มือสังหารสาวได้รับหน้าที่กำจัดท่านอ๋องปีศาจ นางต้องหาวิธีหลบหนีคมดาบของเขาเพราะถูกจับได้ นางจึงเลือกจบชีวิตด้วยการกระโดดหน้าผา ทว่าชะตาดันเล่นตลก นางได้ย้อนกลับมาในวันที่ตนอยู่บนเกี้ยวเจ้าสาวอีกครั้ง!
더 보기เสียงล้อไม้เคลื่อนบดบนทางคับแคบริมหุบเขาเฟยหย่า กีบเท้าม้านับสิบห้อตะบึงตามหลังมาอึกทึกครึกโครม
“พระชายา ทำอย่างไรดีเพคะ ท่านอ๋องจะตามทันแล้ว”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลายามนี้ผุดซึมไปด้วยหยาดเหงื่อวาวระยับ คิ้วสวยขมวดแน่นจนเกิดเป็นปม ลมหายใจติดขัดหนักหน่วง อกด้านซ้ายกระเพื่อมถี่เพราะกำลังอ่อนล้าโรยแรง
“ไม่มีเวลาแล้ว เป่าชุนเจ้าหนีไปไม่ต้องสนใจข้า”
เป่าชุนส่ายหน้าระรัว ประกายตาแดงก่ำ “ไม่เพคะ พระชายาจะไปที่ใดเป่าชุนจะขอติดตามท่านไปด้วย”
จูฟางหรงจนใจกับความดื้อดึงของสาวใช้ผู้ภักดี แม้พวกนางรู้จักกันที่วังหลวง ทว่าทั้งสองกลับผูกพันธ์กันเฉกเช่นพี่น้อง
“เป่าชุน เจ้าบอกว่าจะเชื่อฟัง และภักดีกับข้าใช่หรือไม่”
เป่าชุนพยักหน้า “เพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าฟังข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หนีไป!”
ฟิ้ว…ฉึก!
เป่าชุนตาเบิกโพลงกายแข็งค้าง จูฟางหรงตื่นตระหนก นัยน์ตาหงส์ลดต่ำลงเรื่อย ๆ กระทั่งพบว่าเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งที่พุ่งเฉียดข้างแก้มนางเมื่อครู่ ปักเข้าบริเวณอกซ้ายของเป่าชุนเสียแล้ว
“เป่าชุน!!”
จูฟางหรงรู้สึกคล้ายฟ้าดินพลิกผัน หัวใจแทบแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
“พะ…พระชายา เป่าชุนอกตัญญูคงร่วมเดินทางกับท่านไม่ได้แล้ว”
เป่าชุนโงนเงนดั่งต้นหญ้าต้องสายลม ม่านตาของจูฟางหรงขยายกว้าง มือเรียวคว้าไปเบื้องหน้าละล้าละลัง ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ร่างของเป่าชุนร่วงหล่นลงจากรถ ไม่นานเกาทัณฑ์ดอกที่สองก็โผเข้ามาเฉียดเหนือศีรษะ
จูฟางหรงไม่อาจประวิงเวลา บังเหียนรถม้าไร้สารถีบังคับ แขนซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยฟกช้ำจากการถูกทัณฑ์ทรมานยกขึ้นปาดน้ำตาลวก ๆ จูฟางหรงสลัดความเศร้าโศกทิ้ง จากนั้นตั้งใจบังคับรถม้าเพื่อหลบเลี่ยงคมหอกห่าธนูที่พุ่งเข้ามาดั่งพายุคลั่ง
โครม!
