นีร่า เงือกสาวผู้ไร้เดียงสา ถูกคลื่นโชคชะตาพัดขึ้นฝั่ง ต้องเรียนรู้โลกมนุษย์อันโหดร้าย พร้อมหัวใจที่สั่นไหวให้ชายลึกลับท่ามกลางไฟแค้นและการไล่ล่า
view moreทะเลยามบ่ายเวิ้งว้าง เรือไม้ใบเก่าลำใหญ่ลอยผ่านกลางอ่าวมูนไวท์อย่างเชื่องช้า
เสียงเชือกกระทบเสา เสียงฝีเท้าลูกเรือประสานกับเสียงหัวเราะเบา ๆ จากเหล้ารัมที่หมุนกันดื่ม > “ว่ากันว่ามีเงือกอยู่แถวนี้…” “ถ้ามีจริง ข้าขอจับไปขายทอง เขาว่ากันว่านางมีน้ำตาเป็นไข่มุก” “ข้าขอแค่จูบเดียวก็พอ ฮ่า ๆ” ไม่มีใครเชื่อว่านางเงือกมีจริง พวกเขาเชื่อแค่เรื่องเงิน ทอง และของแลกเปลี่ยนแต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ใต้ท้องเรือของพวกเขา...เงือกมีอยู่จริง ใต้คลื่นเย็นเฉียบ ร่างของหญิงสาวผิวขาวซีดเหมือนไข่มุก ว่ายสวนกระแสน้ำอย่างเงียบงันนีร่า เงือกสาวหายากแห่งทะเลเหนือ ทะเลที่เเทบจะไม่มีผู้คนเดินเรือผ่าน เพราะร่ำลือกันว่ามีไซเรนหรือนางเงือกที่มีเสียงไพรเราะหลอกล่อนักเดินเรือ เเละกินพวกเขา หางของนางเป็นเกล็ดสีทองวาววับดั่งเหรียญเรืองแสงในเงามืด นีร่าไม่เคยขึ้นฝั่ง ไม่รู้ว่ามนุษย์พูดภาษาไหนแต่นางรู้ว่า—มนุษย์ฆ่าสิ่งที่แปลกตาและหางของนาง…คือสิ่งแปลกที่สุดในมหาสมุทร วันนี้ นางว่ายขึ้นมาดูเรือลำนี้ด้วยความระแวง เมื่อได้กลิ่นเลือดบางเบาไหลออกจากถุงผ้าใบที่ถูกโยนลงน้ำ นีร่าเข้าไปใกล้ แล้วจ้องมองถุงนั้น…ในน้ำมีร่องรอยการดิ้นของอะไรบางอย่างก่อนจะเงียบไป ขณะเดียวกัน เรน ฮอว์ธอร์น กัปตันเรือหนุ่มเงยหน้าจากแผนที่แล้วหยุดมองผืนน้ำที่แปลกตา วินาทีนั้นเอง—ดวงตาของเขา เกือบจะทันเห็น หางสีทองวูบผ่านใต้ผิวน้ำ > “เงาอะไรวะนั่น…” เขาพึมพำ เขากะพริบตาอีกครั้ง เงาก็หายไปกับสายน้ำเหลือเพียงความสงสัยที่ค้างคาอยู่ในใจแต่ใต้น้ำนั้น…เงือกสาวยังคงมองเขาอยู่เงียบ ๆ เหมือนรู้ว่า ชายคนนี้—กำลังจะเปลี่ยนโชคชะตาของเธอไปตลอดกาล คืนนั้น…เรนแทบนอนไม่หลับ เสียงคลื่นซัดกระแทกลำเรือสม่ำเสมอ แต่ในหัวเขากลับวนเวียนแต่ภาพเดียว ภาพบางสิ่งที่วูบผ่านใต้ผิวน้ำ หางแปลกตา วาววับเหมือนทองคำที่เคลื่อนไหว > “มันไม่ใช่ปลาแน่ ๆ…” เขาพึมพำ ขณะยกรัมจิบอีกครั้ง เรนเดินออกมาบนดาดฟ้า ยืนมองทะเลที่กลืนแสงดาว เขาโตมากับคำว่า “ไม่มีเงือก มีแค่คนเมา”แต่ภาพนั้น...