจะขึ้นรถเมล์ไปมึงคงถึงตอนสามทุ่มอ่ะ เอามั้ยล่ะไอ้ขวด”
“แล้วถ้ายามแม่งตรวจจับมีดที่กูพกในกางเกงอ่ะ”
“เมียกูบอกมันขึ้น BTS บ่อย เดี๋ยวนี้ยามหละหลวม มึงไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้เจเพื่อนรักตบบ่าผมหนักแน่น เพราะช่วงหลังๆ เหมือนน้องนิดหน่อยแฟนมันบอกว่ายามปล่อยปละละเลยไม่ค่อยได้สแกนตรวจโลหะแล้ว “ก่อนห่วงเรื่องมีดกูว่ามึงห่วงรองตีนส้นเหล็กที่มึงใส่มาก่อน”
อีกฝ่ายว่าพลางพยักเพยิดไปทางรองเท้าหนังประจำสายอาชีวะหัวร้อน ที่ทั้งหัวรองเท้าและส้นรองเท้าต่างทำด้วยโลหะแข็งชะงัดมันวาว ซึ่งมันจะมีผลเวลากระทืบคน
“ถ้ามึงอยากจะลองก็ได้นะ” ผมหยอกเพื่อนรักไปหนึ่งที แต่ไม่คิดจะมีปัญหากับรุ่นตัวเองหรอก ยิ่งกับเพื่อนรักแบบนี้ ก่อนที่จะกวักมือเรียกพวกน้องๆ ที่พกกันมาเป็นรุ่นๆ ให้เดินตามมา เห็นที่กดบัตรอยู่ไม่ไกล แต่ผมกดไม่เป็น ผมจะไปถามพนักงานทีเดียว “พวกมึงมากี่คน”
“ยี่สิบ” ไอ้เจกวาดสายตามองพวกรุ่นเราคร่าวๆ แล้วหันกลับมาพูดเรียบๆ “มึงกดทีเดียวเลย แล้วออกค่ารถให้ด้วย”
“ได้ วันนี้กูรวย” ผมพูดถึงเรื่องไถเงินที่ทำเป็นประจำกับเด็กสายอาชีพหัวอ่อน เด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้พ่อแม่ค่อนข้างรวย ไถคนละห้าร้อยก็ได้มาเป็นหมื่น ผมเลยเน้นไถวันละสองสามคน คนละสองพันสามพัน หักค่าเหล้าค่ายาก็เหลือหลายพันอยู่
เรียกได้ว่าเป็นตัวตึงตัวจี๊ดแห่งอาชีวะศึกษาแถวนี้ก็ย่อมได้ (เป็นพฤติกรรมที่ไม่วรเอาเยี่ยงอย่าง)
“สยาม ยี่สิบคน” ผมพูดกับพนักงานผู้ชายที่อยู่ในนั้น ที่ลางๆ ว่าจะเป็นกะเทยแก่ มันก้มหน้าก้มตาคิดเงินส่งบัตรยี่สิบใบให้พวกกูที่ยืนล้อมกันต่อหน้ามัน คนรอบข้างก็มองมาที่พวกกูอย่างไม่อยากจะยุ่งสักเท่าไหร่นัก
ผมไม่ใช่พวกเหยียดเพศ แค่เป็นคนคิดอะไรตรงๆ แล้วก็เลยพูดออกมาเลยตรงๆ
ลืมแนะนำตัวไปเลยว่ะ