เพราะบริเวณนี้หินก้อนใหญ่มีมาก เป็นเหตุให้รถม้าเซถลาเสียหลัก ร่างระหงกลิ้งหลุน ๆ ตกลงมาอย่างรุนแรง
จูฟางหรงทั้งเจ็บและจุกจนพูดไม่ออก เสียงที่ไล่ตามหลังมาตลอดระยะทางสงบลงแล้ว มิใช่พวกเขาจากไปทว่ากำลังมองนางด้วยความสังเวชอยู่ต่างหาก จูฟางหรงรู้สึกว่าหูของตนอื้ออึงไปหมด นัยน์ตาหงส์พร่าเบลอไม่ชัดแจ้ง
บุรุษร่างสูงเยื้องย่างใกล้เข้ามาเนิบช้าพร้อมกระบี่อ่อนที่ถือไว้มั่น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาช่างเย็นชาและดุดันดุจปีศาจ
เสียงทุ้มเอ่ยเย็นเยียบ “จูฟางหรง เจ้าจะกลับไปกับข้าเพื่อยอมรับผิดดี ๆ หรือเจ้าเลือกที่จะตายอย่างทรมานอยู่ตรงนี้”
จูฟางหรงแค่นยิ้ม แขนเรียวพยายามดันพื้นเพื่อพยุงร่างของตนให้ยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล อาภรณ์แสนงดงามยามนี้เปื้อนเขรอะไปด้วยเศษฝุ่นคราบโลหิต ริมฝีปากสีกุหลาบกระอักของเหลวสีแดงฉานออกมาคำโต
“ท่านอ๋อง ข้ายอมรับว่าข้ากระทำผิดที่คิดทำร้ายท่าน แต่เป่าชุนไร้ความผิด ไยท่านต้องสังหารนาง”
เขาไม่ได้ตอบกลับ ทว่าบุรุษร่างสูงฝั่งตรงข้ามยังยืนสงบนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งยังแผ่กลิ่นอายครั่นคร้ามออกมาจนคนมองเสียวสันหลังวาบ
หากถูกเขาจับกุม นางจะต้องถูกเขาทรมานจนตาย ผู้ใดก็ว่าโหย่วอี้อ๋องเหี้ยมโหดอำมหิต ในเมื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายไม่อาจลุล่วง เช่นนั้นจูฟางหรงขอเลือกทางเดินที่ไม่ต้องเจ็บซ้ำซ้อนเสียยังดีกว่า
ร่างระหงถอยร่นไปเบื้องหลังทีละก้าว คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง เขาจดจ้องสตรีตรงหน้าที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ
“ท่านอ๋อง!”
องครักษ์ผู้ติดตามง้างธนูรอฟังคำสั่งอยู่นานเห็นผู้เป็นนายนิ่งสนิทก็เร่งเอ่ยปาก ดูเหมือนว่าเชลยของพวกเขากำลังเล่นแง่บางอย่าง
มือแกร่งยกขึ้นเป็นสัญญาณ บรรดาทหารและองครักษ์ก็หุบปากฉับ จากนั้นลดธนูลง
จูฟางหรงหัวเราะประหนึ่งคนเสียสติ “ทำไมเพคะ ท่านยิงสิ ยิงเลย หรือว่าท่านยังติดใจเรื่องที่เรายังเป็นสามีภรรยากัน”
“เจ้ากลับมา”
“กลับรึ กลับให้ท่านทรมานข้าก่อนตายงั้นหรือ จะฆ่าก็ไม่ฆ่า จะปล่อยก็ไม่ปล่อย ท่านสนุกมากหรือไม่ที่ได้เห็นข้าเหมือนตายทั้งเป็น โหย่วอี้อ๋อง…”
เท้าเล็กเปิดขึ้นและเริ่มเข้าใกล้ขอบผาเรื่อย ๆ หน้าหล่อเหลาก็ยิ่งหม่นทะมึน
“ข้าบอกให้เจ้ากลับมา!”
“คนเผด็จการ ท่านมันอ๋องปีศาจ!”
จูฟางหรงตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาอย่างไม่ลังเล บรรดาทหารเบื้องหลังวิ่งกรูเข้ามา ต่างเบิกตากว้างตะลึงลาน จูฟางหรงประสานกับนัยน์ตาคมกริบของเขา แววตาของบุรุษผู้นี้ช่างเยือกเย็นและน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจร้าย
เขาไม่ได้เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแม้สักเสี้ยว กักขังหน่วงเหนี่ยวทรมานนางอย่างแสนสาหัส วันนี้จูฟางหรงเลือกจบชีวิตอันแสนบัดซบนี้ลง หวังว่าโลกหน้านางจะไม่ต้องเกิดมาเป็นมือสังหารให้ใครหลอกใช้ และไม่ถูกสามีข่มเหงเฉกเช่นชาตินี้อีก
ลาก่อนหลงโหย่วอี้
.
.
.
“เฮือก!!”