ไม่ใช่ภาพเมาแน่ ด้านล่างนั้นเอง ในความลึกเยือกเย็นของอ่าวมูนไวท์ นีร่ากำลังแหวกน้ำอย่างลังเลทั้งที่นางรู้ว่า ไม่ควรกลับมาใกล้เรือนี้อีก แต่ภาพแววตาของมนุษย์คนนั้น—ชายหนุ่มที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน กลับฝังอยู่ในหัวเขามองลงมา ไม่ใช่ด้วยสายตาของนักล่า แต่มันเต็มไปด้วยความสงสัย…และบางอย่างที่ทำให้นางไม่รู้สึกกลัว นีร่าว่ายเข้าใกล้ใต้ท้องเรืออีกครั้ง สายตานางมองหารูปร่างของเขาในความมืดเงาเคลื่อนไหวอยู่เหนือผิวน้ำ ชายหนุ่มเดินไป-มา เหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างเช่นกัน ทั้งสอง…ไม่รู้จักชื่อของกันและกันแต่ต่างก็เริ่ม "เฝ้ามอง" และ "เฝ้าสงสัย" คืนนี้ เงาทองใต้ผิวน้ำเริ่มผูกพันกับสายตาแปลกหน้าบนเรือโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำแต่ใจ…กลับขยับเข้าใกล้กันไปทีละน้อย เสียงคลื่นกระทบหัวเรือเบา ๆ ยามเช้า เรนก้าวเท้าลงบันไดแคบ มุ่งตรงไปยังท้ายเรือคนเดียว ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น — และเขาก็อยากให้ไม่มีใคร > “ก็แค่ปลาธรรมดา...ใช่ไหม?” เขาพึมพำ แต่มือกลับหยิบตะขอเก่าขึ้นมาเกี่ยวเชือก แล้วค่อย ๆ โน้มตัวออกจากขอบเรือ ทันใดนั้น!!! เชือกขาด—เสียงดัง ปึ้ง! แรงโน้มถ่วงพาเขาหล่นลงทะเลทันที! ตูม! น้ำเย็นจัดกระแทกหน้า เรนดิ้นรนอย่างตื่นตระหนก เขาว่ายไม่เก่งนัก — เสื้อผ้าเปียกชุ่ม หนักรั้งตัวลงเรื่อย ๆ ฟองอากาศพวยพุ่งขึ้น เขามองเห็นแสงเบลอ ๆ เหนือหัว... ก่อนทุกอย่างจะค่อย ๆ มืด แต่ในความมืดนั้น ร่างหนึ่งว่ายสวนขึ้นมาอย่างเร็ว นางพุ่งผ่านคลื่น ขยับตัวใต้แสงสะท้อนจากฟองอากาศ นีร่า นางไม่คิดเลยว่าตัวเองจะทำแบบนี้ แต่บางอย่างในใจผลักให้นางว่ายเข้ามาใกล้ มือขาวซีดของนางคว้าแขนเขาไว้ — แล้วลากขึ้นอย่างเงียบงัน เรนไม่ได้หมดสติ เขาลืมตาในน้ำนั้นพอดี และทันทีที่เห็นใบหน้าของนาง…ดวงตาโตของนีร่า จ้องเขานิ่งราวกับหยุดเวลาไว้ นางงดงามราวนางเงือกในเทพนิยาย เรนแทบลืมหายใจ ไม่ใช่เพราะน้ำทะเล แต่เพราะเงือกสาวตรงหน้า มีผิวขาวดั่งหิมะ หางทองระยับตัดกับสีน้ำทะเลรอบตัวพวกเขาจ้องกันอยู่อย่างนั้น ในน้ำที่เย็นที่สุด—กลับมีไอร้อนบางอย่างไหลผ่านหัวใจก่อนที่นีร่าจะสะบัดหางแล้วว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เรนลอยขึ้นผิวน้ำ และหอบหายใจรอดชีวิต…พร้อมความสับสนที่มากกว่าครั้งไหนในชีวิต > “นางมีอยู่จริง…” เขาพึมพำ ขณะน้ำหยดลงจากขนตา “เงือก…”เงาร่างนั้นค่อย ๆ ก้าวออกจากเงามืดผิวเธอเป็นสีมุกจางเรืองแสง ผมยาวราวกับสาหร่ายทะเลไหลลู่ไปตามกระแสน้ำเบา ๆดวงตาของเธอ...คล้ายกับนีร่า ราวกับกำลังมองตนเองในอดีตหรืออนาคต“ยินดีต้อนรับ...ทายาทแห่งสายเลือดโบราณ” เสียงของหญิงผู้นั้นหวานแต่ทรงพลัง ดังก้องไปทั่วโถงหินนีร่าใจเต้นแรง“ท่านคือใคร?”