ผมชื่อ ‘ตะขวด’ เป็นลูกชายคนรองของพ่อผมที่มีชื่อที่โคตรจี้ว่าตะเข้ (เพราะพ่อชื่อตลกแบบนี้ พอผมที่เป็นลูกชายคนสุดท้องเกิดมา แม่ผมเลยตั้งให้ชื่อผมคล้ายคลึงพ่อไปด้วย) ผมมีพี่น้องอีกสอง และแน่นอนว่าผมไม่ถูกกับพ่อ เพราะพ่อไม่เคยเข้าใจผมเลยสักครั้ง ส่วนปู่นั้นผมเคารพรัก เพราะปู่ผมเคยเรียนอาชีวะแล้วเป็นตัวตึงมาก่อน ผมนับถือท่านมากเพราะท่านเข้าใจผม ปู่ผมมีชื่อโคตรจี๊ดว่าฉลามดุ
โอเค จบเรื่องวงศ์ตระกูลไว้แค่นี้ก็แล้วกัน เพราะเรื่องของผมแม่งน่าสนใจกว่าเยอะ
ผมเป็นคนแหวกแนวมาตั้งแต่เด็ก พ่อที่มองเห็นพรสวรรค์ในการทำชั่วเป็นนิจของผมเลยจับส่งสายอาชีพตั้งแต่จบประถม ผมที่ราวกับถูกบ่มเพาะด้วยสภาพแวดล้อมรอบตัวให้เลือดร้อนตั้งแต่เยาว์วัยเลยกลายเป็นตัวตั้งตัวตีในวิทยาลัยจนได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้แหวนรุ่นจากรุ่นพี่มาแล้วรอจะส่งต่อกับรุ่นน้องที่มันโดนใจผมเป็นพิเศษ ในขณะที่ ‘ไอ้เจ’ ที่เป็นอีกคนที่ได้แหวนรุ่นเหมือนผม พวกเราจะจับมือกันแล้วจะสานฝันชายสายเถื่อนให้ได้ไปจนสุดทาง
ทุกๆ วันพวกผมจะมีเรื่องประจำ พวกผมโดนลงข่าวหน้าหนึ่งอยู่บ่อยๆ ที่ว่าเด็กช่างกลยกพวกขึ้นตีกันกระหน่ำ โหนรถเมล์ยิงกันตายอะไรประมาณนั้น เข้าตารางเป็นบ้านหลังที่สอง ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกไอ้เด็กเปรต สังคมส่วนใหญ่หันหลังให้พวกเรา
แต่แล้วยังไง? ไม่ได้สนสักหน่อย
จนกระทั้งวันนี้เรื่องก็เกิดอีก เมื่อ ‘ไอ้เต้’ อริอีกวิทยาลัยนึงที่เขม่นกับวิทยาลัยผมอยู่เงียบๆ เริ่มเปรี้ยวตีน โพสต์ท้าทายอ้อนบาทาลงในเฟส และมีท่าทีเหมือนจะวางแผนกันไปถล่มวิทยาลัยผมอย่างโจ่งแจ้ง แต่ผมก็เพิกเฉยเพราะช่วงนี้เปื่อยๆ ไม่กระหายศึก จนวันหนึ่ง...
มันไปเอาเสื้อช็อปวิทยาลัยผมมาจากที่ไหนไม่รู้ แล้วจุดเผาโชว์ประจานลงเฟส
นั่นเท่ากับหยามหน้าวิทยาลัยผมแบบยอมไม่ได้
ช็อปคือศักดิ์ศรี สตรีคือรางวัล แหวนรุ่นคือของหมั้น ที่โจษจันต้องเป็นวิทยาลัยผมเท่านั้น
แล้วคิดว่าเผาช็อปวิทยาลัยผมไป แล้วตัวตั้งตัวตีอย่างผมจะทำยังไง?