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
เสียงนี่ เสียงสตรีผู้นี้นี่ใครกัน หรือข้าอยู่ในปรโลกแล้ว…
จูฟางหรงหันรีหันขวางทว่ากลับรู้สึกคล้ายคนตาบอดสนิท ดูเหมือนยามนี้ศีรษะของนางกำลังถูกบางอย่างปกคลุมไว้ หนำซ้ำจูฟางหรงยังรู้สึกคล้ายกับว่าตนกำลังนั่งอยู่บนบางอย่างซึ่งลอยตัวเหนือพื้นดิน
มือเรียวยกขึ้นด้วยอาการสั่นเทา เสียงเล็กจากด้านนอกยังคงถามย้ำ ทว่าหูของจูฟางหรงนั้นอื้ออึงไปตั้งนานแล้ว
เสียงลมหายใจหอบถี่ดังวนเวียนภายในโซนสมองพลางกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอประหนึ่งลำบากยากยิ่ง ไม่นานผ้าที่คลุมปกปิดการมองเห็นก็ถูกเลิกขึ้นจนสุด
นัยน์ตาหงส์เบิกค้างตะลึงลาน
เรายังไม่ตายอีกหรือ!?
จูฟางหรงควานหาบางอย่างบริเวณเข็มขัดผ้า และได้พบเรื่องอัศจรรย์ที่ว่ายามนี้ นางกำลังนั่งอยู่บนเกี้ยวเจ้าสาวเมื่อหลายเดือนก่อน เพราะเครื่องแต่งกายบนเรือนร่างมันได้ยืนยันบางอย่างจนแจ่มชัด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไม ทำไมข้ากลับมาที่นี่ล่ะ”
ซองกระดาษขนาดเล็กร่วงแหมะลงบนตัก จูฟางหรงคลี่อ่านข้อความด้านในก็นิ่งค้างไปอีกหน มือเรียวยกขึ้นกุมขมับ
ภารกิจลับของนางคือการลอบสังหารโหย่วอี้อ๋องโดยแฝงตัวในฐานะคุณหนูสกุลจูลูกสาวเสนาบดีผู้ถือครองตำแหน่งปิงปู้ [1] แห่งแคว้นช่านเป่ย ซึ่งแน่นอนนางเติบโตมาในคราบของคุณหนูเพียงคนเดียวของสกุลจูตั้งแต่เยาว์วัยเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดยมีหอหงฮวาเป็นผู้หนุนหลัง
การวิวาห์ครั้งนี้ก็หาใช่งานพิธีการเล็ก ๆ จูฟางหรงกำลังเข้าสู่ประตูวิวาห์กับโหย่วอี้อ๋องอีกครั้ง แน่นอนว่าหากนางเลือกลงจากเกี้ยวตามแผนการ ไม่นานจูฟางหรงก็ต้องพบจุดจบเดิม
นั่นคือความตายและความทรมาน!
หอหงฮวาเป่าหูและหลอกใช้นางมาโดยตลอดทั้งที่หอบัดซบนี่คือเบื้องหลังการตายทั้งหมดของครอบครัวนาง จูฟางหรงก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานเท่านั้น เมื่อใดที่นางล้ม หอเส็งเคร็งนั่นก็พร้อมกำจัดนางทิ้งในทันที ไม่ว่าจูฟางหรงคิดเลือกเส้นทางใด ก็ล้วนมีจุดจบที่ไม่สวยหรูทั้งสิ้น
จูฟางหรงตริตรองเพื่อหาทางรอดให้ตนเองอยู่นาน เหงื่อก็ผุดซึมเต็มฝ่ามือ ยามนี้หลงโหย่วอี้ยังไม่รู้จักหรือระแคะระคายในตัวของนาง เช่นนั้นโอกาสบัดซบที่ไม่ต้องการ
จูฟางหรงขอเลือกคว่ำกระดานหมากดูสักครา
“วางเกี้ยว…ถึงลานพิธี เชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยว…”
สีหน้างดงามยามนี้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกระวนกระวายใจ มือทั้งสองบีบบี้เพื่อปลอบประโลมตนเอง
หรงหรง คิดสิ หนี หรือเดินหน้าต่อ