หญิงสาวยิ้มเศร้า“ข้าชื่ออัลเธีย” เธอพูดเสียงแผ่ว “ข้าคือผู้คุมกฎคนก่อน...และครั้งหนึ่ง ข้าเคยเลือกผิด”โทรันยืนเงียบ มองพวกเธอด้วยสายตาหนักแน่น“เธอ...คือผู้ที่เคยพยายามหยุดสงครามครั้งก่อน”นีร่าเม้มริมฝีปาก “แต่ท่านล้มเหลวใช่ไหม?”อัลเธียพยักหน้าเบา ๆ“ข้าลังเลเกินไป...และสุดท้ายข้ากลายเป็นหนึ่งในต้นเหตุของการล่มสลายแห่ง 'วาเลอริน' เมืองหลวงแห่งเงือก”เงียบงันก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเธอ“แต่เจ้า...ยังมีโอกาส”อัลเธียยื่นมือออกมา แล้วแสงบางอย่างก็ลอยออกจากฝ่ามือเธอมันคือ "เกล็ดแห่งสมดุล" — เกล็ดเงือกสีทองอมฟ้า ส่องแสงวูบวาบอยู่กลางอากาศ“จงรับไว้ มันจะเปิดทางให้เจ้าเห็น ‘อดีตที่ถูกลืม’ และ ‘อนาคตที่อาจเกิด’”นีร่ายื่นมือไปรับอย่างลังเลทันทีที่สัมผัสกับเกล็ดนั้น นิมิตแห่งอดีตเธอร่วงสู่โลกแห่งแสง
เสียงดาบชนดาบ ปะทะกับคำสาปและพลังโบราณท้องฟ้าถูกฉีกเป็นสองขั้วแสงและเงาผสานกันในสมรภูมิครั้งนี้“สงครามแห่งสองโลก…เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอีธานกับนีร่าและมาริเบล รวมถึงไอล่า ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ริมผาเสียงคลื่นกระทบโขดหินเป็นจังหวะช้า ๆ คล้ายกล่อมให้ใจเย็นลงนีร่านั่งลงบนโขดหินขรุขระ มือยังสั่นจากพลังที่ไหลเวียนในตัวผิวเกล็ดเงินยังส่องแสงริบหรี่ในความมืด“ข้าไม่เคยรู้ว่าพลังนี้จะรุนแรงขนาดนี้...” เธอพูดเสียงเบา“ทุกครั้งที่ใช้...มันเหมือนข้ากำลังสูญเสียตัวเองไปทีละน้อย”อีธานนั่งลงข้าง ๆ“ข้าเข้าใจดี...แต่เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เขาวางมือทาบลงบนมือของนีร่า“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”มาริเบลเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูด“พี่สาว...เรากลัวนะ กลัวว่าเจ้าอาจเปลี่ยนไปจนเราจำไม่ได้”นีร่าหันไปมองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น“ข้าเองก็กลัว...กลัวว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด”ไอล่ายืนเงียบ ๆ ข้างหลัง ก่อนพูดขึ้น“แต่ข้ารู้ว่า...พลังที่เจ้าได้รับ ไม่ใช่คำสาปอย่างเดียว มันคือโอกาส”“โอกาสอะไร?” อีธานถามด้วยความสงสัย“โอกาสที่จ