ก็แค่แทงมันสักแผล ตะลุมบอนทั้งกลุ่มมันให้กระดูกหักสักซี่สองซี่ ให้ไปนอนโรงบาลเล่นๆ สักอาทิตย์นึง ส่วนผมก็จ่ายค่าปรับไปแบบเจ๋งๆ (เป็นวิธีคิดที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างเป็นที่สุด)
พวกผมขึ้นมาบน BTS แต่เพราะพวกมียี่สิบกว่าชีวิตก็เลยเหมือนเด็กช่างมายึดรถไฟ ผมยืนกำมีดปลายแหลมยาว 15 นิ้วข้างกางเกงยีนส์ตัวโปรดพร้อมกับเดาะลิ้น ยืนอยู่หน้าประตูอย่างอ้อนตีน ผู้คนต่างมองพวกเราอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ผมเลยหันไปยักคิ้วให้ไอ้เจ
“กูมันสุดเท่ เห็นปะ” ผมชื่นชมตัวเองทั้งที่ความจริงพวกมันอาจมองมาเพราะรังเกียจก็ได้ ไอ้เจเลยยกนิ้วกลางให้
“เมียเก่ายังดูแลไม่ได้ นับประสาอะไรกับเสื้อช็อปที่โดนเผา”
“ไอ้ควาย” ผมสบถด่าเลย อย่ามาจี้ปมกันแบบนี้ “เพราะมีไอ้หน้าโง่ที่ไหนเข้าไปในถิ่นมันนั่นแหละว่ะ ไม่ก็ไอ้เหี้ยนั่นแม่งอ่อนด๋อยเกินไป เสื้อช็อปตัวเดียวยังดูแลไม่ได้”
“กูไม่เกี่ยว ไม่ต้องมาด่ากู”
“ไอ้ควาย” ผมด่ามันซ้ำอีกคำ ก่อนที่จะได้ยินเหมือนรถไฟถึงสถานีอะไรสักอย่าง พร้อมๆ กับที่สายตาสะดุดอยู่กับคู่รักในชุดนักเรียนคู่นึงที่เดินเข้ามาหลังจากที่ประตูเลื่อนฝั่งที่ผมยืนท้าวแขนอยู่เปิดออก
ไม่เชิงแฟน แต่เด็กผู้หญิงอ่ะ
น่ารักสัสๆ
“ไอ้เจ มึงดูเด็กคนนั้น” ผมเริ่มเบนความสนใจไปที่ผู้หญิง ตบหัวไอ้เจให้หันไปดูในจังหวะที่พวกนั้นก้าวเข้ามาในอีกชานชาลานึง “น่าจิ้ม”
“เอาเรื่องเมียเก่ามึงให้รอดก่อน” มันมองตามไปยังรูปร่างบอบบางและผมสวยๆ นั่น “แต่สวยจริง”
“กูไม่ใคร่มีเมียคนเดียวว่ะ” กูยักไหล่ “สองคนก็ไหว พอดีของกูมันร้อน”
“มึงมันเหี้ยเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ” ไอ้เจผู้ที่อุทิศตัวให้เมียมันคนเดียวถึงกับรับไม่ได้ในความหน้าตัวเมียของผม ส่ายหน้าเป็นพัลวันอย่างชินชากับสันดานของเพื่อนตัวเอง แล้วเหลียวหลังกลับไปมองอีกครั้ง “แต่น้องมันมากับแฟน ดูแล้วอายุไม่ถึงสิบแปดด้วยซ้ำมั้ง มึงแน่ใจ?”
กูแค่นหัวเราะ ตบบ่ามันแล้วบอกมันทางสายตาว่า ‘ถึงมีแฟนแล้ว แต่พอดีว่ากูชอบ กูก็จะเอาว่ะไอ้สัส’