“คุณหนู ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงแม่สื่อดังขึ้น จูฟางหรงหลุดจากภวังค์ ผ้าแพรสีชาดที่วางทิ้งไว้ถูกคลุมลงบนศีรษะอีกครั้ง
จูฟางหรงกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติ ร่างระหงยืดกายขึ้นแช่มช้า ขาเสลาก้าวออกมาจากเกี้ยวด้วยท่วงท่างามสง่า
ในโลกนี้ขอแค่มีชีวิตรอดถึงไม่ยุติธรรมก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมิใช่หรือ เช่นนั้นข้าจะขอกำหนดชะตาชีวิตใหม่ด้วยตัวข้าเอง
^เสนาบดีกรมกลาโหม หรือปิงปู้ (兵部) เสนาบดีกรมนี้ทำหน้าที่ด้านธุรการทางทหารมากกว่าถือกำลัง
ร่างระหงย่างกรายออกไปเบื้องหน้าแช่มช้า ทุกคนต่างหยุดมองนางเป็นตาเดียว ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นสุลต่านตาค้าง จูฟางหรงเองก็ไร้เวลาให้ตริตรองมากนัก ในเมื่อตัดสินใจแล้วย่อมไม่อาจหันหัวเรือกลับจอมปีศาจ มิน่าเล่าข้าถึงไม่เห็นเขา ที่แท้ก็ปลอมตัวเป็นตาแก่เคราเฟิ้มนี่เองจูฟางหรงเหลือบมองแววตาคมกริบที่ยังเขม้นตนแทบไม่กะพริบ เปลือกตาบางหลุบลงนอบน้อม จากนั้นหมุนกายประจันหน้ายิ้มหวานให้กับเจ้าเมือง ภายใต้รอยยิ้มหวานละมุนกลับมากล้นไปด้วยความรู้สึกหมื่นพันจูฟางหรงอยากทิ่มดวงตาของโคแก่ตรงหน้าให้มืดบอดนัก กล้าดีอย่างไรแทะโลมนางได้ไม่อายฟ้าดินครั้นลอบเสมองไปอีกด้าน ก็ทันเห็นบุรุษอีกคนกำลังกัดฟันกรอด จูฟางหรงไม่กลัวเขาหรอก นางจะเล่นละครเป็นหญิงคณิกาให้ใครบางคนโมโหจนกระอักโลหิตตายไปเสียข้าอยากรู้นักว่าท่านจะทนเห็นชายาของตนเองคลอเคลียชายอื่นได้จริงหรือ โหย่วอี้อ๋องแขนเรียววาดลวดลายขึ้นกลางอากาศ ดนตรีเริ่มบรรเลงเป็นจังหวะ จูฟางหรงร่ายระบำได้อย่างงดงามยิ่งนางอ่อนช้อยหวานหยดประหนึ่งนางเซียนเท่าใด ความเดือดด
คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม จูฟางหรงขบปากตนเองแผ่วเบาพลางครุ่นคิด เป่าชุนก็มองตาที่เหลือกขึ้นทั้งยังกลอกไปมาของจูฟางหรงจนตัวโก่ง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดทำสิ่งใดอยู่กันแน่เสียงสุลต่านคนนี้คุ้นหูข้าจริง“เรื่องเคร่งเครียดเพียงนี้ไว้ค่อยคุยก็แล้วกัน ข้าว่าเราหาความสำราญด้วยการชมระบำกันก่อน ท่านสุลต่านว่าดีหรือไม่”“ตามแต่ท่านเจ้าเมืองสะดวกขอรับ”จูฟางหรงได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็นึกบางอย่างออก“อาเป่าเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เงียบ ๆ จนกว่าข้าจะกลับ เข้าใจหรือไม่”“พี่หรง ท่านกำลังคิดทำสิ่งใด”“ไว้ข้าจะมาอธิบายคราวหลัง จำไว้หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องวิ่งให้สุดชีวิต แล้วไปหาเช่ารถม้ากลับจวนก่อนข้าได้เลย