ขณะเดียวกัน แบร์กตันยืนอยู่หน้าชายฝั่งเขาโยนหินก้อนหนึ่งลงทะเล ไม่กี่วินาทีต่อมา ฟองน้ำจำนวนมากผุดขึ้นและสายลมเย็นผิดธรรมชาติก็พัดมา เขาหัวเราะแผ่วเบา“ข้าไม่ต้องการทองคำอีกแล้ว”“ข้าอยากเป็น...สิ่งที่ไม่มีวันตาย ใต้ท้องทะเล…” คืนแรม...ลมเย็นจนทะลุผิวกระดูกบนฝั่ง ม่านหมอกบาง ๆ คลุมผืนทรายราวผ้าขาวคลุมศพอีธานสะดุ้งตื่นเสียงอะไรบางอย่างดังจากริมหาดแอ่ด...เสียงโซ่ครูดพื้นหินเสียงหายใจลึกเหมือนจากปอดของสัตว์ที่ไม่เคยหายใจบนบกเขาคว้าดาบทันที“นีร่า?”ไม่มีเสียงตอบเขาวิ่งออกมานอกถ้ำและภาพตรงหน้าทำให้หัวใจเขาชะงักกลางหมอกหนามีเงาร่าง 3–4 ตน สูงโปร่ง ผิวซีดเหมือนเปลือกหอยพวกมันเดินช้า ๆ บนทรายเสียงก้าวแต่ละก้าวลากเหมือนขาไม่มีพละกำลังแต่ในดวงตา — ไม่มีแววชีวิตใด ๆพวกมัน...ไม่ใช่เงือกธรรมดา เงือกพวกนี้มีรอยเย็บตามข้อมือเหมือนถูกฝังและเย็บปิดปากกว้างกว่าปกติ และเต็มไปด้วยฟันแหลมที่ไม่ควรอยู่ในร่างเงือกอีธานก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ แล้วทันใดนั้น — พวกมันหันขวับมาทางเขา“เราต้องหนี!” เขาตะโกนวิ่งกลับเข้าถ้ำไอล่า กับมาริเบลลุกขึ้นคว้าอาวุธ“เกิดอะไรขึ้น?”“พวกมัน...ขึ้
ภายในคือห้องกลวงขนาดใหญ่มีแคปซูลแก้วโบราณเจ็ดใบเรียงอยู่กลางห้องภายใน…คือร่างของเงือกอีกเจ็ดตน — ที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับ กึ่งตื่นร่างพวกมันไม่เน่า ไม่ชรามีร่องรอยการดัดแปลงร่างกายคล้ายกับนีร่า แต่รุนแรงกว่าหลายเท่าเสียงในหัวเธอดังขึ้นอีกครั้ง“เลือดของเจ้า…คือสิ่งสุดท้ายที่ขาดไป”“พวกเรา...จะตื่นอีกครั้ง”นีร่าก้าวถอยหัวใจเธอเต้นแรงคำถามคือ…เธอควรจะ “ปลุก” พวกนี้จริง ๆ หรือไม่?เสียงก้องในหัวของเธอเบาลง จนเหลือเพียงคำเดียว “...เลือก...”เสียงจากใต้ทะเลเงียบลงนีร่าค่อย ๆ ว่ายออกจากห้องโบราณที่ฝังอยู่ใต้ผืนน้ำหัวใจยังเต้นแรง…แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความหวั่นไหว ไม่ใช่ความกลัวในหัวเธอมีคำถามเต็มไปหมด"พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ของข้า...หรือคือฝันร้ายของข้า?""ข้าควรปลุกพวกเขาไหม...หรือปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นตายไปตามกาลเวลา?"เธอไม่ได้ให้คำตอบเธอเลือกที่จะ "ปิดประตู" นั้น…ชั่วคราวเมื่อกลับขึ้นฝั่งอีธานรีบวิ่งเข้ามาหาเธอทันที“เจ้าโอเคไหม!?”นีร่าพยักหน้าเบา ๆ แต่แววตาเธอยังว่างเปล่าเล็กน้อยเหมือนคนที่กลับมาจากการเห็นบางสิ่ง…ที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้เธอไม่พูดถึงห้องนั้นไม่พูดถึงเงือกเจ็ดตน