[พาร์ท : ตะขวด]เสียงเรียกเข้ามือถือดังขึ้นตอนนั้น กูที่ยืนดูดบุหรี่มวนที่สองกดรับทันที[ทิงเจอร์ขาว ละลายน้ำ ออกฤทธิ์แล้วด้วย] กูเบิกตากว้างเมื่อได้ยิน ทิงเจอร์ขาวมันเป็นยาปลุกเซ็กซ์ชนิดรุนแรง รู้กันในวงสังคมมืดๆ ว่าเป็นยาไว้มอมผู้หญิง คนเรียกมันว่ายาเสียสาว ถ้าโดนไอ้ยานี่ไป น้องมนต์ไม่น่ารอดแน่ [เคยได้ยินอยู่ว่าช่วงนี้มีพวกรับน้องพิเรนทร์ๆ ที่จะมอมเหล้าเด็กไปเอาแล้วถ่ายคลิปไว้แบล็คเมล์]“นี่แม่งไม่ต่างไรจากโจรอาชญากรรมเลยนะพี่!!” กูโมโหจนเสียงสั่นไปหมดเลยว่ะ[ใช่ กูบอกให้น้องๆ ไว้แล้ว เฮียต้องไม่พอใจแน่ที่มีนักศึกษามาทำเหี้ยแบบนี้ในผับของเขา]“พวกมันพาน้องไปที่ไหน!”[ห้องส่วนตัวชั้น 7 ห้อง 702 มึงขึ้นไปก่อน เดี๋ยวให้น้องๆ ตามขึ้นไป] กูกดตัดสาย กัดฟันกรอดแล้วรีบวิ่งสี่คูณร้อยตามมันขึ้นไปชั้นเจ็ด จะโทรหาน้องมนต์แต่ลืมไปว่าไม่มีเบอร์ ที่ผับนี้มีห้องส่วนตัวที่จัดไว้สำหรับคนที่เจอรักที่นี่แล้วมาเซิ้งกันที่ห้องแบบส่วนตัวไร้คนรบกวน ถ้ามีเหตุอาชญากรรมจะส่งคนมาตรวจสอบทันทีแจ้งตำรวจไม่ค่อยได้ เพราะมีพวกมั่วสุมอยู่เยอะ นี่แหละว่ะสังคมกลางคืนน้องมนต์ตกอยู่ในอันตรายแล้ว ไอ้ชิบหาย!!กูวิ่งมาจนถ
น้องมนต์ที่ช้อนสายตาน่ารักๆ ขึ้นมองพอดีกับจังหวะนั้นทำเอากูรีบเหลือกตากลับมาที่เดิม สำลักน้ำลายนิดหน่อย แล้วก็เห็นว่าเธอเอาแต่ยืนมองหน้ากูอยู่แบบนั้น“อะไรครับ” แล้วกูก็เลยหันไปถามโต้กลบเกลื่อนอาการ น้องทำหน้าตื่นๆ ทันที“เอ่อ คือรุ่นพี่เขา...” เธอชี้ไปด้านบน “อยู่ชั้นสองค่ะ”“...”“พี่ขวดพาหนูขึ้นไปหน่อยได้ไหมคะ” เธอพูดแล้วใช้มือข้างนึงลูบไหล่ตัวเอง “หนู... หนูอึดอัด”“...”“... แล้วก็กลัวด้วยค่ะ” เธอพูดแล้วก้มหน้างุดกูหูผึ่งกับประโยคนั้น ตงิดใจ แต่ก็ลูบหน้าตัวเองแรงๆ แล้วพยักหน้า“ได้ครับ”ไม่มีทางที่เธอจะยอมไว้ใจคนแบบกูที่เคยเจอในอดีตแน่นอนอ่ะส่งน้องมนต์ที่โต๊ะชั้นสอง เห็นสภาพรุ่นพี่ที่ชวนน้องมา นั่งสุมหัวกันอยู่เป็นสิบ ท่าทางเมาได้ที่ กูรู้เลยจบไม่สวยแน่นอน น้องมนต์เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ดูเอ้าะสุดในนั้น ถ้าจะมีผู้หญิงคนอื่น ก็จะเป็นแบบดูแรดๆ นั่งด้วยกันสองสามคน สงสัยพวกเดียวกัน ร่างเล็กดูตกใจกับภาพนั้น เธอหันมามองกู ส่งสายตาแบบว่า... เว้าวอน?กูจ้องหน้าเธอกลับ แล้วเลิกคิ้วเพราะงง น้องมนต์เลยกลั้นหายใจ“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดมาแค่นั้น กูนิ่งไป ก่อนที่จะนึกอารมณ์เสียที่เธอพูดเหมือน