หากใครถามก็บอกเพียงว่าข้าจะกลับพร้อมท่านอ๋อง”จูฟางหรงยัดถุงเงินให้เป่าชุน ดูเหมือนแผนการชมดอกไม้ไฟบนระเบียงสูงต้องล้มเลิกเสียแล้ว เพราะยามนี้จูฟางหรงต้องการอิสรภาพมากกว่า ถ้าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด นางต้องได้ข้อมูลสักอย่างมาแน่ต่อให้เป่าชุนนึกปฏิเสธก็ไม่อาจขัดใจผู้เป็นนาย นางจึงต้องพยักหน้าด้วย
ตั้งแต่จูฟางหรงก้าวเท้าเข้ามาในหอไป๋หลิง นางได้ลอบสำรวจไปแล้วกว่าค่อนหอ แต่ยังไม่พบร่องรอยของหลงโหย่วอี้สักเสี้ยวหรือข้าจะคิดผิด ช่างเถอะ ๆ เขาไม่อยู่ก็ดี สบายใจอีกเปลาะ จะได้เที่ยวเล่นให้หนำใจนางไม่เห็นเขาก็นับเป็นเรื่องถูกต้อง ในเมื่อหลงโหย่วอี้แต่งกายเป็นพ่อค้าต่างแคว้น ซ้ำยังเสริมหนวดเคราประหนึ่งสุลต่าน ระยะไกลเพียงนั้นถ้านางจำได้ก็คงเปรียบดั่งเทพเซียนแล้วกระมังเป่าชุนส่งสายตาเว้าวอนให้จูฟางหรง เพราะนางถูกบรรดาสตรีนัวเนียอยู่ไม่ห่าง ไม่รู้ว่าขนบนแขนลุกชันจนได้กลายเป็นร่วงกราวไปแล้วหรือไม่จูฟางหรงขบขันเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของเป่าชุน นางเองก็ไม่อยากให้ใครยุ่มย่ามเวลาแห่งความสุขมากนัก ที่จูฟางหรงอ้าแขนรับสตรีเหล่านี้เข้ามาก็เพื่อบดบังตัวตนให้แนบเนียนขึ้นอีกหน่อยเพียงเท่านั้นยามนี้มาถึงห้องส่วนตัวแล้ว เช่นนั้นควรเริ่มแผนการไต่ระเบียงชมดอกไม้ไฟมันเสียตอนนี้เลยดีกว่า“มาเถิดคนงาม พวกเจ้ามาร่ำสุราเป็นสหายข้าหน่อยเร็ว” จูฟางหรงยกกาสุราขึ้นเหนือศีรษะ สตรีร่างอรชรก็ใช้หน้าอกใหญ่ตู้มแย่งเบียดกันเพื่อเข้าหานาง
“พระชายา จะพบท่านอ๋องที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามจากด้านนอกจูฟางหรงหลุดจากภวังค์ นางเหลือบซ้ายแลขวาเพื่อหาหนทาง ก่อนจะสะดุดเข้ากับหอนางโลมสุดตระการตา ความคิดอยากเข้าไปเที่ยวชมสักครั้งก็ผุดขึ้น“เช่นนั้นข้าจะลงตรงนี้เลย”จูฟางหรงจูงมือเป่าชุนให้ลงจากรถม้าด้วยกัน จากนั้นจึงหันไปกำชับ “เจ้ากลับไปก่อนได้เลย”สารถีเหลอหลา “พระชายา แต่หากกระหม่อมกลับไปแล้ว…”“อะไรกัน ก็ข้าบอกว่ามาหาท่านอ๋องไม่ใช่หรือไง ขากลับข้าจะกลับพร้อมท่านอ๋อง”ครั้นได้ยินที่จูฟางหรงเอ่ยเขาจึงวางใจ “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”รถม้าจึงเคลื่อนตัวกลับไปทิศทางเดิมอีกหน เป่าชุนจึงเริ่มเกิดความเป็นกังวลขึ้นมา“พระชายา แต่หากเราไม่ได้กลับไปพร้อมท่านอ๋อง จะเป็นอย่างไรเพคะ”“เป่าชุน เจ้าคิดมากไปหน่อยแล้ว เห็นนั่นหรือไม่”จูฟางหรงยู่ปากไปยังหอสูงตระหง่าน ซึ่งประดับไปด้วยแพรผืนโปร่งหลากสี และโคมไฟสว่างไสวนับไม่ถ้วน ผู้คนที่เดินเข้าออกก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษ ซ้ำสตรียังแต่งกายน้อยชิ้น บางรายยืนโอบกันไม่อายฟ้าดินเป่าชุนผงะ มือเล็กยกขึ้นปิดตาทันควัน เพราะเผลอไ