เสียงดังจากข้างใน มาริเบลวิ่งออกมา พร้อมไอล่า“อย่าเข้าใกล้นาง” ไอล่ากัดฟันแต่ช้าไปแบร์กตันสะบัดมือทหารกลุ่มหนึ่งโผล่จากป่า กระชับปืนหอกทะเลในมือเขาไม่ได้มาคนเดียว... เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ในกระท่อมนีร่าสะดุ้งตื่น ดวงตาเธอยังแดงเรืองนิด ๆเธอรู้...พลังของเธอเรียกใครบางคนมาเสียงของแบร์กตันดังลอดเข้ามา “นีร่า — ออกมาเถอะ ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้า ข้าแค่ต้องการให้เจ้าช่วย...แบ่งเลือดของเจ้าให้ข้าสักหยด”“แค่นั้นจริง ๆ ข้าสาบาน”นีร่าลุกขึ้นช้า ๆเธอรู้ดี...เขาโกหกสายตาแบบนั้น แววโลภแบบนั้น — ไม่มีใครหยุดเพียงแค่ “หยดเดียว”นีร่าเดินออกมาเธอยืนต่อหน้ากัปตันแบร์กตันดวงตาเธอยังคงมีลายสีเงินอ่อน แผ่นผิวบนแขนยังเผยเกล็ดบาง ๆ“เจ้ากลัวตายงั้นหรือ?” เธอถามเบา ๆแบร์กตันหัวเราะ“ไม่ใช่กลัว...แค่เบื่อการรอคอยอย่างไม่มีจุดจบ”เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเรียบ ๆ“ข้าไม่ให้เลือดข้าแก่คนที่เห็นชีวิตเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน”“ข้าเกิดมาเพื่อหยุด...ไม่ใช่ส่งต่อมัน”แบร์กตันขมวดคิ้ว“งั้นข้าจะเอาเลือดเจ้าด้วยตัวข้าเอง”เขาดึงมีดออกจากข้อมือ — และทหารทั้งหมดกรูก้าวหน้าอีธานร้อง “นีร่า อย่า!”แต่สายไ
กลับสู่ปัจจุบันนีร่าผงะออกจากแท่นหิน ดวงตาเธอเปลี่ยนกลับเป็นปกติ แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม“ไม่...ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น” เธอกระซิบ “ข้าไม่อยากฆ่าใคร...ไม่อยากกลายเป็นสัตว์ร้าย”อีธานประคองเธอแน่น “เจ้าคือเจ้าคนเดิม นีร่า...เราเลือกทางเดินของตัวเองได้”ชายชราเพียงเงียบ ก่อนเดินไปยังผนังด้านหลัง เขาดึงแผ่นศิลาออก เผยให้เห็น ตราประทับสุดท้าย — รูปเกล็ดเงือกสีเงินไขว้กับเลือดสีแดง“เลือดเจ้าคือประตูสุดท้ายที่จะเปิดพลังของ ‘อาทรามา’”“แต่หากเจ้าปิดมันด้วยตนเอง — เจ้าจะสูญเสียพลังทั้งหมด... กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”นีร่าก้มหน้าสั่น “ข้าต้องเลือกระหว่าง ‘เป็นตัวข้า’ หรือ ‘เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้’...”มาริเบลเดินเข้ามาจับมือพี่สาว“ไม่ว่าพี่จะเลือกอะไร ข้าก็จะอยู่กับพี่...จนกว่าจะถึงที่สุด”เสียงจากเบื้องบนเริ่มดังขึ้นอีกครั้งแสงไฟจากตะเกียงและเสียงรองเท้าเหล็กกระทบพื้นหินสะท้อนเข้ามาในอุโมงค์กองทหารของเจ้าชายเฟอเรส...อีธานหันมามองทุกคนเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาทหารของเจ้าชายเฟอเรสกำลังเข้าประชิดอุโมงค์ใต้พระราชวัง พวกอีธานไม่มีเวลาอีกแล้วนีร่ายืนหน้าตรงต่อหน้าตราประทับสุดท้ายเธ
Mga Comments