“ทะ... ที่นี่จริงๆ เหรอ”หนูที่ยืนสับสนอยู่คนเดียวภายในลานจอดรถที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งได้แต่พึมพำกับตัวเองอย่างมึนงงหนูชื่อสวดมนต์ค่ะ ตอนนี้อายุ 20 ปีแล้ว ได้เข้าเรียนมหาลัยช้ากว่าคนอื่นไปหลายเดือนเพราะคุณพ่อล้มป่วย ตอนนี้กำลังเป็นเฟรชชี่ปีหนึ่งค่ะหลังจากที่ได้เข้าเรียนมหาลัยชื่อดังที่คุณลุงที่มีอภิศักดิ์เป็นนายกระดับจังหวัดชลบุรีส่งตัวเข้ามาสอบที่นี่ และเลี้ยงดูหนูแทนพ่อที่ตอนนี้ป่วยเข้าโรงพยาบาลเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี จนไม่สามารถส่งเสียหนูต่อไปได้หนูสอบเข้าด้วยคะแนนอันดับสองของคนที่สอบเข้ามหาลัยนี้ หนูตั้งใจเรียนหนังสือ เรียนหนักมาตั้งแต่ที่เกิดเรื่องนั้น เพราะทำให้พ่อเสียใจที่หนูถูกคนที่ไม่รู้จักชักจูงไปในทางที่ไม่ดี หนูจึงคิดเองเออเองและตั้งใจเรียนมากขึ้นผ่านไปจนหนูเรียนจบ ม.หก พ่อป่วยเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคความดันในเลือดสูงมาก พ่อป่วยเล็กๆ น้อยๆ มานานจนวันนั้น คุณลุงเลยรับหนูมาดูแล และจัดหามหาลัยให้พอย้ายมาอยู่กับคุณลุงที่ปกติไม่ค่อยเข้ามาหาที่บ้านเลย ไม่ค่อยสนิทกัน หนูเลยทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยรู้ว่ามีญาติเป็นถึงนายกจังหวัด เลยพยายามทำตัวให้เป็นเด็กดีที่สุด เพื่อที่คุณลุงจะได้ไม่ล
“อย่างน้อย ผมก็ไม่อยากชอบน้องไปมากไปกว่านี้ เพราะผมกลัวว่าผมจะทำระยำตำบอนกับน้องอีก”กูขี่มอไซค์ออกมาจากตรงนั้น ระหว่างที่ขี่ไปก็คิดว่าน้องมนต์แม่งกูนึกย้อนไปถึงตอนที่พลั้งปากบอกไปว่าชอบน้องมาก่อน ทันทีที่น้องมนต์ได้ยิน เธอนิ่งไป ร่างเล็กเม้มปาก กูเองก็ชะงักไป จะแก้ตัวแต่อาจไม่ทัน เธอก็พูดออกมาก่อน“ขะ... ขอโทษนะคะ” เธอเอ่ยเสียงสั่น “หนู... กลัวพี่มาตลอดเลยค่ะ ตั้งแต่เรื่องครั้งนั้น คิดว่าถ้าไม่เจอพี่อีกคงจะดี”“...”กูเงียบ ใจกูแผ่วลง ก็อย่างว่า เธอจะมาชอบกูกลับเนี่ยนะ? คิดเรื่องเพ้อฝันเป็นเด็กกะโปกไปได้ไอ้ขวด“ตะ... แต่หนูก็ดีใจนิดหน่อยนะคะ ถ้าพี่ทำไปเพราะพี่ไม่ได้เกลียดหนู” เธอกุมมือตัวเองตรงกลางลำตัว กูจ้องหน้าเธออย่างตกใจ น้องมนต์ยังคงหลบตาอยู่ เธอไม่ได้แสดงท่าทีเขิน แต่เป็นอารมณ์แบบผู้หญิงใจพระ“แม่งเอ้ย” กูสบถออกมาหลังจากที่ขี่ไปได้ไม่เท่าไหร่ ผละมือข้างนึงมาลูบหนังหน้าตัวเองแรงๆ สะบัดหัวว่าไม่ได้แดกเหล้าจัดไป หรือยังแฮงก์อยู่จับอกตัวเอง ใจแม่งเต้นหน่อยๆใจแม่งสั่นอ่ะ อีเหี้ย“มาทำงี้ ก็ยิ่งชอบอ่ะดิ”ย้ายมาที่สัตหีบ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปสำหรับกูกูกระดกเหล้าลงคอ น้ำเหลวขมๆ ไหลล