จากนั้นจูฟางหรงและเป่าชุนก็ห่อกายไว้ใต้ผ้าคลุมไหล่ตัวใหญ่ เนื่องจากด้านนอกอากาศหนาวจึงไม่เป็นที่ผิดสังเกตใดทหารเวรยามเห็นทั้งสองจึงเอ่ยถาม “พระชายา จะเสด็จที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”จูฟางหรงตระเตรียมคำตอบมาแล้ว จึงไร้ท่าทีตระหนก ซ้ำยังตบตาอีกฝ่ายได้อย่างแนบเนียน “ก็ท่านอ๋องน่ะสิ มุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อเที่ยวเทศกาลชีซีก่อนข้าแล้ว ท่านอ๋องส่งจดหมายกลับมาให้ข้าตามไป”จูฟางหรงยื่นกระดาษแผ่นเล็กไปเบื้องหน้า นางรู้ดีว่าทหารเหล่านี้ยำเกรงหลงโหย่วอี้เพียงใด พวกเขาย่อมไม่กล้าละลาบละล้วงเปิดอ่านเป็นแน่ เพราะอย่างนี้เองในกระดาษแผ่นนั้นจึงมีเพียงความว่างเปล่านายทหารหลุกหลิก จากนั้นเหลือบมองสหายที่ยืนอีกฝั่ง วันนี้พวกเขาก็ไม่เห็นว่าหลงโหย่วอี้กลับเข้ามาจริง ทั้งสองจึงพยักหน้าเป็นการส่งสัญญาณจูฟางหรงยิ้มบาง นางยังคงยื่นจดหมายดั่งต้องการให้เขาเปิดอ่านอยู่เช่นนั้น “ถ้าไม่เชื่อ ก็เอาไปดูสิ นี่ก็สายมากแล้วด้วย หากข้าไปช้าท่านอ๋องเกิดโทสะจะทำเช่นไร”นายทหารใจสั่นหวิว เขาเร่งค้อมศีรษะและไม่แตะจดหมายเลยสักนิด “ขออภัยพระชายา กระหม่อมล่วงเกินแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมจะไปเตรียม
“พระชายา ท่านแต่งกายเช่นนี้จะไปที่ใดหรือเพคะ” เป่าชุนมองอาภรณ์บนเรือนร่างของจูฟางหรงหน้าตื่นเพราะจูฟางหรงลอบเอาเครื่องแต่งกายของหลงโหย่วอี้มาสวม แต่ดูเหมือนว่าเมื่ออาภรณ์บุรุษตัวใหญ่โคร่งถูกสวมไว้บนเรือนร่างระหง จึงทำให้จูฟางหรงยิ่งดูตัวเล็กพิกล“ตกใจอะไรของเจ้า” จูฟางหรงรวบผมยาวสลวยขึ้นเพื่อผูกปมเป็นหางม้า และสวมกวานหยกไว้บนศีรษะเป่าชุนเห็นเช่นนั้นจึงรุดเข้าปรนนิบัติ นางหยิบผมช่อหนึ่งขึ้นถักเปียหละหลวม แล้วจึงมัดรวบขึ้นกลางศีรษะจูฟางหรงยิ้มบาง “ขอบใจนะ”“พระชายา ท่านอ๋องยังไม่กลับเลยนะเพคะ หากท่านอ๋องทราบเข้าต้องอาละวาดเป็นแน่”“ตราบใดที่เขายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ท่านอ๋องยังไม่กล้าทำอะไรข้าตอนนี้หรอก อีกอย่างชุดนี่ข้ายืมไม่กี่ชั่วยามเอง เขามีอาภรณ์ตั้งหลายตัว มากกว่าสตรีเช่นข้าด้วยซ้ำ จะขี้หวงอะไรหนักหนา”“หมายความว่าอย่างไรเพคะ ยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ” เป่าชุนงงงวย“ช่างเถิด จำไว้เพียงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่ได้ร่วมรู้เห็นสิ่งใดกับข้าเป็นพอ รักษาชีวิตของตนเอาไว้ให้ดี”ภาพที่ลูกธนูโผปักกลางอกของเป่าชุนในชาต
댓글